บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2016

แต่ก่อน.......ตอนนี้

     เวลาเปลี่ยน  ความคิดความอ่านบางอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  มานั่งนึกๆดูจึงรู้สึกว่า....มันไม่น้อยเลยเหมือนกัน      แต่ก่อน  -  งานกาชาติสนุกจังเลย (ไปทุกปี)      ตอนนี้  -  กะอีแค่ไปสอยดาวบู๊ธนั้นบู๊ธนี้มันสนุกตรงไหน  คนก็เยอะ      แต่ก่อน  -  เป็นผู้หญิงก็ต้องใส่กระโปรงสิ      ตอนนี้  -  ใส่กางเกงคล่องตัวกว่าตั้งเยอะ      แต่ก่อน  -  ผู้หญิงก็ต้องคู่กับสีชมพู      ตอนนี้  -  ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าให้ฉันใส่สีชมพูเลยนะ      แต่ก่อน  -  ไม่เอาอ่ะ  ไม่อยากคุยกับเพื่อนผู้ชาย      ตอนนี้  -  ถ้าสนิทกันก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร...      แต่ก่อน  -  ต้องอยู่ในที่ที่มีแต่ผู้ชายจริงๆเหรอ  (ทำหน้าจะร้องไห้)      ตอนนี้  -  (ยักไหล่)  คงอึดอัดแค่ช่วงแรกๆ  แต่ดีนะ  ผู้ชายไม่เรื่องมาก  ไม่จุกจิก (แต่ถ้าคิดว่าผู้ชายไม่สนใจความเป็นไปล่ะก็....ผิดถนัด  หุหุ)      แต่ก่อน  -  หนอยย  ดูหน้าก็รู้ว่าไม่มีทางอายุมากกว่า  มาเรียกฉันว่า "น้อง" ได้ไง      ตอนนี้  -  ถ้าเขาอยากเป็นพี่ก็ปล่อยเขาเถอะ  (เหลือบตา)      แต่ก่อน  -  ผมยาวสิ  ดูเป็นผู้หญิ้ง..ผู้หญิง  

เพราะคำว่า "โสด" ไม่ได้มีมาเพราะ "โชค" ช่วย

     เมื่อใช้ชีวิตมาถึงอายุปูนนี้  พูดคำว่า "โสด" ทีไร  ก็เหมือนจะมีแต่คนเดือดร้อนแทน      "ทำไมเธอไม่หาแฟนล่ะ???"  บลา บลา บลา      บางคนก็ว่า  เอ  หรือจะเป็นเพราะว่าเธออยู่ราศีนั้นราศีนี้  ซึ่งเป็นราศีที่อาภัพรัก  เธอเลยไม่มีคู่เสียที...      โอ๊ย  ใครว่าโสดนี่เป็นเพราะโชคชะตาเล่า  มันเป็นเพราะการกระทำต่างหาก  กว่าจะครองตัวมาถึงขนาดนี้เนี่ย  ต้องทำตั้งเยอะเลยนะ...      ทำอะไรบ้างน่ะเหรอ......ก็..........      1.  ต้องเป็นตัวของตัวเอง...อย่างมาก  :  อะไรที่คนอื่นๆเขาทำกันที่ทำแล้วจะน่าพึงใจ  ต้องไม่ทำ  เป็นต้นว่า      'แต่งหน้าสิ'  -  แต่งทำไม  เหนอะหนะ  ขี้เกียจ      'ถ้าปล่อยผมนี่จะสวยเลยนะ'  -  ไม่ล่ะ  ร้อน  รำคาญ      'ลดความอ้วนสิ'  -  มันไม่ลงเองอ่ะ  :p  แล้วก็ชอบกินมากกว่า  หุหุ  หรือไม่ก็      'หัดทำตัวแบบผู้หญิงบ้างสิ'  -  ไม่ได้อยากเกิดเป็นผู้หญิง  ทำไมต้องทำตัวเป็นผู้หญิงด้วย???      คนเรามองกันที่เปลือกนอกก่อนอยู่แล้ว  ลองปกไม่สะดุดตา  ใครจะมามอง  เหอๆๆ      2.  ท่องไว้เลยว่า  "ไม่มีใครช

รวมสถานที่ปฏิบัติธรรม

   1. ยุวพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย : http://web.ybatnet.org/th/course-general/?ckey=2#1  2. ศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนานาชาติ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ : http://www.msarc.info/  3. วัดอัมพวัน : http://www.jarun.org/index.php  4. วัดปัญญานันทาราม : http://www.watpanya.org/  5. เสถียรธรรมสถาน : http://www.sdsweb.org/sdsweb/ http://www.chillpainai.com/scoop/233/

เด็ก Gifted

     "เด็ก Gifted"      ได้ยินคำนี้แล้วคุณรู้สึกอย่างไร      บางคนอาจชื่นชม  บางคนอาจเฉยๆ  หรือไม่  บางคนก็อาจหมั่นไส้      ไม่ได้มาบรรยายสรรพคุณ Gifted ดอก  อย่าเพิ่งทำหน้าเบ้  แค่มาเล่าให้ฟังเท่าที่รู้เฉยๆว่า  Gifted สมัยก่อนกับสมัยนี้  มันต่างกันอย่างไร      ถ้าเราจำไม่ผิด  สมัยที่เราขึ้นมัธยมปลายนั้น  รุ่นเราเป็นรุ่นแรกๆ  ที่มีการนำระบบการเรียนการสอนแบบ Gifted เข้ามาในประเทศไทย      ...ซึ่งโรงเรียนเราก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับโอกาสนั้นเช่นกัน      ระบบ Gifted คือการคัดนักเรียนที่มีความสามารถและความสนใจในหมวดวิชาบางหมวดมารวมด้วยกัน  เพื่อจัดระบบการสอนที่ต่างจากระบบธรรมดา      ซึ่ง  โดยทั่วๆไปจะมี 3 หมวดวิชาหลัก  คือ  ภาษาไทย  ภาษาอังกฤษ  และคณิตศาสตร์  แต่อาจมีหลายโรงเรียนที่มีมากกว่านั้น  เช่น  เคมี  ชีวะ  ฟิสิกส์       ส่วนวิธีคัดเลือกนั้น..  สำหรับในโรงเรียนเราจะใช้วิธีคัดนักเรียนที่มีผลการเรียนในวิชานั้นๆอยู่ในเกณฑ์ดี  เป็นต้นว่า  ได้เกรดเฉลี่ยรวมในรายวิชาภาษาไทยตั้งแต่ 3.5 ขึ้นไป(ประมาณเอา จำไม่ได้)  ผู้ได้รับการคัดเลือกเหล่านี้จะเป็นนักเรียน

Mirrorless camera & I (2) : จนกว่าเราจะพบกันใหม่...กล้องเปลี่ยนเลนส์

รูปภาพ
     และแล้ว...ในที่สุด      วันนี้เราก็ดั้นด้นไปงาน photofair 2016 จนได้      ตื่นเต้นมาก  ดีใจล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์      กะว่า...วันนี้แหละ  จะตัดใจลดยอดเงินในบัญชีมาซื้อของขวัญให้ตัวเองให้จงได้      หลังจากหาข้อมูลมาจำนวนหนึ่ง  เราจึงเตรียมกระดาษเปล่าไปด้วย  เผื่อไว้จดว่าร้านไหนลดเท่าไหร่      และจากการดูแผนที่มาล่วงหน้า  เรารู้ว่า olympus จัดบู๊ธไว้หน้าสุดตรงทางเข้าพอดี...      ...เข้าทาง...      พอเดินเข้างานก็จัดการลงทะเบียนรับของที่ระลึก  และเดินเข้าประตูมองหากล้องรุ่นที่ต้องการอย่างไว  ....นั่นไง  เจอแล้ว      เราปรี่เข้าไปจับกล้อง e-pl8 ก่อนลำดับแรก      'หนักว่ะ  มันหนักงี้เลยเหรอ'  คิดในใจ      ลองกดๆสักพักก็หันไปจับ e-pl7  ต่อ  กดๆอยู่สองสามที  ลองเล่นโหมดต่างๆ      ....แล้วก็วาง....      ชวนแม่ไปเดินดูกล้องรุ่นอื่น  และเดินรอบๆงาน  ลองเล่นไปเรื่อย      หยิบกล้องมาถ่ายรูป  แชะ!  อุ๊ยถ่ายรอบเดียวได้หน้าชัดหลังเบลอด้วย       คนถ่ายเก่ง 555 / ผิด  กล้องมันดีตะหากล่ะ      ระหว่างนั้นก็เรียบเรียงคำตอบในใจอยู่เงียบๆ      สุดท้าย  เราก

Mirrorless camera & I (1) : ฉันอยากได้กล้องมิลเลอร์เลส

รูปภาพ
     เมื่อประมาณหกเดือนก่อน  เราได้มีโอกาสจับกล้องตัวหนึ่ง  เมื่อถามรายละเอียดก็ได้ความว่ามันชื่อว่า  sony a5100...      ...และเป็นกล้อง mirrorless...      นับจากวันนั้นเราจึงบอกกับตัวเองว่า....เราอยากได้กล้อง mirrorless      เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับกับกล้องมิลเลอร์เลสอย่างเอาจริงเอาจัง  แล้วก็เก็บเอาไปเพ้ออยู่คนเดียวว่า  เราจะซื้อให้ได้      แต่พอถามว่า  แล้วเราอยากได้รุ่นไหน....      เราก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน      เราชอบ  sony a5100  แต่เราก็ว่ามันแพงไป  และเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้รู้สึกว่า..มันยังไม่ใช่อ่ะ      เราลองหันมองกล้องรุ่นรองลงมา  sony a5000  แต่เราไม่ชอบตรงมันทัชสกรีนไม่ได้      เราลองเหล่  canon emos10  แต่...เราไม่เคยได้มีโอกาสจับตัวจริงเลย  แถมมีคนคอมเม้นท์แง่ลบมาอีกกระบุงหนึ่ง...      ...พอไม่เคยจับตัวจริงจึงไม่สามารถเถียงอะไรแทนให้ได้  ขออภัย      อีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจคือ  fuji ax-2  อ่านรีวิวแล้วเราชอบสี(ที่ถ่ายออกมา)นะ  แต่....ทัชสกรีนไม่ได้อีกแล้วครับพี่น้อง      อีกอย่าง  เรามีนิสัยเสียอย่างนึงคือ  พอเห็นคนส่วนใหญ่เฮละโลไปชอบอะไร  

คุยกับเพื่อนมา : เรียนภาษาเข้าไป แต่ใช้ไม่เป็น ?!

     เมื่อวานไลน์คุยกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง  ซึ่งเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์  เธอขอคำแนะนำเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ  คุยไปคุยมาเราเลยแซวว่า      "แกขอทุนที่บริษัทไปเรียนภาษาเพิ่มสิ"      เธอตอบมาว่า      "เขาให้คนมาสอนแล้ว  แต่ไม่เวิร์คว่ะ"      ถามไปถามมาก็ได้ความว่า  ให้อาจารย์ต่างชาติมาสอน  แต่มาถึงก็พูดๆๆ  แล้วแจกแบบฝึกหัดให้ทำ  แม้แต่คาบแรกที่ควรให้นักเรียนได้สนทนาและแนะนำตัว  ก็ยังให้ทำแต่แบบฝึกหัดแล้วเรียกตอบ      ...แค่นั้น      ...เออ  แต่ได้ประโยชน์ตรงที่เขาสอนเขียนอีเมลโต้ตอบภาษาอังกฤษอ่ะนะ      คุยมาถึงตรงนี้เราเลยเริ่มเกิดคำถามว่า  เออนะ  ทำไมบ้านเราเรียนภาษาอังกฤษกันแทบตาย  แต่พอจะใช้จริงขึ้นมา      ....กลับไปกันไม่ค่อยเป็น ?!      สังเกตไหม  พวกที่เก่งภาษาอังกฤษทั้งที่เรียนในประเทศน่ะ  มันมักมีอยู่สามประเภทใหญ่ๆ      1.  เก่งอยู่แล้วโดยตัวเอง  มีทั้งพวกเก่งทุกวิชา(อิจฉาเลย)  หรือไม่ก็เก่งด้านภาษามาก      2.  เรียนในชั้นเรียนพิเศษ  เช่น  พวกภาคอินเตอร์ทั้งหลาย  ที่จัดสรรอาจารย์เก่งๆมาสอนกันโดยเฉพาะ      3.  ขวนขวายหาความรู้เอาเองเพิ่มเติม  ไม่

sound of the silence

     These are sentences I normally hear...      "You are too quiet."  Someones talked to me face to face      "Why doesn't she say anything at all?"/ "She is so quiet." Someones mentioned me.      "Are you sure you bring your mouth to the school". Yes, that was from one of my teacher.      Yes, I'm quiet.      When I meet someone, I usually smile, listen to them, nod and keep silence.      Therefore, someone may think that I don't have something to talk. Also, they may think I'm boring.      Well, maybe....      The fact is, absolutely, I can talk. I just don't want to talk too much.      Shy?  well....      Just so you know, I'm introvert.      You won't see me spread the river of words, especially, when we first meet.      I don't open easily. I will talk when I need to.      I don't like small talk. Speaking several topics which I don't really care is boring.      I l

เมื่อบอลแพ้

     วันนึ้...จะว่าเซ็งก็เซ็ง  เพราะมันเป็นวันที่ทีมที่เราเชียร์แพ้...      เป็นครั้งแรกในฤดูกาล  (อย่าเพิ่งหมั่นไส้สิ  ก็ปกติมันไม่เคยแพ้  ก็ต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดา)      ที่น่าโมโหคือ  ยัยคนเขียนฝันว่าทีมตัวเองแพ้ 0-1  แล้วตื่นมาหลังเกมจบสิบห้านาที  เพื่อจะพบว่าตัวเองฝันแม่น      ...โมโหอะไรก็ไม่รู้  รู้แต่ว่าพาล      แย่กว่านั้นคือการแพ้ครั้งนี้ทำให้ทีมร่วงจากที่หนึ่งไปเป็นที่สอง...      โอ๊ยยยย      สิ่งแรกที่ทำคือนอนสวดชินบัญชรเก้าจบระงับความฟุ้งซ่าน  แล้วขอโน่นขอนี่เรื่อยเปื่อย      แล้วก็นอนไม่หลับ  นอนซังกะตายอยู่พักนึง      ก่อนที่เสียงหนึ่งในใจจะดังขึ้นมา      ขอพูดอะไรหน่อยเถอะ      'ทุกสิ่งในโลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก  มีขึ้น  ก็มีลง..      บอลก็เช่นกัน      ที่สุดแล้วทุกแมต  มันก็มีแค่สองอย่าง  ไม่แพ้  ก็ชนะ      ชอบบอลไม่ใช่เรื่องผิด  แต่อย่าเอาทั้งชีวิตไปทุ่มกับมัน      ถัาชอบทีมนั้น  ก็ต้องรับให้ได้  ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือเลวลง      แต่ถ้าชอบเพราะมันได้ที่หนึ่ง  เธอไม่ได้ชอบทีม  เธอแค่กระหายชัยชนะ      การไปคาดหวังมากไปนั้นไม่ต่างอะไรก

สี่แผ่นดิน : ยุคสมัยกับเสน่ห์ของช้อย

     มา  เนื่องในโอกาสที่ PPTV เอาสี่แผ่นดินมาฉายอีกรอบ  เป็นเหตุให้เราได้ดูสี่แผ่นดินตามแม่อีกรอบไปด้วย  มาว่ากันอีกที      เรื่องเดิม  แต่ขอเพิ่มประเด็นหน่อย...      หากใครเคยอ่านหรือดูสี่แผ่นดินจนจบจะรู้ว่า  ช้อย  เพื่อนสนิทคนเก่งของแม่พลอยนั้น  ครองตัวเป็นโสดจนกระทั่งจบเรื่อง      แล้วมีใครเคยตั้งประเด็นกันบ้างไหมว่า  ทำไม  ช้อยถึงยังโสดล่ะ???      วันนี้เราเลยลองมาตั้งประเด็นเล่นๆดูถึงสาเหตุดังกล่าว      เราว่านะ  สาเหตุที่ช้อยไม่ได้แต่งงาน  น่าจะมาจาก 1.  ช้อยไม่สวย...สะดุดตา  เท่ากับพลอย      ตามความรู้สึกเรา  สี่แผ่นดินไม่ได้ให้รายละเอียดถึงรูปร่างหน้าตาของช้อยเลยด้วยซ้ำว่างามสักเพียงใด  สี่แผ่นดินเน้นอย่างเดียวว่า...      พลอยสวยมาก  แค่นั้น      ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า  หน้าตาคือตัวแปรหลักที่ทำให้คนสนใจในกันและกัน  ไม่ว่าจะยุคใด  เมื่อความสวยของช้อยไม่ได้เป็นที่โดดเด่นแล้วนั้น..      ..คงจะเที่ยงว่าคนสนใจในตัวช้อยนั้นหายากพอดู.. 2.  ช้อยไม่ได้มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนมากนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เมื่อเทียบกับพลอย      เช่นตอนที่เสด็จฯกล่าวชมฝีมือก

คุณเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติรึเปล่า?

     คุณเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติรึเปล่า?      คุณเชื่อไหมว่า  โลกนี้ยังมีผู้ที่มีตัวตน  มีความคิด  มีจิตใจ  แต่มองไม่เห็น อาศัยอยู่      จะเล่าอะไรให้อ่าน...      ย้อนไปเมื่อปี 2551  เรามีโอกาสไปเรียนภาษาอังกฤษช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ณ ต่างที่ต่างถิ่น  โดยที่นักเรียนผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนต้องไปพักที่หอพักในตัวโรงเรียนนั้นเอง      ตัวตึกเป็นอาคารเก่า  ใครคนหนึ่งเล่าว่า  เดิมตึกนี้เคยใช้เป็นที่รักษาคนเจ็บในช่วงสงคราม...ระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส      ตอนที่เราไปเรียนนั้น  ตึกถูกปรับให้กลายเป็นโรงเรียนสอนภาษา  มีชั้นใต้ดินเป็นห้องอาหารและห้องคอมพิวเตอร์  ชั้น1-3เป็นห้องเรียน  และชั้น 3(บางส่วน) - ชั้น5 เป็นห้องพัก      ...ถ้าจำไม่ผิดนะ      ห้องพักต่อชั้นแบ่งเป็นสองแถว  หันหน้าชนกัน  มีทางเดินอยู่ตรงกลาง  แต่ละห้องมีสองเตียง  ไม่มีห้องน้ำในตัว          นักเรียนผู้เข้าร่วมโครงการมี 15 คน  มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ชั้นสี่  นอกนั้นอยู่ชั้นห้าในละแวกเดียวกันหมด          คืนเกิดเหตุ  เพื่อนๆทุกคนยกเว้นเราและเพื่อนอีกสองคน(ซึ่งอยู่คนละห้อง)  ตัดสินใจไปทานอาหารเย็นกันในเม

สีดำ น้ำตา ประชาชน

รูปภาพ
         1-      นอกจากสังคมก้มหน้า  ทุกวันนี้  ประเทศไทยมีอีกสังคมหนึ่งซ้อนทับขึ้นมา  นั่นคือ        ...สังคมสีดำ...        อันที่จริง  มันก็ไม่ใช่ดำล้วนหรอก  จะกล่าวให้ถูกต้องเรียกว่า  ประเทศไทยเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่โหมด grey scale(เกรย์ สเกล)  อันประกอบไปด้วย  สีขาว  เทา  ดำ  และบรรดาสีเข้มต่างๆ  เสียมากกว่า      ไม่ใช่เพียงในชีวิตจริงเท่านั้น  แต่การใช้เกรย์สเกลนี้ยังครอบคลุมไปถึงชีวิตในโลกออนไลน์ด้วย        เราพร้อมใจกันเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นสีดำ  หรือไม่ก็เปลี่ยนรูปตัวเองเป็นโทนขาวดำ      ...หรืออย่างน้อยที่สุด  ก็เอารูปริบบิ้นดำมาติด...          อ่อ  ถ้าไม่นับปากกะเลือด  ก็มีแดงอยู่สองที่แหละ  ตากับจมูก      ....หลังผ่านการร้องไห้มาสักระยะหนึ่ง      เป็นปรากฏการณ์ที่ทำเอาต่างชาติงง  คือ  เข้าใจล่ะว่าพระราชาสิ้นพระชนม์  แต่คนเมืองนี้มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ???       พวกเอ็งก็ลองมีกษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งแบบพวกข้าดูสิ..       ถ้าเอ็งมีวาสนาพอน่ะนะ...      2-      นอกจากสีดำ  อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่คนไทยในวันนี้  คือ   น้ำตา      ไม่ได้มายืนยันว่าทุก

แปลเขามา : ถึงเวลาที่พ่อแม่ควรหันกลับมาดูตัวเองหรือยัง

     คือ  เราไปเจอบทความกึ่งการ์ตูนอันหนึ่ง  ซึ่งเขียนระบุพฤติกรรมที่ไม่ปกติของเด็ก  ว่าแท้จริงแล้วนั้น(อาจ)มีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่หรือผู้ปกครองก็ได้  ซึ่ง....เราว่ามันมีส่วนจริงอยู่บ้าง  ไม่มากก็น้อย     คือ  เราจะแปลโดยวงเล็บว่า  "อาจ"  เอาไว้ด้วย  เพราะไม่แน่เสมอไปว่ามันเกิดเพราะที่เขาอ้างจริง  เราว่ามันเป็นแค่แนวโน้ม(แม้ว่าต้นฉบับจะไม่มีคำว่า "อาจ" ในหลายข้อก็ตาม)      จะแปลให้ฟัง เอ๊ย อ่าน ณ บัดนี้      1.  หากลูกของคุณจงใจทำตัววุ่นวายหรือก่อกวนคุณ  (อาจ)เป็นเพราะคุณไม่ได้ให้ความสนใจเขาเพียงพอ      2.  หากลูกของคุณโกหก  นั่น(อาจ)เพราะคุณเคยตอบสนองต่อความผิดของเขาอย่างร้ายแรงเกินไปมาก่อน      3.  หากลูกของคุณขาดความมั่นใจ  นั่น(อาจ)เป็นเพราะคุณคอยกำกับหรือชี้แนะเขา  แทนที่จะให้กำลังใจหรือส่งเสริมเขา          4.  หากลูกของคุณไม่ยืนหยัด(หรือปกป้อง)ตนเองเลย  (อาจ)เป็นเพราะคุณเคยดุว่าเขาอย่างรุนแรงในที่สาธารณะตั้งแต่เล็กๆ      เสริม :  พ่อแม่ไม่ควรว่ากล่าวลูกแรงๆต่อหน้าคนอื่น  ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นคนแปลกหน้า พี่น้อง(ลูกคนอื่นๆ)  ญาติ  

พ่อจากเราไปแล้ว

รูปภาพ
     เมื่อวานนี้เป็นวันที่เราเสียใจมากที่สุด  มากกว่าเหตุการณ์ร้ายใดใดที่เคยเจอมา  เพราะมันเป็นวันที่  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9  ผู้เป็นมิ่งขวัญแห่งสยามประเทศ  ผู้เป็นศูนย์รวมดวงใจไทยทั้งผอง  เสด็จนิวัติสู่ฟ้า  เสด็จกลับสู่สวรรคาลัย      เราเริ่มระแคะระคายข่าวนี้เมื่อตอนเย็นๆ  และเราก็ได้แต่หวังว่า  มันจะเป็นเพียงข่าวลือดังที่แล้วๆมา  อย่างไรก็ดี  เราไม่สามารถอยู่ฟังตอนสำนักพระราชวังประกาศได้  เนื่องจากติดเรียนพิเศษ      เมื่อถึงเวลาพัก  เราไม่รอช้า  เปิดเว็บข่าวโดยพลัน  และทันทีที่เว็บขึ้นมาด้วยธีม(theme)สีดำ  ก็รู้ได้ทันทีว่า  มันคือเรื่องจริง        พ่อจากเราไปแล้วจริงๆ...      พอไล่สายตาลงมาเห็นข่าวประชาชนคนหนึ่งบอกว่า  "พ่อสัญญาแล้วว่าจะอยู่ถึง 120 ปี"  มันเจ็บจี๊ดๆอย่างบอกไม่ถูก      ยิ่งได้เห็นคอมเม้นท์หนึ่งทีว่า  "ขอตายแทนได้ไหม"      ........โอ  น้ำตาจะไหล      นึกถึงเรื่องสี่แผ่นดิน  ที่แม่พลอยดุคนใช้ที่มาบอกเรื่องพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตว่า  อย่าพูดอะไรพล่อยๆ  แต่แล้วหวังของพลอยก็ทลายลง  เมื่อช้อยเดินทางมายืนยันข้อเท็จจริง

บันทึกหน้าบัลลังก์... (มาอ่านอะไรตลกๆกันเถอะ)

     เนื่องด้วย  คนเขียนไปอ่านเรื่องราวในเว็บๆหนึ่งมา  แล้วขำมาก  เลยอยากเอามาแบ่งปัน  โดยจะแปลให้เฉพาะอันที่ตัวเองเข้าใจและ/หรือขำ  ขืนแปลอันที่งงประเดี๋ยวจะทำให้เข้าใจผิดกันไป      อยากอ่านฉบับเต็ม  เชิญลิงค์นี้ค่ะ  http://9gag.com/gag/adXzoLj      เอาล่ะนะ      ทนาย  :  คำพูดแรกที่สามีพูดกับพยานในตอนเช้าคืออะไร      พยาน  :  ผมอยู่ที่ไหนเหรอเคที่      ทนาย  :  แล้วทำไมพยานจึงโกรธ      พยาน  :  ฉันชื่อซูซาน!!      ทนาย  :  พยานเกิดวันที่เท่าไหร่ครับ      พยาน  :  18  กรกฎาคมครับ      ทนาย  :  ปีไหนล่ะ      พยาน  :  ทุกปีแหละ      ทนาย  :  ลูกชายพยาน  คนที่อาศัยอยู่กับพยาน  อายุเท่าไหร่      พยาน  :  ไม่  35  ก็  38  นี่แหละ  ผมจำไม่ได้      ทนาย  :  แล้วเขาอยู่กับพยานมากี่ปีแล้ว      พยาน  :  45 ปี        (ขำก๊ากแรกก็อันนี้แหละ)      ทนาย  :  เจ้ายาที่ชื่อ...(ชื่อเฉพาะ)  ส่งผลกระทบต่อความทรงจำของพยานรึไม่      พยาน  :  มี      ทนาย  :  แล้วมันส่งผลกระทบยังไงบ้าง      พยาน  :  ผมจำไม่ได้...      ทนาย  :  จำไม่ได้!?  ไหนพยานลองบอกซิว่า

ได้อย่าง เสียอย่าง

     คุณเชื่อมั้ยว่าโลกนี้มีคนที่สามารถทำสิ่งซึ่งหลายคนทำไม่ได้  ได้สบายๆ  แต่กลับทำสิ่งที่คนทั่วไปเห็นว่าง่ายดาย  ไม่ได้เลย...      แถวนี้...มีอยู่คนนึง      ส่งเครื่องดนตรีที่เธอถนัดให้สักชิ้นสองชิ้น  แล้วส่งเพลง(ธรรมดาๆพอนะ  ไม่ต้องถึงขั้นเพลงบีโธเฟนอะไรแบบนั้น)  ให้เธอเพลงนึง  บอกเธอว่า...  แกะโน้ตให้หน่อย      ...นั่งรอเลย  ไม่เกินครึ่งชั่วโมง  เสร็จ      ในทางกลับกัน  ส่งที่มัดผมให้หล่อน  บอกว่า  มัดให้เรียบๆนะ      .....ชั่วโมงผ่านไปคุณอาจพบว่าตัวเองนั่งรากงอกอยู่ตรงนั้นในขณะที่คนรับคำสั่งยังทะเลาะกับปอยผมตัวเองอยู่เลย....      หรือ  อีกที  ส่งเกมโปเกมอนให้เธอภาคหนึ่ง  หลังจากนั้นให้ถามแนวทางการเล่น      .......แผนจะมาเป็นฉากๆ  ต้องมีธาตุนี้ๆๆๆในทีม  เพื่อความสมดุล  โปเกมอนธาตุนี้ต้องจับตัวนี้ๆๆๆ  เพราะตัวเหล่านี้เก่ง  เป็นประโยชน์ต่อทีม      ยิ่งถ้ามีสูตรโกงเกมนะ  โอ๊ย  รอดูเหอะ      ในทางกลับกัน  ส่งเธอเข้าไปทำความรู้จักกับคนสักกลุ่มหนึ่ง  แล้วถามเธอว่า  เป็นไงมั่ง      คำบ่นจะมาเป็นกระบุงโกย  "ฉันว่าฉันลืมขอบคุณเขานะ..แย่จริง"  "ฉัน

เล่าไปเรื่อย : ไปกินข้าวคนเดียว

      เรามีเพื่อนที่มีนิสัยคล้ายๆกันอยู่คนนึง  นิสัยที่คล้ายกันคือ  หล่อนเป็นคนเงียบๆ  ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร      ตอนเข้ามหาฯลัย  เราเคยบอกเธอว่า  ทำกิจกรรมดิ  ชวนคนข้างๆคุยดิ  จะได้มีเพื่อน  และคำตอบที่ได้คือ      "เดี๋ยวปีสองเข้าภาคก็ไม่ได้เจอกันแล้ว  จะรู้จักกันไปทำไม  ไม่มีประโยชน์"      ....ถึงจะไม่เข้าใจว่า  "ประโยชน์"  ที่หล่อนพูดถึงนี้คืออะไร  แต่รู้ว่าลองได้เชื่ออะไรแล้วแม่คุณคงไม่เปลี่ยนใจ  จึงปล่อย      แต่ที่ตลกก็คือ  เพื่อนคนเดียวกันที่ไม่ยอมคุยกับใครเพราะ "ไม่มีประโยชน์"  นี้  ดันเป็นคนๆเดียวกับที่มาเล่าให้เราฟังว่า      "ไม่ค่อยชอบไปกินข้าวที่โรงอาหารเลย"      "อ้าว...ทำไมล่ะ"  คนฟังงง      "ก็ไม่อยากให้คนเขามองว่า  ทำไมผู้หญิงคนนี้มาคนเดียว  ไม่มีเพื่อนรึไง?"  หา...คราวนี้คนฟังงงหนักกว่าเก่าอีก      เออ  แต่จะว่าไป  เราก็รู้สึกจริงๆว่า  การที่ผู้หญิงไปไหนมาไหนคนเดียวนี่  บางครั้งก็โดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาด      เป็นเฉพาะผู้หญิงด้วยนะ  ผู้ชายไปคนเดียวไม่เห็นโดนอะไร  ไม่เข้าใจเล้ยย      ห

โหมดคิดถึงเพื่อน : คนให้ต่างหูคู่นั้น

รูปภาพ
     เราไม่รู้เหมือนกัน  ว่าคนเราได้เพื่อนดีดีมาด้วยวิธีไหนกันบ้าง  แต่สำหรับเพื่อนบางคน  จุดเริ่มต้นนั้นดูงงดีเหลือเกิน...      เรารู้จักกันครั้งแรกตอนปฐมนิเทศน์นักศึกษาใหม่  เรานั่งอยู่กับเพื่อนคนไทยของตัวเอง  ส่วนเธอเป็นคนจีนที่มาเรียนเพียงลำพัง  และมาเจอเพื่อนจีนอีกคนหนึ่งซึ่งเรียนหลักสูตรเดียวกัน      เราเพียงรู้จักชื่อกันหลังจากอาจารย์ให้แต่ละคนแนะนำตัว  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น      จากนั้น  เราจำไม่ใคร่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น  รู้แต่เรารู้สึกไม่ค่อยชอบเธอ  เพราะเธอไม่ยิ้มตอบเรา...      ....แต่โชคชะตาอาจต้องการยืนยันว่าเธอไม่ใช่คนเลวร้าย  เหตุการณ์ต่อแต่นี้จึงเกิดขึ้น      อยู่มาวันหนึ่ง  ในคาบเรียนคาบหนึ่ง  เธอกับเราบังเอิญนั่งใกล้ๆกัน  แล้วจู่ๆ  อาจารย์ก็เริ่มสอนสิ่งซึ่งอยู่ในชีทชุดหนึ่ง  ซึ่งเรานำมา  แต่เธอไม่มี      ขณะนั่งเรียนอยู่นั้นเอง  เราสังเกตเห็นว่าเธอนั่งฟังอย่างงงๆ  คงเพราะไม่มีเอกสาร  เราจึงเลื่อนชีทของตัวเองไปใกล้ๆเธอ  เป็นเชิงบอกว่า...ดูกับเราก็ได้      ...เธอหันมายิ้มให้เราและขอบคุณ  แล้วเราก็นั่งเรียนกันต่อไป      หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น  เรากั

What's behind the gifted?

     อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังเป่าขลุ่ยอย่างสบายอารมณ์  ก็มีคนๆหนึ่งเดินมาบอกกับเราว่า  เขาอิจฉาเรามากเลย  ที่เรามีความสามารถตั้งหลายอย่าง  ส่วนเขาไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย...      (แต่เธอมีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งตั้งสองใบนะจ๊ะ ฉันยังไม่มีเลย/คิดในใจ)      แต่คนๆเดียวกันนี้แหละ  พอเราแนะนำช่องทางหาความรู้เพิ่มเติม  เป็นต้นว่า  เว็บฝึกภาษา  หรือถามว่า  อยากเล่นเครื่องดนตรีโน่นนี่นั่นไหมล่ะ  เราสอนให้  คำตอบที่ได้คือ      "จะหัดไปทำไม  ไม่มีสังคมแล้ว  ไม่ต้องไปออกงานที่ไหน  ไม่มีใครให้โชว์แล้ว.."      นั่นทำให้เรางงหนักกว่าเดิม  ว่าเหตุไฉน      ...ความอยากโอ้อวดจึงกลายเป็นเหตุผลในการสร้างความสามารถพิเศษไปได้???      เราจับขลุ่ยครั้งแรกตอนม.1  เหตุผลคือ  โรงเรียนบังคับ  ใครเล่นไม่ได้สอบตก      ...เอ้า  เล่นก็เล่น      แต่  หนึ่งปีหลังจากนั้น  ที่เราเริ่มหาโน้ตมาเล่นเพิ่มเอง  ที่เราเริ่มเอาเพลงที่รู้จักมาแกะโน้ตเองโดยใช้ขลุ่ย...      เราก็แค่อยากถ่ายทอดเพลงที่เราชอบออกมาเป็นเสียงดนตรีโดยไม่ใช่การขับร้อง  เท่านั้นเอง...      ส่วนหลังจากนั้น  ถ้าใครจะมา

อินเนอร์ของหมอความ

     เธอว่าฉันเจ้าคิดเจ้าแค้น      เธอว่าฉันแก้แค้นเธอ  เพราะทุกครั้งที่เธอหาว่าฉันผิด  ฉันจะต้องทุกวิถีทางเพื่อบอกว่า  ฉันไม่ได้ผิดดังที่เธอเข้าใจ      ใช่  ฉันเจ้าคิดเจ้าแค้น  แต่การกระทำนั้นไม่ใช่การแก้แค้น      ก่อนจะตอบว่ามันคืออะไร  อะไรหน่อย  เชื่อไหมว่า  เวลาคนเราเรียนสาขาไหน  วิชาต่างๆจะหล่อหลอมให้เราเป็นคนอาชีพนั้นโดยไม่ต้องสอน      ฉันเป็นทนาย      หน้าที่ของฉัน  คือแก้ต่างให้ลูกความของตัวเอง      การที่จู่ๆเธอใส่ร้าย  หาว่าฉันผิดอย่างนั้นอย่างนี้  นั่นคือเธอกำลังยัดเยียดให้ฉันเป็นจำเลย  ในควาผิดที่  บางทีฉันก็ไม่รู้เลยว่า  ตัวเองก่อขึ้นรึเปล่า      แล้วฉันจะทำอะไรได้  นอกจากว่าความให้ตัวเอง  หาหลักฐานทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองให้จงได้      ก็ฉันเป็นทนาย      ฉันยังไม่ได้แก้แค้นเธอสักนิด      และรับรองเลยว่า  หากจะแก้แค้นจริง  เธอเจ็บกว่านี้หลายเท่าแน่      แต่กระนั้น  ฉันยังคงตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหา  "เจ้าคิดเจ้าแค้นและกระทำการแก้แค้น"  ในสายตาของเธออยู่ดี      ฉันว่า  คนที่ควรถูกพิพากษาให้ลงโทษ  คือคนที่เอะอะก็ตั้งศ

ข้อความที่หายไปของหัวใจหนึ่งดวง

     (เขียนจากเรื่องจริงของผู้หญิงคนหนึ่ง)       หากถ้อยความสักประโยคจะไม่เคยมีในสารบบของเจ้าหล่อน  หนึ่งในนั้นก็คงเป็น...      "เขาต้องชอบเราแน่ๆเลย"       แม้จะเคยมีคนนำของฝากมาให้แล้ววิ่งหนีไปก็ตาม....      ใช่  นี่เรื่องจริง  หาได้ละเมอเพ้อพกหรือแต่งนิยายอยู่  เหตุเกิดช่วงมัธยมปลายที่มีการแบ่งกลุ่มให้นักเรียนจัดซุ้มเล่นเกมกัน  และในขณะที่หล่อนกำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่นั่นเอง  ของชิ้นหนึ่งก็ถูกวางลงตรงหน้าอย่างจงใจ      "อ่ะ.....ให้................มันเหลือ"  แล้วก็วิ่งจากไป      แต่นอกเหนือจากของชิ้นนั้นและความรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองอยู่เสมอ  ใครคนนั้นก็ไม่เคยเดินเข้ามาผูกมิตรอะไรด้วย...      แหม  ขนาดตอนนี้คุยเก่งขึ้นตั้งเยอะยังยึดคติว่า  "ฉันจะไม่คุยกับใครก่อน" เลย  แล้วสมัยเด็กที่เงียบกว่านี้ร้อยเท่าพันทวี  ความคิดที่ว่า  ฉันจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มต้นผูกมิตรก่อน  ยิ่งฝังรากลึกขึ้นไปอีก      แล้วสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ระหว่างคนสองคน      มานึกๆดู  แม้จะไม่เคยมีแฟน  ไม่เคยถูกจีบตรงๆเลยสักครั้งในชีวิต  แต่เจ้าหล่อนก็พบพฤติก