What's behind the gifted?
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังเป่าขลุ่ยอย่างสบายอารมณ์ ก็มีคนๆหนึ่งเดินมาบอกกับเราว่า เขาอิจฉาเรามากเลย ที่เรามีความสามารถตั้งหลายอย่าง ส่วนเขาไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย...
(แต่เธอมีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งตั้งสองใบนะจ๊ะ ฉันยังไม่มีเลย/คิดในใจ)
แต่คนๆเดียวกันนี้แหละ พอเราแนะนำช่องทางหาความรู้เพิ่มเติม เป็นต้นว่า เว็บฝึกภาษา หรือถามว่า อยากเล่นเครื่องดนตรีโน่นนี่นั่นไหมล่ะ เราสอนให้ คำตอบที่ได้คือ
"จะหัดไปทำไม ไม่มีสังคมแล้ว ไม่ต้องไปออกงานที่ไหน ไม่มีใครให้โชว์แล้ว.."
นั่นทำให้เรางงหนักกว่าเดิม ว่าเหตุไฉน
...ความอยากโอ้อวดจึงกลายเป็นเหตุผลในการสร้างความสามารถพิเศษไปได้???
เราจับขลุ่ยครั้งแรกตอนม.1 เหตุผลคือ โรงเรียนบังคับ ใครเล่นไม่ได้สอบตก
...เอ้า เล่นก็เล่น
แต่ หนึ่งปีหลังจากนั้น ที่เราเริ่มหาโน้ตมาเล่นเพิ่มเอง ที่เราเริ่มเอาเพลงที่รู้จักมาแกะโน้ตเองโดยใช้ขลุ่ย...
เราก็แค่อยากถ่ายทอดเพลงที่เราชอบออกมาเป็นเสียงดนตรีโดยไม่ใช่การขับร้อง เท่านั้นเอง...
ส่วนหลังจากนั้น ถ้าใครจะมามีความสุขไปด้วยตอนที่เราเพลิดเพลินกับการเป่าขลุ่ย หรือมันจะกลายเป็นเครื่องมือในการแสดงได้ตอนไปเมืองนอกนั้น...
.........เขาเรียกผลพลอยได้
เท่านั้นจริงๆ (และเราก็ใช้เหตุผลเดียวกันนี้แหละในการฝึกอูคูเลเล่)
ดูดวงก็เหมือนกัน คุณคิดว่าที่ดิฉันให้พ่อสอนดูมือ จิ๊กหนังสือโหราศาสตร์พ่อมาอ่าน นั่นเพราะอยากเป็นโหราจารย์ชื่อก้องโลกหรือคะ
....ผิดถนัด
เราแค่อยากหาอะไรทำ ว่างๆอยู๋ยกมือขึ้นมาอ่านได้มันเพลินดี
และเราก็แค่อยากเรียนไว้ประดับตัว จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกชอบใช้วิชาทำนายมาหลอกลวง หนอย ไม่ต้องเลย ฉันก็ดูเป็นย่ะ (เชอะ)
และ.......เราก็แค่ อยากจะรู้ว่า แท้จริงแล้ว ดวงเราอ่อนกว่าคนบางคนที่ชอบเอาดวงเราไปเทียบกะตัวเองแล้วข่มเรา จริงหรือเปล่า
.........ถ้าดวงเราอ่อนจริง เราจะได้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมและเจียมตัว
.........แต่ถ้าไม่ คราวนี้ แม่จะตอกกลับให้หน้าหงายเลย ให้มันรู้ซะมั่งว่าไผเป็นไผ!!!
(เจ้าคิดเจ้าแค้นว่ะ ;p)
ส่วนเมื่อศึกษาไปจนสุดทางแล้ว วิชาจะกล้าแข็งขึ้นมาจนเป็นที่ปรึกษาให้ใครต่อใครได้
.........นั่นก็ผลพลอยได้
เรื่องขีดๆเขียนๆก็เหมือนกัน โอเค ยอมรับว่าอยากเป็นนักเขียนมานานมากเหลือเกิน
แต่เราไม่ได้หวังว่าทุกสิ่งที่เราเขียนจะกลายเป็นหนังสือทำเงินมหาศาลดอก ไม่เช่นนั้น เราคงจะเอานิยายในหัวออกมาตีพิมพ์และลองส่งสำนักพิมพ์ไปเสียนานแล้ว
สาเหตุที่เราแต่งกาพย์หรือกลอน นั่นเพราะบางครั้งเรารู้สึกว่าการถ่ายทอดออกมาในรูปแบบนี้มันตรงใจ และได้อารมณ์กับเหตุการณ์ที่เจอตรงนั้นมากกว่าร้อยแก้ว
ส่วนที่เราเขียนบทความ เราก็แค่อยากถ่ายทอดความคิดตัวเองออกมาเป็นตัวหนังสือเพื่อเก็บไว้อ่านภายหน้า ซึ่งก็เห็นได้ว่ามันเป็นบทความกะโหลกกะลาซึ่งคนเขียนยังนึกไม่ออกว่าจะขายได้ยังไง.. :P
สุดท้าย การแต่งนิยาย ถ้าไม่เพื่อเติมเต็มช่องว่างของความปรารถนาที่ชีวิตจริงไม่มีสิทธิได้ ก็คงเพื่อระบายสิ่งที่ตัวเองเจอมาลงเรื่องแต่งเพื่อลดความกดดันของใจ...ไปวันวัน
แล้วหากวันหนึ่งเรื่องพวกนี้จะทำเงินขึ้นมาได้ มันคงเป็นความฝันที่เป็นจริงอันวิเศษยิ่งกว่ากำไรใดใดเสียอีก...
เราแค่สงสัยว่า การหัดอะไรสักอย่างเพียงเพื่อจะอวดคนอื่นนั้น มันจะทำให้กลายเป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้สักเท่าไหร่กัน
และหากจะถามความเห็น เราไม่คิดว่าการฝึกเพื่อโชว์ โดยเฉพาะจะอวดว่าตัวเองเก่ง จะทำให้คนเราไปถึงจุดสุดยอดของความสามารถเหล่านั้นไปได้
เพราะอะไร..........เพราะมันไม่มี "ใจ" ไงล่ะ ต่อให้เก่งเพียงใดก็คงเก่งแบบแห้งๆ ไร้จิตวิญญาณล่ะนะ
เรายังคงเชื่อเสมอว่า เบื้องหลังพรสวรรค์ที่ดีที่สุด คือความรักต่อสิ่งๆนั้น คือความรู้สึกว่า ฉันอยากจะรู้ อยากจะชำนาญ ในสิ่งๆนั้นมากที่สุด
นี่ต่างหากที่ควรจะเป็นเคล็ดลับของความเก่งในสิ่งต่างๆในโลกใบนี้
สุดท้าย คนๆนั้นก็ยังไม่ยอมฝึกอะไรอยู่ดี พร้อมกับอ้างว่า เขาพลาดโอกาสที่จะฝึกเพราะเขาแก่เกินไปแล้ว (ทั้งๆที่โอกาสที่ว่าก็วางอยู่มุมห้องนั่นแหละ อุ๊บส์)
ในทางกลับกัน เราก็ยังสนุกสนานกับงานอดิเรกเราไปเรื่อยๆ แบบไม่เน้นว่าต้องเก่ง ไม่หวังว่าจะทำเงิน และไม่คิดจะเอาไปอวด ประกวดประขัน หรือประชันกับใครทั้งสิ้น
เราทำเพราะเรามีความสุขที่จะทำ มีความสุขที่จะหว่านเมล็ดพันธ์ุแห่งความสามารถแล้วค่อยๆฟูมฟักจนมันเติบโตและสวยงาม ตามแต่ศักยภาพของเราจะพอเลี้ยงมันได้
แค่ทำแล้วมีความสุข ก็เป็นเหตุผลที่เกินพอแล้วที่จะทำ ส่วนถ้าความสุขดังกล่าวมันจะดึงดูดอะไรมากกว่านั้น
ล้วนเป็นผลพลอยได้ทั้งสิ้น
เราคิดแบบนั้น...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น