บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม, 2016

แต่ก่อน.......ตอนนี้

     เวลาเปลี่ยน  ความคิดความอ่านบางอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  มานั่งนึกๆดูจึงรู้สึกว่า....มันไม่น้อยเลยเหมือนกัน      แต่ก่อน  -  งานกาชาติสนุกจังเลย (ไปทุกปี)      ตอนนี้  -  กะอีแค่ไปสอยดาวบู๊ธนั้นบู๊ธนี้มันสนุกตรงไหน  คนก็เยอะ      แต่ก่อน  -  เป็นผู้หญิงก็ต้องใส่กระโปรงสิ      ตอนนี้  -  ใส่กางเกงคล่องตัวกว่าตั้งเยอะ      แต่ก่อน  -  ผู้หญิงก็ต้องคู่กับสีชมพู      ตอนนี้  -  ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าให้ฉันใส่สีชมพูเลยนะ      แต่ก่อน  -  ไม่เอาอ่ะ  ไม่อยากคุยกับเพื่อนผู้ชาย      ตอนนี้  -  ถ้าสนิทกันก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร...      แต่ก่อน  -  ต้องอยู่ในที่ที่มีแต่ผู้ชายจริงๆเหรอ  (ทำหน้าจะร้องไห้)      ตอนนี้  -  (ยักไหล่)  คงอึดอัดแค่ช่วงแรกๆ  แต่ดีนะ  ผู้ชายไม่เรื่องมาก  ไม่จุกจิก (แต่ถ้าคิดว่าผู้ชายไม่สนใจความเป็นไปล่ะก็....ผิดถนัด  หุหุ)      แต่ก่อน  -  หนอยย  ดูหน้าก็รู้ว่าไม่มีทางอายุมากกว่า  มาเรียกฉันว่า "น้อง" ได้ไง      ตอนนี้  -  ถ้าเขาอยากเป็นพี่ก็ปล่อยเขาเถอะ  (เหลือบตา)      แต่ก่อน  -  ผมยาวสิ  ดูเป็นผู้หญิ้ง..ผู้หญิง  

เพราะคำว่า "โสด" ไม่ได้มีมาเพราะ "โชค" ช่วย

     เมื่อใช้ชีวิตมาถึงอายุปูนนี้  พูดคำว่า "โสด" ทีไร  ก็เหมือนจะมีแต่คนเดือดร้อนแทน      "ทำไมเธอไม่หาแฟนล่ะ???"  บลา บลา บลา      บางคนก็ว่า  เอ  หรือจะเป็นเพราะว่าเธออยู่ราศีนั้นราศีนี้  ซึ่งเป็นราศีที่อาภัพรัก  เธอเลยไม่มีคู่เสียที...      โอ๊ย  ใครว่าโสดนี่เป็นเพราะโชคชะตาเล่า  มันเป็นเพราะการกระทำต่างหาก  กว่าจะครองตัวมาถึงขนาดนี้เนี่ย  ต้องทำตั้งเยอะเลยนะ...      ทำอะไรบ้างน่ะเหรอ......ก็..........      1.  ต้องเป็นตัวของตัวเอง...อย่างมาก  :  อะไรที่คนอื่นๆเขาทำกันที่ทำแล้วจะน่าพึงใจ  ต้องไม่ทำ  เป็นต้นว่า      'แต่งหน้าสิ'  -  แต่งทำไม  เหนอะหนะ  ขี้เกียจ      'ถ้าปล่อยผมนี่จะสวยเลยนะ'  -  ไม่ล่ะ  ร้อน  รำคาญ      'ลดความอ้วนสิ'  -  มันไม่ลงเองอ่ะ  :p  แล้วก็ชอบกินมากกว่า  หุหุ  หรือไม่ก็      'หัดทำตัวแบบผู้หญิงบ้างสิ'  -  ไม่ได้อยากเกิดเป็นผู้หญิง  ทำไมต้องทำตัวเป็นผู้หญิงด้วย???      คนเรามองกันที่เปลือกนอกก่อนอยู่แล้ว  ลองปกไม่สะดุดตา  ใครจะมามอง  เหอๆๆ      2.  ท่องไว้เลยว่า  "ไม่มีใครช

รวมสถานที่ปฏิบัติธรรม

   1. ยุวพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย : http://web.ybatnet.org/th/course-general/?ckey=2#1  2. ศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนานาชาติ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ : http://www.msarc.info/  3. วัดอัมพวัน : http://www.jarun.org/index.php  4. วัดปัญญานันทาราม : http://www.watpanya.org/  5. เสถียรธรรมสถาน : http://www.sdsweb.org/sdsweb/ http://www.chillpainai.com/scoop/233/

เด็ก Gifted

     "เด็ก Gifted"      ได้ยินคำนี้แล้วคุณรู้สึกอย่างไร      บางคนอาจชื่นชม  บางคนอาจเฉยๆ  หรือไม่  บางคนก็อาจหมั่นไส้      ไม่ได้มาบรรยายสรรพคุณ Gifted ดอก  อย่าเพิ่งทำหน้าเบ้  แค่มาเล่าให้ฟังเท่าที่รู้เฉยๆว่า  Gifted สมัยก่อนกับสมัยนี้  มันต่างกันอย่างไร      ถ้าเราจำไม่ผิด  สมัยที่เราขึ้นมัธยมปลายนั้น  รุ่นเราเป็นรุ่นแรกๆ  ที่มีการนำระบบการเรียนการสอนแบบ Gifted เข้ามาในประเทศไทย      ...ซึ่งโรงเรียนเราก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับโอกาสนั้นเช่นกัน      ระบบ Gifted คือการคัดนักเรียนที่มีความสามารถและความสนใจในหมวดวิชาบางหมวดมารวมด้วยกัน  เพื่อจัดระบบการสอนที่ต่างจากระบบธรรมดา      ซึ่ง  โดยทั่วๆไปจะมี 3 หมวดวิชาหลัก  คือ  ภาษาไทย  ภาษาอังกฤษ  และคณิตศาสตร์  แต่อาจมีหลายโรงเรียนที่มีมากกว่านั้น  เช่น  เคมี  ชีวะ  ฟิสิกส์       ส่วนวิธีคัดเลือกนั้น..  สำหรับในโรงเรียนเราจะใช้วิธีคัดนักเรียนที่มีผลการเรียนในวิชานั้นๆอยู่ในเกณฑ์ดี  เป็นต้นว่า  ได้เกรดเฉลี่ยรวมในรายวิชาภาษาไทยตั้งแต่ 3.5 ขึ้นไป(ประมาณเอา จำไม่ได้)  ผู้ได้รับการคัดเลือกเหล่านี้จะเป็นนักเรียน

Mirrorless camera & I (2) : จนกว่าเราจะพบกันใหม่...กล้องเปลี่ยนเลนส์

รูปภาพ
     และแล้ว...ในที่สุด      วันนี้เราก็ดั้นด้นไปงาน photofair 2016 จนได้      ตื่นเต้นมาก  ดีใจล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์      กะว่า...วันนี้แหละ  จะตัดใจลดยอดเงินในบัญชีมาซื้อของขวัญให้ตัวเองให้จงได้      หลังจากหาข้อมูลมาจำนวนหนึ่ง  เราจึงเตรียมกระดาษเปล่าไปด้วย  เผื่อไว้จดว่าร้านไหนลดเท่าไหร่      และจากการดูแผนที่มาล่วงหน้า  เรารู้ว่า olympus จัดบู๊ธไว้หน้าสุดตรงทางเข้าพอดี...      ...เข้าทาง...      พอเดินเข้างานก็จัดการลงทะเบียนรับของที่ระลึก  และเดินเข้าประตูมองหากล้องรุ่นที่ต้องการอย่างไว  ....นั่นไง  เจอแล้ว      เราปรี่เข้าไปจับกล้อง e-pl8 ก่อนลำดับแรก      'หนักว่ะ  มันหนักงี้เลยเหรอ'  คิดในใจ      ลองกดๆสักพักก็หันไปจับ e-pl7  ต่อ  กดๆอยู่สองสามที  ลองเล่นโหมดต่างๆ      ....แล้วก็วาง....      ชวนแม่ไปเดินดูกล้องรุ่นอื่น  และเดินรอบๆงาน  ลองเล่นไปเรื่อย      หยิบกล้องมาถ่ายรูป  แชะ!  อุ๊ยถ่ายรอบเดียวได้หน้าชัดหลังเบลอด้วย       คนถ่ายเก่ง 555 / ผิด  กล้องมันดีตะหากล่ะ      ระหว่างนั้นก็เรียบเรียงคำตอบในใจอยู่เงียบๆ      สุดท้าย  เราก

Mirrorless camera & I (1) : ฉันอยากได้กล้องมิลเลอร์เลส

รูปภาพ
     เมื่อประมาณหกเดือนก่อน  เราได้มีโอกาสจับกล้องตัวหนึ่ง  เมื่อถามรายละเอียดก็ได้ความว่ามันชื่อว่า  sony a5100...      ...และเป็นกล้อง mirrorless...      นับจากวันนั้นเราจึงบอกกับตัวเองว่า....เราอยากได้กล้อง mirrorless      เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับกับกล้องมิลเลอร์เลสอย่างเอาจริงเอาจัง  แล้วก็เก็บเอาไปเพ้ออยู่คนเดียวว่า  เราจะซื้อให้ได้      แต่พอถามว่า  แล้วเราอยากได้รุ่นไหน....      เราก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน      เราชอบ  sony a5100  แต่เราก็ว่ามันแพงไป  และเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้รู้สึกว่า..มันยังไม่ใช่อ่ะ      เราลองหันมองกล้องรุ่นรองลงมา  sony a5000  แต่เราไม่ชอบตรงมันทัชสกรีนไม่ได้      เราลองเหล่  canon emos10  แต่...เราไม่เคยได้มีโอกาสจับตัวจริงเลย  แถมมีคนคอมเม้นท์แง่ลบมาอีกกระบุงหนึ่ง...      ...พอไม่เคยจับตัวจริงจึงไม่สามารถเถียงอะไรแทนให้ได้  ขออภัย      อีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจคือ  fuji ax-2  อ่านรีวิวแล้วเราชอบสี(ที่ถ่ายออกมา)นะ  แต่....ทัชสกรีนไม่ได้อีกแล้วครับพี่น้อง      อีกอย่าง  เรามีนิสัยเสียอย่างนึงคือ  พอเห็นคนส่วนใหญ่เฮละโลไปชอบอะไร  

คุยกับเพื่อนมา : เรียนภาษาเข้าไป แต่ใช้ไม่เป็น ?!

     เมื่อวานไลน์คุยกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง  ซึ่งเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์  เธอขอคำแนะนำเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ  คุยไปคุยมาเราเลยแซวว่า      "แกขอทุนที่บริษัทไปเรียนภาษาเพิ่มสิ"      เธอตอบมาว่า      "เขาให้คนมาสอนแล้ว  แต่ไม่เวิร์คว่ะ"      ถามไปถามมาก็ได้ความว่า  ให้อาจารย์ต่างชาติมาสอน  แต่มาถึงก็พูดๆๆ  แล้วแจกแบบฝึกหัดให้ทำ  แม้แต่คาบแรกที่ควรให้นักเรียนได้สนทนาและแนะนำตัว  ก็ยังให้ทำแต่แบบฝึกหัดแล้วเรียกตอบ      ...แค่นั้น      ...เออ  แต่ได้ประโยชน์ตรงที่เขาสอนเขียนอีเมลโต้ตอบภาษาอังกฤษอ่ะนะ      คุยมาถึงตรงนี้เราเลยเริ่มเกิดคำถามว่า  เออนะ  ทำไมบ้านเราเรียนภาษาอังกฤษกันแทบตาย  แต่พอจะใช้จริงขึ้นมา      ....กลับไปกันไม่ค่อยเป็น ?!      สังเกตไหม  พวกที่เก่งภาษาอังกฤษทั้งที่เรียนในประเทศน่ะ  มันมักมีอยู่สามประเภทใหญ่ๆ      1.  เก่งอยู่แล้วโดยตัวเอง  มีทั้งพวกเก่งทุกวิชา(อิจฉาเลย)  หรือไม่ก็เก่งด้านภาษามาก      2.  เรียนในชั้นเรียนพิเศษ  เช่น  พวกภาคอินเตอร์ทั้งหลาย  ที่จัดสรรอาจารย์เก่งๆมาสอนกันโดยเฉพาะ      3.  ขวนขวายหาความรู้เอาเองเพิ่มเติม  ไม่