บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม, 2018

งานรื่นเริง...เหรอ

     ในงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่...      ประธานกล่าวเปิดงานและให้โอวาท  แล้วเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง      "จัดงานนี้ขึ้นเพื่อขอบคุณที่ทุกคนเหนื่อยกันมาตลอดทั้งปี..."      ว่าแต่ว่า  แล้วงานเลี้ยงมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการจริงๆรึเปล่า?      ก่อนงานเลี้ยงประมาณหนึ่งอาทิตย์  บุคลากรทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายปฏิบัติงานได้รับคำเชิญชวนแกมบังคับว่า  "เราจัดงานเพื่อทุกคน  หากไปได้  กรุณาไป"      หากไม่มีเหตุจำเป็น  ใครจะกล้าขัดใจเจ้านาย....      ถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเชิงโยนหินถามทางว่าไปรึเปล่า  ได้รับคำตอบพร้อมยิ้มแหยๆว่า      "คงต้องไป"      ผู้ใหญ่ยังไป  ผู้น้อยคงขัดไม่ได้      ด้วยเหตุนี้  ในวันงาน  แทบทุกคนจึงทยอยกันมาอย่าง(เกือบ)พร้อมหน้าพร้อมตา ณ ร้านอาหารที่จัดงาน      พอนั่งเสร็จ  เสียงแรกของโต๊ะที่หลุดรอดออกมาจากปากคือ       "หิวแล้ว  อาหารอยู่ไหน"      พออาหารมาจึงไม่ต้องแปลกใจที่ทุกคนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับ.. เอ่อ  กิจธุระที่อยู่เบื้องหน้าตนเอง      ....ปากท้องต้องมาก่อน          ขณะที่บุคลากรฝ่ายปฏิบัติการหลายท่านกำลั

ของขวัญ

     ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่  "ของขวัญ"  ยังคงมีผลต่อจิตใจของใครหลายๆคน      ตอนเด็กๆ  เราชอบเหลือเกินกับการได้ของขวัญ  ไม่ว่าจะในวันเกิด  วันปีใหม่  หรือแม้แต่การจับสลากแลกของขวัญตามเทศกาลสำคัญ      เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ได้สัมผัสกล่อง  ค่อยๆใช้มือแกะเทป  ลอกกระดาษห่อของขวัญออก  แล้วลุ้นว่า  เปิดกล่องมา  จะพบอะไร      ส่วนได้ของถูกใจหรือไม่เป็นอีกเรื่องนึง  แค่ได้ของขวัญก็ดีใจแล้ว      พอเริ่มโตขึ้น  ของขวัญเริ่มมีความหมายต่อใจต่างออกไป  เราไม่ได้สนใจแค่ว่าเราได้ของขวัญมากเพียงใดหรือได้อะไร  แต่เราเริ่มมองไปถึงว่า  ใครเป็นคนให้  ให้ในโอกาสอะไร  หากเป็นของขวัญที่ได้จากคนที่รัก  ปริมาณความสุขก็จะพุ่งขึ้นสูง  เพราะเราจะรู้สึกถึงความเป็นที่รักและความเป็นคนสำคัญ      ส่วนใครที่ได้ของขวัญจากคนที่ไม่รัก....ไม่ต้องอธิบายความรู้สึกหรอกกระมัง  น่าจะเข้าใจได้      นอกจากนี้  ตัวของขวัญที่ได้นั้นก็สำคัญไปอีกแบบ  คือ  ถ้าในมุมคนให้  เราต้องบรรจงในการเลือกมากขึ้นโดยคำนึงถึงปัจจัยหรือความจำเป็นในหลายมิติขึ้น  ส่วนในมุมของคนรับนั้น  ก็ไม่ใช่ทุกชิ้นที่เราได้รับจะทำให้เราพอใจได้  ต

งานปีใหม่...ที่ไม่อยากร่วม

     จะปีใหม่แล้ว     ด้วยเหตุนี้  ที่ทำงานของแต่ละคนก็จะเริ่มจัดงานปีใหม่ขึ้น  ของเราก็เช่นกัน  โดยที่ทำงานเราเลือกจัดในช่วงกลางคืนของวันกลางสัปดาห์ของสัปดาห์ทำงานวันสุดท้ายของเดือนธันวาคมที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง      และด้วยการลงมติของเพื่อน  สรุปว่าเพื่อนรุ่นเราทุกคนไป  ผลคือ  เราก็ต้องไปด้วยเช่นกัน      เฮ้อออ      เราไม่ชอบไปงานเลี้ยง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  งานเลี้ยงตอนเย็นถึงตอนกลางคืน  เพราะตามความคิด(เองเออเอง)ของเรา  กลางคืนเป็นยามวิกาลที่ควรซุกตัวอยู่กับบ้านมากกว่าออกไปตระเวนหรือเต้นแร้งเต้นกา      เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการนัดเลี้ยง  จัดเลี้ยง  หรือปาร์ตี้ยามราตรี  หรือเล็งเห็นแล้วว่า  ยาวถึงราตรีแน่ๆ  หากเลี่ยงได้  เราจะเลี่ยง  จะคิดเอารางวัลมาล่อเป็นคันรถหรือจัดอาหารที่ดีที่สุดในโลกมาให้เพื่อหวังว่าเราจะไป      เราไม่ไป!! .... ถ้าทำได้      แต่ดูเหมือนคราวนี้  โชคจะไม่ค่อยเข้าข้างเราเท่าไหร่      อันที่จริงโชคเรื่องงานเลี้ยงเนี่ยไม่ค่อยเข้าข้างมานานแล้ว      ที่ทำงานเรามีสองหน่วยใหญ่  ปลายปีที่แล้วเราอยู่หน่วยนึง(ขอเรียกว่า หน่วยหนึ่ง)  ปีนี้อยู่อีกหน่วย(เรียก

ผิดเป็นผิด(วะ)

     คนที่เคยอ่านเรื่อง "ลูกอีช่างถาม"  อาจเข้าใจว่า  เราเป็นคนช่างถาม  และถามทุกเรื่อง      ซึ่งไม่จริง      โหมดถามไม่หยุดของเราจะเปิดต่อเมื่อจำเป็นหรืออยู่กับคนที่สนิทมากๆเท่านั้น      ถ้าเวลาปกติ  หรือทำงานปกติ  บางครั้งจะเป็นอีกโหมดนึง  โหมดที่ว่านี้คือ      "โหมดไม่ถาม"      ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า  เมื่ออยู่โลกภายนอกนั้น  เราค่อนข้างจะเงียบ      มีงานอะไร  บางทีเราไม่ค่อยถามใคร  ทำไปโดยเดาเอาเองแล้วปล่อยให้มันผิดไปเลย  ผิดแล้วโดนแก้ค่อยมาว่ากันอีกที  นี่คือโหมดไม่ถาม      เคยถามตัวเองเหมือนกัน  ว่าทำไมไม่ถาม  คำตอบที่ได้คือ      หนึ่ง  เป็นคนขี้เกรงใจและไม่ค่อยชอบพึ่งใคร  เพราะฉะนั้นพอทำงานอะไรก็จะโซโลไปก่อนเลยคนเดียว  จวนตัวจริงๆ  ค่อยมาว่ากันใหม่      สอง  คิดว่า  น่าจะเอาหลักจากเกมมาใช้ในชีวิตจริง      หลักจากเกม...เนี่ยนะ?      ช่าย  หลักจากเกมเนี่ยแหละ      คือเราเป็นคนเล่นเกมที่มีสไตล์การเล่นเกมว่า  ตะลุยไปก่อนเลย  คู่มงคู่มืออะไรไม่แตะ  ชิบห.....เอ่อ  หมายถึง  ผิดพลาดหรือตายแล้วค่อยมาว่ากันอีกที      แล้วจากประสบการณ์  เกมที

สาระ : การสำรองข้อมูลไลน์สำหรับระบบแอนดรอยด์

     สวัสดีค่ะ      เคยไหม  พอเปลี่ยนมือถือทีไรแทบอยากร้องไห้  เพราะข้อมูลต่างๆ  ทั้งประวัติการคุย  เอกสาร  หรือรูปภาพใดๆที่อยู่ในไลน์เครื่องเก่า      หายเกลี้ยง!      เท่านั้นยังดีหรอก  แย่กว่านั้นคือสติ๊กเกอร์  ธีม และเพื่อนหายไปด้วย  โอ๊ย  จะบ้า     วันนี้เลยจะมานำเสนอวิธีสำรองข้อมูลของไลน์ไว้ก่อนที่จะเปลี่ยนเครื่อง  เพื่อจะได้ไม่ต้องอารมณ์เสียกับการสูญเสียข้อมูลสำคัญ      ก่อนอื่น  ขอออกตัวก่อนเลยว่าเราไม่ได้คิดเอง  แต่เรียนรู้วิธีทำมาจากคลิปของคุณเฟื่องลดา  อีกหนึ่งนางฟ้าแห่งวงการไอที  เธอได้ถ่ายทอดข้อมูลเอาไว้ในวิดีโอที่เผยแพร่ช่องยูทูป  นอกจากเรื่องนี้แล้วก็มีเรื่องอื่นๆ  เช่น  รีวิวกล้อง  มือถือ  หรือจิปาถะอีกเยอะแยะมากมาย      ...ก่อนที่ยัยคนเขียนจะไปดูแล้วเอามาลองทำ      ในที่นี้จะขอนำเสนอเฉพาะระบบแอนดรอยด์(ในวิดีโอคุณเฟื่องลดามีระบบ ios ด้วยค่ะ)  เพราะบ้านคนเขียนไม่มีอุปกรณ์ค่ายผลไม้      มาเริ่มกันเลย      ขั้นตอนมีดังนี้ค่ะ      1. เปิดแอพลิเคชั่นไลน์ขึ้นมา  อ่อ  กรุณาต่อเนตด้วยนะคะ  จะใช้เนตมือถือหรือไวไฟก็แล้วแต่      2. ไปที่ตั้งค่า  โดยที่   - ไ

สงครามกระดาษ

     เป็นคนชอบขีดๆเขียนๆค่ะ      ด้วยความที่ชอบเขียนไปเรื่อย  สิ่งที่ซื้อมาอย่างฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่งนั้นคือ  สมุด  ซื้อถี่ขนาดที่ว่าทั้งที่บ้านทั้งตัวเองต้องคอยพูดกรอกหู(ตัวเอง)อยู่บ่อยๆว่า  ต่อไปนี้ห้ามซื้อสมุดละนะ      ...แต่ก็ไม่วาย...      จุดเริ่มต้นของการเขียนมาจากความต้องการในการบันทึกช่วงเวลาประทับใจ  จากนั้นจึงต่อยอดเป็นการเขียนบันทึกประจำวัน  โดยเริ่มบันทึกข้อความในหัวลงในสมุดริมลวดธรรมดาๆก่อน  เขียนๆไปปรากฏว่า...ความลับรั่วไหล  เพราะมีคนเข้ามาจัดของให้แล้วหยิบไปอ่านโดยถือวิสาสะ      หลังจากนั้นเลยเริ่มยับยั้งชั่งใจในการเขียนมากขึ้น      แรกๆก็ยังฮึดนะ  คือไปซื้อสมุดประเภทที่มีกุญแจล็อคอ่ะ  แล้วบันทึกใส่สมุดแบบนั้น  เขียนเสร็จก็ล็อคกุญแจ  สบายใจ  รู้ตัวอีกที  อ้าว...สมุดหมดไปประมาณสามเล่ม      ....รื้อบ้านแล้วเจอสมุดบันทึกเก่า  กลับไปอ่านทีแทบกุมขมับ  ตูเขียนอะไรลงไป  (ไม่รู้ว่าตัวเราในอนาคตจะกลับมาอ่านงานเขียนในปัจจุบันแล้วมีอาการเดียวกับเราตอนนี้ที่กลับไปอ่านบันทึกสมัยเรียนรึเปล่า)     แต่แล้วความขวนขวายในการเขียนก็หายไปตามกาลเวลา...     จนกระทั่งเทคโนโลยีเข

เพศนั่นแหละ...ต้นเหตุ

     เราได้รับคำสั่งให้ช่วยงานที่หน่วยงานอีกหน่วยงานหนึ่ง      อันที่จริง  ไม่ใช่เราคนเดียว  แต่เราและเพื่อนทั้งรุ่นได้รับคำสั่งให้ทำงานสองที่      เมื่อรับคำสั่งมา  ก็ปฏิบัติไปตามนั้น  ทีนี้  หน่วยงานที่สองนั้นเขาก็จัดผู้ใหญ่มาช่วยอบรมดูแลแก่เราและเพื่อน  ในที่นี้  ขอเรียกผู้ใหญ่เหล่านี้ว่า  ติวเตอร์      และเราได้ติวเตอร์ผู้ชาย...      แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลองของมัน  พร้อมกับสภาพอิดโรยของพวกเราแต่ละคนที่ต้องวิ่งรอกสองที่  เพื่อความสัมฤทธิ์ของผลงาน      ...เขาสั่งก็ต้องทำอ่ะนะ      จนกระทั่ง      ตอนเช้าของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา  ขณะที่เราเข้าไปที่โต๊ะของติวเตอร์เรานั้นเอง  ผู้ใหญ่สามท่านที่อยู่บริเวณนั้น  ก็เข้ามาหาเราแล้วบอกว่า      "อาจารย์หนูน่ะ น็อค ไปแล้ว"      "คะ?!"      แล้วท่านทั้งสามก็ช่วยกันเล่าว่า  เมื่อเย็นวันพุธตอนช่วงเลิกงาน  จู่ๆท่านก็สังเกตว่า  ติวเตอร์เรามีอาการโงนเงน  เหมือนหายใจไม่ออก  แล้วก็วูบไป  ท่านๆจึงช่วยกันพาติวเตอร์เราไปโรงพยาบาล  เป็นเหตุให้วันนี้ติวเตอร์ไม่มาทำงาน ....หนึ่งในนั้นกล่าวทิ้งท้ายว่า  "วัน