บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤษภาคม, 2016

คำพูดเป็นเหตุ : โชคดีหรือโชคร้าย

     วันนี้  คุยไลน์กับน้องคนหนึ่ง  แลีวเอาข้อมูลบางอย่างที่คิดว่าน้องสนใจไปบอก      แล้วน้องก็ถามต่อยอดไปจนถึงจุดๆหนึ่ง  จู่ๆ  เราก็ตอบกลับไปประมาณว่า      "บอกตามตรง  ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยถ้าไม่ได้คุยกับแกและเพื่อนอีกคน  และไม่มีเวลาหาข้อมูลเพิ่มด้วย"      สักพักเราก็เริ่มนอยด์อยู่คนเดียวว่า....น้องมันจะโกรธป่าววะ?      แล้วจึงเริ่มคิดต่อว่า  เอ...คนที่สนิทกับเราจนเรากล้าตอกกลับไปแรงๆนี่  เขาจะเสียใจที่เราพูดแรง  หรือเขาจะดีใจที่เราสนิทใจด้วยจนกล้าพูดแรงกันแน่นะ?      คิดไปจนถึงขั้นที่ว่า...      ...ตกลงแล้ว  เราเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของคนที่เราสนิทด้วยกันแน่???      แต่แทนที่คำตอบของคำถามจะออกมาตรงๆ  กลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาแทน  นั่นคือ      ทุกคนย่อมมีทั้งด้านดีและด้านร้ายอยู่ในตัว  ตราบใดที่ยังไม่บรรลุมรรคผล  หรือไม่ได้ผุดมาจากนรกชั้นล่างสุดแล้ว  ไม่มีใครจะดีหรือร้ายร้อยเปอร์เซนต์หรอกกระมัง      ยามใดที่ด้านดีของเราได้แสดงศักยภาพ  เมื่อนั้นเราคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวโชคดี  รู้สึกดี  และภูมิใจกับตัวเอง      แต่หากเมื่อใดความร้ายกาจเริ่มแผลงฤทธิ

เกลียดใครมาก อ่านทางนี้

     กำลังเบื่อหน้าใครสักคนอยู่บ้างไหม      กำลังรู้สึกเกลียดใครสักคนมากจนไม่อยากเจออีกแล้วบ้างรึเปล่า     แน่  กำลังตั้งใจว่าต่อไปนี้หลังสวดมนต์จะอธิษฐานว่าต่อแต่นี้ขออย่าได้เจอะได้เจอคนนั้นคนนี้  เพื่อหวังว่าผลบุญจะทำให้แคล้วคลาดกับคนที่เกลียดอยู่ล่ะสิ          หยุด!!!      ทำแบบนั้นน่ะ  นอกจากจะหลบไม่ได้แล้ว  ยังมีแนวโน้มสูงมากด้วยว่าจะไปพบเจอกันอีกในชาติต่อๆไปเป็นแน่      ทำไมน่ะรึ??      รู้หรือเปล่าว่า  การที่คนเราได้มารู้จัก  มารัก  มาอยู่ในวงจรชีวิตของกันและกันได้นั้น  เพราะมีสายใยบางอย่างเชื่อมกันอยู่      สายใยแบบแรกคือความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันมาในชาติก่อนๆ  ในทางดีก็เช่น  เคยรัก  เคยผูกพันกันมาไม่ว่าในสถานะใด  เคยร่วมกันทำบุญทำกุศลต่อกันหรือต่อบุคคลอื่นมาเป็นระยะเวลาหนึ่งๆ  พอมาเจอหน้ากัน  จึงรู้สึกรัก  ผูกพัน  และเข้ากันได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ      ส่วนในทางลบ  ที่เจอกันนี่แฮ่ใส่กันมาเลย  หรือไม่ก็อยู่ๆกันไปแล้วทุกข์นี่  ต้นเหตุที่เห็นชัดแจ้งที่สุดเลยคือ  เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาก่อน  เคยฆ่ากันตายมาก่อนในชาติใดชาติหนึ่ง  หรือแม้แต่เคยรักกันแล้วฆ่ากันตา

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน....จนกว่าจะมีปัญหากัน

     มีใครคุ้นๆกับเหตุการณ์ต่อไปนี้บ้าง      วันดีคืนดี  แม่เพื่อนคนสวยก็เดินยิ้มน่าระรื่นเข้ามา  "พวกแก  ชั้นมีแฟนแล้วนะ..."      ......จ้ะ  ยินดีด้วย      แล้วพอมีเวลาว่าง  เสียงโทรศัพท์มักดังขึ้น  "ค่าา(เสียงหวาน)"  แล้วเดินไปคุยอีกทางหนึ่ง      ......ส่วนเพื่อนได้แค่หันมองหน้ากัน  แล้วทำโน่นทำนี่ต่อไป      เรื่องราวในเฟสบุ๊คของเธอเริ่มมีรูปหวานๆ  มีข้อความเลี่ยนๆ  เลื่อนหน้าจอผ่านแต่ละทีกลัวมดจะขึ้น...      ส่วนเวลาว่าง....  'ไปกะแฟนอ่ะแก'  ยิ่งปิดเทอมนี่ลืมไปเถอะ  โชคดีหล่อนคิดถึงเพื่อนเท่านั้นแหละถึงได้นัดเจอกัน      ........เออ  ยังไงซะเพื่อนอย่างพวกฉันมัน available all the time อยู่แล้วนี่..........      วันไม่ค่อยจะดี  โทรศัพท์จะดังขึ้น  "แก(เสียงเครือ)  อยู่ไหนอ่ะ"      สอบไปสอบมาได้ความว่าอยู่ห้องสมุดชั้นล่าง  ร้องไห้อยู่          "เพิ่งเลิกกะแฟน"      "เออ  เดี๋ยวเดินลงไปหา"  แล้วเพื่อนหนึ่งคน  สองคน  หรือทั้งกลุ่มก็จะลงไปนั่งห้อมล้อมนั่งปลอบคนร้องไห้      เพื่อนก็ร้องไห้ไป  บ่นไป  ฟังรู้เร

ฝึกภาษาแบบไม่เครียดกันเถอะ (2) : ภาพยนตร์, บทความ และเวบฝึกภาษาโดยตรง

     เอาล่ะ  เริ่มพัฒนาทักษะทางภาษาผ่านทางเพลงและเกมไปบ้างแล้ว  คราวนี้มาลองวิธีอื่นบ้างดีกว่า       ภาพยนตร์/ละคร/ซีรีย์       สำหรับคนที่ชอบดูภาพยนตร์  ละคร  หรือซีรีย์แล้ว  การฝึกด้วยวิธีนี้คงจะถูกจริตกับคุณ  เชื่อไหมคะว่าเราสามารถฝึกภาษาไปพร้อมๆกับการเพลิดเพลินเนื้อเรื่องของ "หนัง"  (จะเรียกรวมๆว่า "หนัง" ละนะ)  ได้เหมือนกัน  เป็นการพัฒนาการฟังและได้ศัพท์ภาษาพูดได้พอๆกับเพลง  และบางทีก็ได้ศัพท์เหมือนกับเล่นเกมด้วย  :D      สำหรับเรา(คือคนอื่นอาจมีวิธีอื่น  เราไม่ทราบ)  เคล็ดลับมีอยู่ประโยคเดียว      "อย่าดูพากย์ไทย"  เว้นแต่ในแต่ละเรื่องท่านอยากได้แค่ศัพท์จากชื่อเรื่อง        ยิ่งถ้าบางเรื่องแม้แต่ชื่อเรื่องก็ยังแปลเป็นไทยล่ะก็.........จบกัน      เว้นแต่จะดูพากย์ไทย  แต่มี  subtitle  เป็นอังกฤษ  ก็จะกลายเป็นฝึกอังกฤษจากการอ่านไปแทน      .......แต่มันจะมีเหรอคะคู้ณณณ  พากย์ไทยซับอังกฤษเนี่ย???      เอาแบบที่น่าจะง่ายสุดเลยนะ  ให้ดูพากย์อังกฤษแล้วซับ(subtitle)ไทย  จริงอยู่  ฟังตอนแรกน่ะไม่รู้เรื่องหรอก  อะไรวะ  พูดเร็วหยั่งกะจรวด    

ฝึกภาษาแบบไม่เครียดกันเถอะ(1) : เพลง และ เกม

     ยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัฒน์  การปิดหูปิดตาไม่ยอมเรียนรู้ภาษาที่สองเห็นจะเป็นไปไม่ได้  ว่ากันตามความเห็นส่วนตัวแล้วล่ะก็  รู้แค่สองภาษานี่  เผลอๆยังไม่พอด้วยซ้ำไป      เรามีหลักการในการเรียนภาษาอย่างหนึ่ง  นั่นคือเราแบ่งการใช้ภาษาออกเป็นสองประเภท  คือการพูดและการเขียน  อันเรียกเอาเองว่า  เป็นการ "สื่อ"  สาร  คือใช้ภาษาในการบอกเล่าออกไปให้โลกรู้  และอีกประเภทก็คือ  การอ่านและการฟัง  ซึ่งเป็นการ "รับ" สารเข้ามา      สิ่งที่ตระหนักได้จากการแบ่งนี้คือ  คนเราจะถ่ายทอดออกไปได้เท่าที่เรามีเท่านั้น  ดังนั้นแล้ว  ก่อนจะพูดหรือเขียนได้  เราจะต้องอ่าน  ฟัง รวมไปถึงเก็บประสบการณ์ต่างๆมาสักระยะหนึ่งก่อนนั่นเอง      สิ่งที่จะมาบอกเล่าสำหรับวันนี้คือวิธีการ "รับ" สาร  เข้ามาสะสมในหัวสมอง  เพื่อที่ว่าเมื่อเรามีอะไรๆมากพอแล้ว  เราจะได้สามารถใช้ภาษาให้โลกเข้าใจเราได้      มาดูวิธีลำเลียงภาษาเข้าสมองกันเลย        ประการแรกเลย  สิ่งที่ต้องมีคือ        ตัวช่วย  :  เมื่อใดก็ตามที่จะต้องเกี่ยวข้องกับภาษาต่างประเทศแบบต้องการได้ "อะไร"  สิ่งหนึ่งที่ต้องห