ฝึกภาษาแบบไม่เครียดกันเถอะ (2) : ภาพยนตร์, บทความ และเวบฝึกภาษาโดยตรง



     เอาล่ะ  เริ่มพัฒนาทักษะทางภาษาผ่านทางเพลงและเกมไปบ้างแล้ว  คราวนี้มาลองวิธีอื่นบ้างดีกว่า



     ภาพยนตร์/ละคร/ซีรีย์

     สำหรับคนที่ชอบดูภาพยนตร์  ละคร  หรือซีรีย์แล้ว  การฝึกด้วยวิธีนี้คงจะถูกจริตกับคุณ  เชื่อไหมคะว่าเราสามารถฝึกภาษาไปพร้อมๆกับการเพลิดเพลินเนื้อเรื่องของ "หนัง"  (จะเรียกรวมๆว่า "หนัง" ละนะ)  ได้เหมือนกัน  เป็นการพัฒนาการฟังและได้ศัพท์ภาษาพูดได้พอๆกับเพลง  และบางทีก็ได้ศัพท์เหมือนกับเล่นเกมด้วย  :D

     สำหรับเรา(คือคนอื่นอาจมีวิธีอื่น  เราไม่ทราบ)  เคล็ดลับมีอยู่ประโยคเดียว

     "อย่าดูพากย์ไทย"  เว้นแต่ในแต่ละเรื่องท่านอยากได้แค่ศัพท์จากชื่อเรื่อง
 
     ยิ่งถ้าบางเรื่องแม้แต่ชื่อเรื่องก็ยังแปลเป็นไทยล่ะก็.........จบกัน

     เว้นแต่จะดูพากย์ไทย  แต่มี  subtitle  เป็นอังกฤษ  ก็จะกลายเป็นฝึกอังกฤษจากการอ่านไปแทน
     .......แต่มันจะมีเหรอคะคู้ณณณ  พากย์ไทยซับอังกฤษเนี่ย???


     เอาแบบที่น่าจะง่ายสุดเลยนะ  ให้ดูพากย์อังกฤษแล้วซับ(subtitle)ไทย  จริงอยู่  ฟังตอนแรกน่ะไม่รู้เรื่องหรอก  อะไรวะ  พูดเร็วหยั่งกะจรวด
     อย่างน้อยก็อ่านภาษาไทยตามไปไง  อ่อ  เลือกที่แปลดีดีด้วยนะ  แบบที่แปล  can you hear me?  ว่า  กระป๋อง  คุณได้ยินไหม  นี่  อย่าเลือกมาเชียว  ปวดหัว

     การเริ่มต้นอาจยากอยู่บ้าง  แต่ถ้าตั้งใจจริงๆ  คุณอาจพบว่าตัวเองอินไปกับหนังและเข้าใจเรื่องได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกตัวอักษร  และถ้าโชคดี  เราจะเจอประโยคที่ตัวละครพูดในระดับที่พอฟังได้  ถึงตรงนั้นหากเลื่อนสายตามาอ่านซับไทยเสียหน่อย  เราจะได้ทั้งการฟังและคำแปลของประโยคๆหนึ่งได้ในคราวเดียวกัน
     แม้ในบางครั้ง  คำที่รู้เรื่องจะมีแค่   Damn  (แม่งเอ๊ยยย)  หรือ  Hold  on  (เกาะไว้)  ก็ตาม  อย่างน้อยก็ยังได้บ้างนี่นา

     เล่าเรื่องตัวเองก็ได้  เราใช้วิธีนี้แหละตอนดู  Criminal  Mind  มีอยู่ตอนหนึ่ง  ตัวเอกบอกว่า

     "It's doesn't make sense..."  แล้วซับไทยตอนนั้นแปลได้ว่า  "มันไม่เห็นเข้าท่าเลย"

     ประโยคนั้นทั้งประโยคยังติดหูมาจนทุกวันนี้  และพร้อมใช้ทุกครั้งที่มีโอกาสด้วย  หุหุ

     ลองดูได้นะ  เราอาจค้นพบประโยคประจำตัวจากหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้  ใครจะรู้


     วิธีที่ยากขึ้นมาอีกหน่อยคือดูหนังแบบ  พากย์อังกฤษ  และ  มีซับ(subtitle)อังกฤษ  อันนี้ถ้าอยากได้ตัวช่วยแนะนำให้เอาดิคติดตัวเหมือนเช่นเคย

     สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคือคุณจะพบว่าตัวเองอ่านภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น  เพราะฟังตัวละครพูดไม่ทันจึงเน้นที่การอ่านคำพูดตามเป็นหลัก
     ซึ่งเป็นการพัฒนาทักษะทางการอ่านไปได้พร้อมๆกับการฝึกฟัง
     และผลที่ตามมาคือเราจะรู้ศัพท์ไปด้วย  เพราะแต่ละประโยคล้วนมีศัพท์อยู่ทั้งสิ้น  ฟังไป  เอ...คำนี้คืออะไร  เลื่อนสายตาลงมาดู  อ๋ออ  คำนี้เอง  สะกดแบบนี้เอง  ยิ่งถ้าเจอหลายๆครั้ง  โอกาสที่จะจำได้ก็จะสูงขึ้นไปด้วย

     แน่นอน  นอกจากการฟังและการอ่านแล้ว  สิ่งที่จะผ่านตาไปคือภาษาพูด  เพราะหนังทั่วไปจะไม่ใช้ภาษาหนังสือหรอก  ยิ่งคำอุทานเนี่ยนะ  โอ๊ย  หายห่วง  (บางทีด่ากันไฟแลบ  จดไว้ด่าฝรั่งได้  หึหึ)

     ตอนปีสอง  เราโดนบังคับให้ดูเรื่อง  Erin Brockovich  โดยอาจารย์กำหนดว่า  ต้องดูแบบพากย์อังกฤษ  ซับอังกฤษเท่านั้น  โอเค  ดูก็ดู
     แล้วก็เจอเข้ากับประโยคคู่หนึ่ง

     นางเอก  :  I'm  nothing.
     พระเอก  :  You're  something  to  me.

     ซึ่งถ้าฟังแบบไม่ดูบริบทเลยมันอาจแปลไม่ถูก  แต่ ณ ขณะนั้นที่นางเอกกำลังบอกว่าตัวเองโดนทิ้งมาสองสามรอบแล้ว  และรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิต  แล้วพระเอกเข้ามาปลอบ  จากประโยคข้างต้นมันจึงแปลได้ว่า

     นางเอก  :  ฉันไม่มีค่าเลย
     พระเอก  :  คุณมีค่าสำหรับผม

     ฟังแล้วก็แบบ  เอ้อ  ใช้แบบนี้ก็ได้สินะ  เห็นมะ  ได้ภาษาไว้ใช้เพิ่มละ  

     ส่วนการดูหนังแบบพากย์อังกฤษและไม่มีซับเลยนั้นไม่ค่อยแนะนำนะคะ  เพราะทุกวันนี้คนแนะนำเองยังไม่กล้าทำแบบนั้นเลย  กลัวไม่รู้เรื่อง  และจะให้แนะนำหนังนั้นก็ขออภัยอีกเช่นกัน  เพราะปกติเป็นคนไม่ค่อยดูหนัง  ยิ่งช่วงนี้แทบไม่ได้ดูอะไรเลย
     แต่ถ้าจะถามว่าแล้วที่เคยดูมีอะไรบ้าง  ก็........เช่น  เอ่อ  Merlin,  Criminal Mind,  CSI,  Law and Order  และ  Ghost Whisperer
     อ่อ  เคยดู  The Secret Life of American Teenagers  กะ  Monk  เป็นเพื่อนแม่อยู่บางตอน  อื้อ  ใช่ค่ะ  ส่วนใหญ่เป็นหนังสืบสวน  เผอิญชอบแนวนี้  


     เลือกหนังที่ชอบและสนุกไปกับมัน  และเรียนภาษาไปพร้อมกันได้เลยค่ะ



     เว็บไซต์ต่างๆ

     อ่ะ  สำหรับคนที่บอกว่า  เพลงก็ไม่ฟัง  หนังก็ไม่ดู  เกมก็ไม่เล่น  แต่รู้ตัวว่าชอบอ่านหนังสือ  ชอบค้นคว้า  และสามารถเข้าอินเตอร์เนตได้  ต้องวิธีนี้แล้วล่ะนะ
     นี่เป็นเคล็ดลับที่ได้รับการแนะนำมาจากเพื่อนที่เก่งภาษาอังกฤษมากๆคนหนึ่งของเรา  ตอนที่เราไปถามเธอว่าที่ทำคะแนน Reading ได้ดีเนี่ย  เธอได้ฝึกยังไงบ้าง  นี่คือคำตอบ

     เพื่อน  :  แกก็อ่านไปเรื่อยๆ  อ่านทุกวัน  สมมติแกชอบเรื่องสัตว์  แกก็พิมพ์  animals  ใส่กูเกิ้ลไป  มันจะมีเวบขึ้นมาให้เลือกเยอะแยะ  เลือกอันไหนก็ได้แล้วอ่านไป  อ่านให้ได้ทุกวัน

     ก็ตามนั้นเลย  อยากอ่านอะไรก็หาเอา  เช่น  ล่าสุด  เราเกิดสงสัยว่า  venomous กับ poisonous ต่างกันอย่างไร  จึงลองกูเกิ้ลดู  ได้คำตอบค่อนข้างดีเชียวล่ะ  ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆคือ  หากมันกัดเราแล้วเราตายคือ venomous  ส่วนถ้าเรากัดมันแล้วเราตาย เรียก poisonous
     ใครสนใจเวอร์ชั่นเต็มแนะนำเวบนี้เลย  http://futurism.com/what-is-the-difference-between-venom-poison-and-toxins/  อธิบายดีมาก  :D

     ส่วนถ้าถามว่าพอจะให้ลายแทงหรือตัวอย่างหน่อยได้มั้ยว่าแนวไหนต้องเข้าเวบไหนบ้าง  เอ้อออ  ค่าาา เดี๋ยวหาให้  (ถ้าบทความนี้ทิ้งช่วงจากบทความแรกนานก็อย่าว่ากันนะ  หึหึ)

     เอ้า  ตัวอย่าง

   1.  ข่าว  :  นี่เลย  CNN (cnn.com),  VOA(voanews.com),  BBC (bbc.co.uk)  สองชื่อแรกเป็นสำนักข่าวของสหรัฐอเมริกา  ส่วนบีบีซีนั้นของอังกฤษ  มีบทความข่าวหลากหลาย  ถ้าสนใจกีฬาก็หมวด sport (เราเคยดูบอลผ่านการถ่ายทอดสดของบีบีซีด้วยนะตอนเรียนโท  แต่เพื่อนหาให้  หาเองหาไม่เจอ 55)  สนใจเทคโนโลยีก็ innovation หรือ tech ไรงี้  สนใจข่าวการเมืองก็ politician  ฯลฯ
       อย่าลืมเอาดิคไว้ข้างตัวด้วยเน่อ

   2.  วิทยาศาสตร์  ธรรมชาติ  :  นี่เลย  National Geographic (nationalgeographic.com)  มีทั้งบทความและวีดีโอให้ดู  หรือถ้าชอบเข้ายูทูป  แนะนำวีดีโอของ Scishow, Vsauce  และ Braincraft  พวกนี้เป็นวีดีโอสั้นๆที่มักนำเสนอเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ผ่านคำถามและมาตอบในวีดีโอ  การเริ่มต้นแนะนำ Scishow และ Braincraft สองอันนี้จะมี....เขาเรียกไรอ่ะ  คล้ายๆนำเสนอแล้วเปิดพาวเวอร์พอยตาม  คือมันมีให้อ่านด้วยค่ะคุณ  ฟังไปไม่ทันก็หันดูศัพท์  เจอศัพท์แล้วไม่รู้ความหมายก็กดหยุดแล้วเปิดดิค  สนุกดีนะ
       ส่วน Vsauce จะเน้นพูดไปเรื่อยแล้วมีภาพประกอบมากกว่า  แรกๆไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก  ฟังๆไปก็อ๋อเองล่ะ

   3.  ดวงชะตา,ราศี  :  เอ้อ  มีหลากหลาย  อย่างเวบ  thezodiaccity.com  นี่จะเป็นการนำเสนอลักษณะนิสัยของราศีต่างๆ  ผ่านบัตรคำขนาดเล็ก(ประมาณ 3-5 ประโยคไรงี้)  อ่านพวกนี้แล้วจะได้พวกคุณศัพท์ค่ะ  เช่น  talkative(คุยเก่ง)  impulsive(ใจร้อน)  sensitive(อ่อนไหวง่าย)  ก็ว่ากันไป  เวบที่แนวๆนี้อีกก็เช่น  zodiacmind.com  ใครอยากรู้ว่าฝรั่งเขาทำนายว่าราศีเราเป็นอย่างไรก็ลองเข้าไปดูได้(เราว่าแม่นหลายอย่าง 555)
        ส่วนถ้าจะหาการดูดวงแบบฝรั่งก็เช่น  astrology.com,  astrologyzone.com  เขาแบ่งเป็นสิบสองราศีเหมือนของไทยเลยล่ะ  แต่รายละเอียดหลายอย่างต่างกัน  สนใจก็ลองดูได้
        ส่วนคนเขียนขอผ่าน  ขืนศึกษาหลายศาสตร์เดี๋ยวจะตีกันกับศาสตร์ที่ตนมี

   4.  การ์ตูน  :  เอาเวปเดียวละกันที่เคยอ่าน  mangahere.co  การ์ตูนเยอะมาก  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นนะ  ที่เคยอ่านก็เช่น pokemon กับ maid sama  ส่วน โคนันก็เคยเห็น  แต่เลิกอ่านมานานมากแล้วเพราะไม่จบซักที  เลยไม่ได้เข้าไปดู
        ข้อควรระวัง  ด้วยความที่เป็นเวบต่างชาติจึงค่อนข้างเปิดกว้างต่อเนื้อเรื่องของบทประพันธ์  ดังนั้นการ์ตูนจะมีหลากเรื่องหลายแนว  ตั้งแต่ใสๆไปจนถึง  25+  คือใครต่ำกว่า 18 (อายุน้อยสุดที่ถูกห้าม)ก็ใช้วิจารณญาณในการรับชมหน่อยละกัน  ส่วนใครเกิน 25 แล้ว  เอาเลย  อยากอ่านเรื่องไหนตามสบาย

   5.  ขำขัน  :  ที่เคยเข้าบ่อยๆคือ 9gag.com กับ buzzfeed.com  โดยอันแรกจะแนวๆขายหัวเราะอ่ะค่ะ  คือจะมีพวกการ์ตูนช่องๆ  ภาพขำๆ  ล้อเลียนหนังหรือสถานการณ์ปัจจุบัน(ล่าสุดก็ล้อทีมฟุตบอลที่ผู้เขียนเชียร์ซึ่งตกรอบยูฟ่า  เจ็บปวด..)  หรือบางวันจะเจอหลักจิตวิทยา  มีหลากหลาย  สนุกดี  ถ้าเจอเรื่องพวกจิตวิทยาไรงี้ก็อาจจะเจอศัพท์เป็นการเป็นงาน  แต่ทั่วไปจะมีศัพท์พวก trolled(เกรียน) procrastinate(อู้)  อะไรงี้
      ส่วน buzzfeed.com  นี่จะมีแบบ  ....สิ่งที่คุณจะเข้าใจหากคุณเป็นคนแบบนั้นแบบนี้  ก็....อ่านไปขำๆ  คือเราจะอินเฉพาะสิ่งที่เราเป็นอ่ะ  เช่นเราเองจะอินกะ  ...สิ่งที่คุณเข้าใจเมื่อคุณเป็นพวก introvert (โลกส่วนตัวสูง  ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม)  อะไรแบบนี้  นอกจากบทความก็จะมีวีดีโอขำๆ  และแบบทดสอบนิสัย  สนุกดีนะ

   6.  Pinterest  :  งงอ่ะดิว่าทำไมเวบนี้มาโดดๆ  คือจะบอกว่า  จากที่สิงๆอยู่ในเวบนี้  มันมีทุกอย่างค่ะคุณ  คืออยากหาอะไร  สนใจอะไร  ก็พิมหาในช่องค้นหา  เวบจะขึ้นมาให้แบบ........เพียบ  คืออ่านกันไม่หมด  เช่นพิมพ์ว่า  ดวง(astrology หรือจะระบุราศี)  พวกจะขึ้นคำทำนายมาให้พรึบ  พิมพ์ travel  เวบจะขึ้นสถานที่ท่องเที่ยว  และบทความแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว  เพียงแต่ว่าถ้าอยากได้บทความภาษาต่างประเทศ  เราต้องใช้ภาษาต่างประเทศในการค้นหา(คือหาในคอมอ่ะค่ะ  พิมพ์ไทยก็ยังได้อังกฤษ  แต่พอหาในแอพฯ Pinterest โดยตรง  พิมพ์ไทยได้ไทย)  ก็เลือก key word ตามความสนใจได้เลย  จริง ๆ ทางเวบจะมีหมวดให้เลือกเหมือนกัน  แต่ถ้าอยากระบุเองก็เช่น travel(ท่องเที่ยว), german(ภาษาเยอรมัน), owl(นกฮูก), ฯลฯ  ก็ว่ากันไป
     คือสิงอยู่ได้ทั้งวัน  ยิ่งถ้าชอบหลายอย่างนะ  โอ๊ย  ไม่ต้องไปไหน
     เวบนี้ต้องสมัครสมาชิกนะคะ  โดยสมัครได้สามทาง  คือกรอกชื่อและอีเมลโดยตรง  สมัครโดยลอคอินผ่านเฟสบุ๊ค  และสมัครโดยลอคอินผ่าน google+
     เป็นอีกเวบที่เชียร์ให้ลองเล่นมากๆ  คือเราว่ามันโอมากอ่ะ  ไม่ว่าเราจะชอบอะไรก็ตาม  เราสามารถหาดูได้จากเวบนี้  พูดเลย  (นี่ก็เล่นทุกวัน  ตอนนี้ติดกว่าเฟสบุ๊คอีก)    

     นี่เป็นตัวอย่างคร่าวๆค่ะ  หรือถ้าสนใจหัวข้อไหนเป็นพิเศษจะพิมพ์หาเอาเองเลยก็ได้  ดังตัวอย่างที่ยกให้เห็นในเรื่อง  venomous กับ poisonous ข้างต้น



     เว็บฝึกหรือสอนภาษาโดยตรง

     ถ้าถามว่า  จะเข้าเวบฝึกภาษาโดยตรงเลยได้ไหม  อ๋อ  ได้สิคะ  แล้วพอจะมีเวบแนะนำหรือเปล่า  อ๋อออ  ได้ค่ะ  เดี๋ยวจะหาให้ค่ะ  ดังนี้เลยค่ะ

   1.  http://pantip.com/topic/35100512/desktop  :  อันนี้คือเราไปเจอโดยบังเอิญจากเพจ Slang A-hO-lic  ที่ตัวเองกดถูกใจไว้  ตอนเข้าไปบ่นเรื่องบอลในเฟสบุ๊ค  พอเข้าไปดูแล้วแบบ  เฮ้ยดี  กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่พอดี  แต่เราไม่ได้เข้าไปดูทุกอันหรอกนะ  แต่เท่าที่ดูแล้วโอเคอ่ะ  เป็นวีดีโอยูทูป  หลายอันคนไทยสอนด้วย  พอเข้าใจได้อยู่ค่ะ  ลองดูนะ
       อ่อ เพจ Slang A-hO-lic ก็เป็นอีกหนึ่งเพจที่เหมาะแก่การฝึกภาษานะคะ  โดยทั่วไปเพจนี้จะสอนพวกสำนวนแหละ  ได้ความรู้ไม่น้อยเลย

   2.  http://english-for-thais-2.blogspot.com/,  http://www.e4thai.com/e4e/  :  เวบนี้เป็นเวบของคนไทยเหมือนกัน  นอกจากจะสอนภาษาอังกฤษ  ศัพท์  ไวยากรณ์  โดยตรงแล้ว  เวบนี้ยังมีลิงค์ฝึกภาษาอังกฤษอื่นๆให้กดเข้าไปดูกันด้วย  แถมมีหนังสือฝึกภาษาอังกฤษและข้อสอบให้ฝึกทำด้วยนะ  ตอนต้องสอบภาษาอังกฤษรอบล่าสุดน่ะ  เราฝึกทำข้อสอบจากเวบนี้แหละ  ดีมากเลย
     อ่อ  สองเวบนี้เจ้าของเดียวกันค่ะ  แต่เวบที่สองเป็นเวบใหม่  ตอนเข้าตอนแรกเราใช้เวบแรกน่ะ
     ครบเครื่องมากอ่ะ

   3.  memrise.com  :  หลายคนอาจจำได้ว่าเวบนี้เราเคยแนะนำมาแล้วในเรื่อง  "เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ฯ"  ใช่ค่ะ  เวบนี้เป็นเวบฝึกภาษาที่มีแทบทุกภาษาในโลกให้ฝึก  รวมถึงภาษาอังกฤษด้วย  สำหรับการฝึกจะใช้วิธีตัวอย่างศัพท์หรือประโยคมา  แล้วถามเกี่ยวกับประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้เราจำได้และใช้เป็น  ข้อเสียคือมันเป็นภาษาอังกฤษล้วน  เราอาจต้องเก็บเลเวลมาสักระยะนึงก่อน  ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือ  เวบนี้ฝึกโดยให้ศัพท์และประโยคมาให้เราจำเองเท่านั้น  จะไม่บอกที่มาหรือสอนแกรมม่าเป็นเรื่องเป็นราว  ซึ่งหากเราอยากได้คำอธิบายที่มาที่ไปคงต้องไปฝึกที่อื่นเสริมเอา
     แต่เทคนิคยัดเยียดให้จำนี่ไม่เลวนะ  จำได้จริงอะไรจริงอ่ะ  (แต่เราไม่ได้ลงคอร์สภาษาอังกฤษหรอกนะ  เราลงภาษาต่างประเทศอื่น  แต่เท่าที่เรียนไปก็โอเค  เน้นจำและใช้)



     จะเห็นได้ว่าภาษานั้นสามารถเรียนรู้ได้จากหลายวิธีมาก  และหากใครสังเกตอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงเลือกที่จะให้ฝึกโดยดู  ฟัง  และอ่าน  จากเรื่องที่สนใจมากกว่าจะฝึกแบบ  เฮ้ยท่องศัพท์สิ  หรือ  เฮ้ยลงเรียนคอร์สแกรมม่าไปเลยดิ
     คือ  เราแค่รู้สึกว่า  หากเริ่มต้นจากสิ่งที่เราสนใจอ่ะ  มันจะทำให้สมองเราผ่อนคลายและอยากเรียนรู้มากกว่า  พอเราไม่กดดันเราอาจพบว่าตัวเองรับอะไรเข้ามาได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
     อีกอย่างคือ  การฝึกแบบนี้ทำให้เราเรียนรู้จากการใช้จริงๆว่า  ไอ้tenseนี้  ไอ้ศัพท์คำนี้  มันมายังไง  ใช้ยังไงได้บ้าง  และมันจะทำให้เราได้ฝึกทั้งศัพท์และไวยากรณ์ไปด้วยพร้อมๆกัน  ซึ่งอาจดีกว่าการมานั่งแยกกันเรียน  เพราะทั้งสองส่วนคือสิ่งจำเป็นทั้งคู่ในการใช้ภาษา  เราไม่สามารถสื่อสารได้ถ้าเราไม่รู้ศัพท์  ในทางกลับกัน  ต่อให้เรารู้ศัพท์ทุกตัวบนโลกใบนี้  ถ้าเราไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้ต้องใช้ไวยากรณ์แบบไหน  เราอาจไม่สามารถสื่อให้คนเข้าใจได้ว่าเราต้องการอะไรเมื่อไหร่  และถ้าสอบ  ไม่มีคะแนนแน่ (แต่ถ้าถามว่าอะไรสำคัญกว่า  เราว่าศัพท์  tense เรียนให้รู้ว่าต้องใช้ตอนไหนพอ  แต่เอาเถอะ...)


     หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจฝึกภาษาอังกฤษบ้างไม่มากก็น้อย  และขอเอาใจช่วยให้ทุกคนพัฒนาทักษะของตัวเองได้สำเร็จสมดังใจนะคะ


     สวัสดีค่ะ

ความคิดเห็น

  1. ละเอียดมากกกกกกกก โคตรตั้งใจเขียนอะ ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  2. ยินดีค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ