บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มิถุนายน, 2017

ผ่านมาแค่ให้จำ

     'คนบางคนผ่านมาให้รัก  ไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กัน'      ใครว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้แค่ในเพลง  มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคนนั่นแหละ      คงจะมีบางบ้างคราว  หรือหลายคราว  ที่หัวใจ  จะเผลอไปหวั่นไหวกับใครบางคน      ที่แย่ก็คือ  คนๆนั้น  ดันเป็นคนที่ไม่สมควรจะรักน่ะสิ      ให้ตายสิ  จะเหล่ทั้งที  เลือกให้มันดีดีหน่อยก็ไม่ได้...      อย่ามาอ้างว่าความรักชนะทุกสิ่ง  ชีวิตไม่ได้ง่ายแบบนิยายน้ำเน่าขนาดนั้น      ถ้ายังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง(ซึ่งควรจะมีให้ได้  หัดเก็บออมสมองไว้ใช้ยามจำเป็นมั่ง  อย่าสักแต่เขวี้ยงทิ้งเวลาเจอสิ่งหลอกล่อหัวใจ)  มนุษย์ควรจะระลึกเองได้  ว่าจุดหมายของสายตาในคราวนี้  มันควรหรือไม่ควรจะปักใจสักแค่ไหนกัน      ยิ่งหากศึกษาธรรมะมาจนถึงจุดหนึ่ง  จุดซึ่งรู้ว่า  ในทางพระพุทธศาสนานั้น  เนื้อคู่นั้นเกิดจากการอยู่ร่วมกันมาในชาติก่อนหนึ่ง  และมาเกื้อกูลกันอีกในชาติปัจจุบันอีกหนึ่ง      ผิด!!  เอ๊ย  ไม่ใช่  ไม่เกี่ยวตะหาก  นั่นน่ะเนื้อคู่ใช่  แต่คนจะคู่กันได้นั้นต้องมีสิ่งเสมอกันสี่ประการ  คือ  ปัญญา  ศีล  จาคะ  และศรัทธา  (จะเรียงอะไรก่อน-หลังก็ตามสะ

ก็แค่ทะเลคนหนึ่ง

     ในเวลาทำงาน  แค่เดินเข้าอาคาร  ก็เหมือนโลกทั้งโลกให้เกียรติเรา      พนักงานรักษาความปลอดภัยก็ยกมือไหว้  ทั้งที่บางคนแก่กว่าเราด้วยซ้ำ      เจ้าหน้าที่ก็ให้ความเคารพ  และไม่ว่าจะต้องการอะไร  ดูจะได้รับความช่วยเหลืออย่างดี      แม้จะมีกฎระเบียบให้ปฏิบัติตาม  แต่นั่นก็อยู่บนพื้นฐานที่ว่า  พวกเราทุกคนเป็นข้าราชการระดับสูง  เราต้องปฏิบัติตนด้วยความให้เกียรติตนเอง     ...ให้สมกับที่คนรอบข้างให้เกียรติเรา...      แต่เมื่อก้าวออกจากที่ทำงาน  เมื่อถอดหัวโขนแห่งความเป็น "ท่าน"  ออกไป      ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งก็กลับคืนสู่ความเป็นคนธรรมดาเช่นเคย      ไม่โดดเด่น  ไร้เสน่ห์  และไร้ซึ่งแม่เหล็กดึงดูดสายตา      ไปเป็นลูกค้าที่ไหน  ก็เสี่ยงจะได้รับการบริการไปแบบแกนๆ      ไปเป็นลูกศิษย์ใคร  เขาก็สอนแบบมองข้ามๆไป     ... จริงๆถือเป็นข้อดี  เพราะแทบไม่โดนเรียกตอบเลย      เป็นเพื่อนกับใคร  ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ  ก็แทบหาคนคุยด้วยไม่ได้      ดูเหมือนว่า....พอถอดหัวโขนออกไปแล้ว  ผู้หญิงคนนี้แทบจะไม่มีอะไรเลย...      จริงๆน่ะเหรอ?      คนอื่นอยากมองแบบนั้นก็ได้  แต

คนอวด...

     สมัยนี้  เวลาเข้าโซเชียลมีเดียทีไร  สิ่งที่มักจะเห็นเต็มหน้าข่าวไปหมดนั้นคือ...      มหกรรมการอวด      ลองสังเกตดูสิ  เดี๋ยวนี้คนเราโชว์อะไรผ่านสื่อออนไลน์กันเยอะนะ  ไม่ว่าจะเป็น      ค อ ส  ....  คน อวด สวย (คืออัพรูปตัวเองรัวๆๆ)      ค อ ร  ....  คน อวด รวย  (อันนี้พวกโชว์ทรัพย์สินสลิงคานต่างๆ      ค อ สล  ....  คนอวดสัตว์เลี้ยง  (อันนี้เราชอบ 555 สัตว์น่ารัก)      ค อ ฟ ....  คน อวด แฟน      ค อ ผ ....  คน อวด....สามี (นี่คือแต่งงานแล้ว)      ค อ ล  ....  คน อวด ลูก      และอีกสารพัดสารพันที่คนเราสรรหามาจัดแสดงให้คนอื่นดูเป็นขวัญตา      คงต้องขอบคุณโซเชียลมีเดีย  ที่ลดความลำบากในการจัดแสดงลง  จากที่ต้องคอยเชิญคนนั้นคนนี้มาบ้านเพื่อที่จะโชว์ว่าเรามีอะไรบ้าง  เดี๋ยวนี้เราสามารถถ่ายรูปแล้วอัพโหลดออนไลน์ได้เลยทันที  ทุกที่ทุกเวลา      ....แถมคนเห็นเยอะกว่าอีกด้วย      พอเข้าเฟสบุ๊คทีไร  เรามักเจออะไรแบบนี้อยู่เรื่อย  นั่งดูวนๆไปก็เพลินดี  เป็นการสังเกตสังกาคนรอบข้างไปด้วยในตัวว่า  ตอนนี้เขามีความเป็นไปอย่างไรแล้วบ้าง      แต่มีบางเวลานะ  ที่เราเกิดอารมณ

เราไม่เป็นไร =)

     ว่าด้วยเรื่องการโสด      ในมุมหนึ่ง  มันคือการที่เราไม่สนใจใคร  ไม่คิดจะให้ใครเข้ามาในชีวิต      แต่อีกมุมหนึ่ง  มันสะท้อนว่า  เรากลัวเกินไป  ที่จะข้ามจุดปลอดภัยของตัวเอง  เข้าไปเพื่อทำความรู้จักกับใครสักคน...      แม้จะไม่เคยรักใคร  แต่อย่างน้อย  มันต้องมีบ้างแหละ  ที่เคยรู้สึกดีกับใครเข้า  แบบอธิบายออกมาไม่ได้      แต่ถามว่าจะทำอะไรกับความรู้สึกนั้นหรือไม่      ใครหลายคนที่ก้าวพ้นความโสดมาได้  อาจเลือกที่จะสลัดความกลัวออกไป  และเริ่มต้นที่จะรู้จักกับใครสักคน      แต่สำหรับใครที่ขลาดกับความรัก  ทางเดียวที่เขาเลือก  คือนิ่งเสีย      ไม่ทำความรู้จัก      ไม่ทักทาย      ไม่สานต่อ      ไม่เปิดเผย      แล้ว........สุดท้าย  ก็ยังคงโสดต่อไป      ใช้วิธีเดิมๆ  แล้วก็แห้วตลอดมา  และยังคงยืนยันที่จะใช้วิธีเดิมๆ  เพื่อจะแห้วตลอดไป      ไม่เป็นไรหรอก  ปล่อยให้คนที่ไขว่คว้าหารักเขาสมหวังไปเถิด      เราเป็นแบบนี้มานานแล้ว  เรามีภูมิต้านทานที่ดีในการจัดการกับความเหงาเวลาอยู่ลำพัง      เราอยู่ได้  ไม่ต้องเป็นห่วง      เราเลือกวิธีเดิมตลอดมา  และเราก็จะเลื

I don't have a secret. I am a secret.

     ใครว่าโลกนี้ไม่มีความลับ  โลกใบนี้เต็มไปด้วยความลับเยอะแยะจะตาย....      ...และเราคือหนึ่งในนั้น...      เพราะศักยภาพบางอย่าง  มีไว้ใช้...แค่ในยามที่ไม่มีใครเห็น      ตัวอย่างเช่น      สมมติว่าเราร้องเพลงได้  สำหรับใครหลายคนมันอาจเป็นเรื่องที่ต้องแสดงออก  เผื่อสักวันมีแมวมองผ่านมาได้ยิน  จะได้เอาไปเป็นนักร้อง      แต่สำหรับความลับอย่างเรา  การร้องเพลงได้เป็นเพียงเรื่องบันเทิงใจเฉพาะตัว  ที่ไม่จำเป็นต้องบอกใคร      ...ปากก็ปากเรา  เสียงก็เสียงเรา  ใครจะทำไม      ดังนั้น  จะให้รู้กันง่ายๆ  ว่าร้องเพลงได้  ไม่ได้เป็นอันขาด!!!      แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถใช้เพลงคลายอารมณ์กลางฝูงชนได้เลยหรอกนะ  มันมีวิธีของมันอยู่      วิธีแรก  แทนที่จะร้องเพลง  ก็ฮัมเพลงแทน  ฮัมแต่ทำนอง  แต่ไม่ร้องออกมา      ....ยังคงลัลล้าได้อยู่บ้าง....      อ่อ  รู้แล้วเหยียบไว้นะ  ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า  ใครก็ตามที่ฮัมเพลงได้เพราะ  คนนั้นร้องเพลงเพราะ  เนื่องจากคนเราจะฮัมเพลงได้ตามศักยภาพการร้องเพลงของตัวเองนี่แหละ      วิธีที่สอง  ร้องเพลงได้  แต่ห้ามใช้เสียง  คือ...อารมณ์เปิดปากพูดแบบกั้นไม

คนหัวโบราณ 2

     ไม่ว่าโลกนี้จะพัฒนาไปมากเพียงใด  แต่ความจริงอย่างหนึ่งก็ไม่เคยที่จะเปลี่ยนไป       และความจริงนั้นก็คือ...       เราเป็นคนหัวโบราณ      ความเป็นคนหัวโบราณของเรานั้น  คือความคิดที่ว่า      "ผู้หญิงกับผู้ชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน"      ด้วยเหตุนี้เอง  เราจึงระมัดระวังตัวเองมากเวลาติดต่อคบหากับเพศตรงข้าม  เพราะเราก็รู้สึกอยู่ลึกๆว่า  ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย  มันมีอะไรที่แตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง       โอเค  คนเรา  เวลาสนิทจริงๆอ่ะ  ตอนมองไม่ค่อยรู้สึกความแตกต่างหรอก      แต่ลองนึกดูเถอะ  เวลาเราคบเพศเดียวกัน  เอาเฉพาะผู้หญิงก่อนเลย(เผอิญไม่เคยเป็นผู้ชายนะฮะ  ขอโทษด้วย)  มันจะมีโมเม้นท์ที่สามารถเดินจับมือกัน  นอนคุยกันทั้งวัน  ไลน์ถึงกันทุกวัน  กินข้าวจานเดียวกัน  ฯลฯ      สารพัดสารพันสิ่งมุ้งมิ้งที่ทำร่วมกันได้  โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความรู้สึกอะไรระหว่างกันขึ้นมา      ....ต่อให้พูดจาแบบแฟนใส่กันทุกวันก็เถอะ      แต่....ถ้าเป็นคนละเพศ  เราว่า  มันทำแบบนั้นไม่ได้อ่ะ  คือมันสนิทกันได้ในระดับหนึ่งก็จริง  แต่ก็ต้องระ

ไปเที่ยวกันเถอะ : พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ

รูปภาพ
     บทความนี้อาจจะไม่ได้มีถ้อยคำลื่นไหลอะไรมาก  เพราะคนเขียนเขียนขึ้นเพื่อต้องการประชาสัมพันธ์สถานที่ซึ่งตัวเองไปเที่ยวมา  และเป็นการคิดว่าอยากทำแบบปัจจุบันทันด่วนมาก      ปล.  มีรูปประกอบ  และไฟล์รูปค่อนข้างใหญ่นะคะ  ระวังเปลืองเนต      กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา  เราได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  และได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง  ซึ่งจัดแสดงได้อย่างดีทีเดียว  แต่ที่น่าแปลกใจคือ  มีคนไปเยี่ยมชมน้อยมาก  มากจนรู้สึกว่า  หากปัจจุบันนี้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล  ก็คงต้องปิดตัวลงไปแล้ว      พิพิธภัณฑ์นั้นก็คือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ       พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้น ณ หว้ากอ  ประจวบคีรีขันธุ์  และหากใครทราบประวัติศาสตร์  ใช่ค่ะ  ที่แห่งนี้เป็นบริเวณซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จมาเพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคา  นั่นเอง        พิพิธภัณฑ์นี้เป็นพิพิธภัณฑ์ในความดูแลของรัฐบาล  โดยอัตราค่าเข้าชมนั้นแบ่งดังนี้            เด็ก  10  บาท            ผู้ใหญ่  20  บาท         ส่วนผู้สูง

สังคมผู้ชาย-สังคมผู้หญิง

     แต่ไหนแต่ไรมา  เรามักจะคุ้นเคยกับสังคมเพศเดียวกันมากกว่าเพศตรงข้าม  มีเพื่อนสนิทผู้หญิง  อยู่กลุ่มเดียวกับผู้หญิง  บลาๆๆ      แต่แล้ว  โชคชะตาก็พัดพาให้เราต้องมาทำงานรวมกับผู้ชายเป็นฝูง  เอ๊ย  เป็นกลุ่ม  อยู่ประมาณ  10  เดือน  และนั่น ทำให้เราได้ประจักความจริงว่า      ทำงานร่วมกับผู้ชายนี่มันก็สบายไปอีกแบบนะ      เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่า  ทำไม  เราถึงรู้สึกสบายใจมากกว่า  เวลาทำงานร่วมกับผู้ชายเยอะๆ  และคำตอบที่ได้ก็เช่น      -  ผู้ชายไม่จู้จี้จุกจิก        -  ผู้ชายคุยเรื่องที่ถูกจริตเรามากกว่า  เช่นข่าวสาร  หรือฟุตบอล      -  มีแนวโน้มสูงมากว่า  การเป็นผู้หญิงไม่กี่คนหรือคนเดียวในกลุ่มนั้น  จะทำให้ได้รับความเอ็นดูและช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากเพื่อนร่วมงาน      -  ผู้ชายไม่คอยสังเกตเครื่องแต่งตัวแบบกะนินทา  แค่เหล่ไว้แซวเฉยๆ      ประมาณนี้...      แต่แล้ว  เมื่อกี้นี้เอง  เราเพิ่งค้นพบความจริงอีกสองข้อว่า  ทำไมอยู่กับผู้หญิงมันจึงอึดอัดมากกว่า      ประการแรกเลย  ผู้หญิงมีความสลับซับซ้อนทางอารมณ์และความคิดมากกว่าผู้ชาย      ตอนอยู่ที่ทำงานเก่า  เ