บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม, 2018

ถึงเวลาไป

     ในบรรดาความสัมพันธ์ประเภทต่างๆ  ความสัมพันธ์ในสถานะแฟนหรือคนรัก  มักเป็นความสัมพันธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดสถานะหนึ่ง  แต่กระนั้น  ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ตัดให้ขาดได้ง่ายที่สุดด้วยเช่นกัน      ถ้าเลิก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เลิกแบบไม่ค่อยดี  แนวโน้มคือจบเลย  ไม่มีตอนต่อไป      ส่วนสถานะอื่น  เป็นต้นว่า  เพื่อน  พี่น้องท้องต่างที่(นับกันเป็นพี่เป็นน้องแต่ไม่ใช่พี่น้องจริงๆ)  อาจารย์  ลูกศิษย์  ฯลฯ  หากไม่มีเหตุคอขาดบาดตายจริงๆ  คงจะไม่จบลงง่ายๆ      อาจจะมีบางครั้งหรือหลายๆครั้ง  ที่เรารู้สึกว่าเพื่อนคนเดิมที่เคยสนิทกันมาก  แต่วันนี้กลับไม่ค่อย "คลิก" กันเท่าไหร่เสียแล้ว      นี่คือช่วงหมดโปรโมชั่นของมิตรภาพรึเปล่า?      ความจริงอาจมีว่า  เมื่อเวลาผ่านไป  ทั้งเราและอีกฝ่ายต่างเติบโตขึ้น  เจออะไรหลายๆอย่างที่แตกต่างกัน  ทำให้เส้นทาง  ความคิด  การดำเนินชีวิต  ค่อยๆห่างกันออกไป      ภาษาอังกฤษเรียกว่า  "grow apart"      แต่กระนั้นก็มักไม่ค่อยมีใครติดต่อไปยังอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อบอกว่า  "เราเลิกคบกันเถอะ  เราต่างกันเกินไป"      อาจเพราะเรารู้สึกว่

สถานีไร้เสน่หา

     ใช้ชีวิตมาจนอายุขึ้นเลขสาม  ช่วงอายุซึ่งใครหลายคนบอกว่า...      ...แก่      ...แสลงหู      ...ร้องยี้/ไม่อยากได้ยิน      ...มองว่าเป็นช่วงอายุที่ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง      พอมาถึงจริงๆกลับไม่รู้สึกอะไร ด้วยส่องกระจกทีไรยังเห็นหน้าเป็นหน้าเดิม  ตาก็ยังมองไกลไม่ชัดเหมือนเดิม(แต่จะสั้นเพิ่มมั้ยไม่แน่ใจ)  ส่วนสูงก็เท่าเดิม(อยากเพิ่มเสียจริงๆ)  ทั้งหุ่นก็ยังพองๆอยู่เช่นเดิม  เพิ่มบ้างลดบ้างแล้วแต่ความเพลิดเพลินในการกินของปากและความลำบากของงาน      ...ไม่เห็นเปลี่ยนเลย      อ่อ  อีกอย่าง  เขาบอกว่าวัยนี้ถ้าไม่หาคู่ให้ได้จะต้องอยู่คนเดียว  ขึ้นคาน  เป็นยายแก่แร้งทึ้ง พอมาถึงจริงๆแล้วเลยอยากถามว่า      ขึ้นคานแล้วมันหนักกบาลใคร เอ๊ย  ไม่ใช่  จะถามว่า      ขึ้นคานแล้วมันเสียหายตรงไหนไม่ทราบ???      เราไม่เคยมีความรัก  อาจมีบ้างที่มีคนมาด้อมๆมองๆ  แต่สุดท้ายก็แยกกันไปคนละทิศละทาง  ที่อดทนขายขนมจีบจนเปิดใจคบเป็นแฟนนั้นไม่เคยมี       ถ้าจะมีก็เพียงเข้ามาให้หวั่นไหววูบวาบแล้วก็จากไป           นอกจากปัจจัยภายนอก  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราไม่เคยยอมปล่อยหัวใจให้ความหวั่นไห

เปลือก

    "เราอยู่ในสังคมที่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน.."      นี่คือคำพูดที่ได้ยินกันอยู่ทั่วไป      แต่สำหรับเรา  เราว่ามันไม่ใช่หน้ากาก  เพราะหน้ากากมันสวมพรางได้เพียงส่วนหน้าเท่านั้น  ในขณที่ชีวิตจริง  คนเรามักจะเคลือบตัวเอง  "ทั้งตัว"  ด้วยอะไรสักอย่าง  เพื่อให้คนมองเราอย่างที่เราอยากให้มอง      ดังนั้น  เราจะเรียกสิ่งนี้ว่า      "เปลือก"      ไม่ว่าจะมีใครให้ความเห็นว่ามนุษย์มีสาม  สี่  หรือเท่านั้นเท่านี้เปลือก  เรากลับคิดว่าคนเรามีเปลือกมากกว่านั้น...      เป็นร้อยเป็นพันแบบ      เผลอๆ  มีมากเท่าจำนวนคนที่เราพบเจอในชีวิตเสียด้วยซ้ำ      เคยเห็นมั้ยล่ะ  ผู้ชายที่พอเจอผู้หญิงสวยทำตัวแบบนึง  เจอผู้หญิงหน้าธรรมดาทำตัวแบบนึง  เจอผู้ชายทำตัวอีกแบบนึง      เห็นแล้วให้นึกสงสัยว่า  นี่คนเดียวกันแน่หรือ?      แต่หลักฐานก็ชี้ชัดอยู่บนใบหน้านั้นเอง      ในประเด็นนี้  หากคุณเป็นคนที่มี "เปลือก" ที่ดี  เช่น  หน้าตาดี  รวย  เป็นลูกคนเด่นคนดัง  แถมยังมองโลกในแง่ดี  คุณอาจเห็นมิติของ "เปลือก" ที่คนสวมใส่ได้น้อยลง  เพราะคนที่เข้าหา

ภูมิแพ้ทางใจ

     ภูมิแพ้เป็นโรคทางร่างกายที่มีคนเป็นกันหลายคน      สำหรับกรณีทั่วไป  ภูมิแพ้คือโรคที่ไม่อันตรายถึงชีวิต  แต่น่ารำคาญ      อาการโดยทั่วไปของภูมิแพ้  คือเมื่ออากาศเปลี่ยนจะเกิดอาการคัดจมูก  น้ำมูกไหล  ไอ  คันคอ  มีเสมหะ  ส่วนจะมีไข้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางร่างกายและรอบข้างขณะนั้น      ....พูดง่ายๆคือ  อากาศเปลี่ยนทีไรเป็นหวัดทุกที       นอกจากอากาศเปลี่ยนแล้ว  เวลาผู้ป่วยสัมผัสกับสิ่งที่ตัวเองแพ้(ซึ่งบางทีก็รู้  บางทีก็ไม่)  หรือรับประทานอาหารที่แพ้ตรงๆหรือแพ้อ้อมๆ(พวกภูมิแพ้แฝง)  ผู้ป่วยก็จะเกิดอาการเหล่านี้เช่นกัน      แรงกว่าพวกหวัดก็อาจจะผื่นขึ้น  คันคะเยอ  หายใจไม่ออก  ร้ายแรงก็ถึงตาย       แต่ทั่วไปไม่ค่อยถึงตายหรอก  อาจจะแค่อายคนรอบข้างและทรมานตัวเองเล็กน้อยถึงปานกลาง...      นั่นคือกรณีที่ร่างกายเป็นโรคภูมิแพ้  แต่เชื่อมั้ยว่า  "ใจ"  ของบางคน      ก็เป็นภูมิแพ้ได้เหมือนกัน      จิตใจของแต่ละคนรับแรงกระทบได้ไม่เท่ากัน  เรื่องเดียวกันที่เจอ  บางคนเจ็บมาก  บางคนเจ็บน้อย  บางคน...ก็แทบไม่เจ็บ       แล้วภูมิแพ้ที่ใจเป็นยังไง?      ลองเทียบก

การจราจรไม่เป็นใจ

     แต่เล็กแต่น้อยเคยคิดว่า  การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ  เพิ่งประจักษ์เมื่อตอนทำงานนี่เอง  ว่าลาภอันประเสริฐนั้นยังมีอีกอย่างหนึ่ง  นั่นคือ      การได้ทำงานใกล้บ้าน      เราคงเป็นคนมีดวงพเนจร  เพราะเวลาได้งานแต่ละที  เรามักจะต้องย้ายไปพักที่นั่นที่นี่อยู่เรื่อยๆ  สาเหตุเพราะที่ทำงานกับบ้านไกลกันเกินไป      มันคือความทุกข์อย่างหนึ่งของการมีงานทำ      แต่หลังจากนั้น  เรากลับรู้สึกว่าการย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงานนั้นเป็น "ทุกขลาภ"      ที่ว่า ทุกข์  เพราะทำให้ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน      ส่วน ลาภนั้น  เพราะ  มันย่นระยะเวลาจากที่ทำงานถึงที่พัก  ให้สั้นขึ้นได้มากทีเดียว      มีช่วงหนึ่งที่ไปเช่าหอใกล้ที่ทำงาน  ใกล้ขนาดที่ว่าขับรถสิบนาทีถึง      เวลาเข้างานคือแปดโมงครึ่ง  เราตื่น...หกโมงครึ่ง  โอ้เอ้โน่นนี่นั่นจนแปดโมงจึงจะออกจากหอพัก      ...แล้วก็ไปถึงที่ทำงานประมาณแปดโมงสิบห้า  บวกลบสิบ  แล้วแต่ว่าออกช้าเร็ว  หรือความเยอะของรถแถวนั้น      เลิกงานก็เช่นกัน  เวลาเลิกงาน 16.30 น. ถ้าออกตามเวลาเลิก  สิบนาทีถัดมาก็ถึงห้องแล้ว      เวลาที่เหลือระหว่างนั้นก็ใช้ทำสิ่ง

มหรสพเงียบ

     มนุษย์เป็นสัตว์สังคม      และเราเดาว่า  สาเหตุหนึ่งคงเพราะ  มนุษย์ต้องการการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน      ...หรือพูดง่ายๆ  มนุษย์ต้องการได้ยิน "เสียง" ของคนรอบตัว  เพื่อให้ตนเองไม่รู้สึกเงียบเหงาจนเกินไป           แต่กระนั้น  ก็ยังมีมนุษย์กลุ่มหนึ่ง  ที่นิยมชมชอบในการอยู่ตามลำพัง       คนกลุ่มนี้คือ  มนุษย์เงียบ  เอ๊ย  ไม่ใช่  มนุษย์โลกส่วนตัวสูง  ต่างหาก       (เพื่อให้สะดวกในการเขียน  ต่อไปนี้จะแทน "มนุษย์"  ด้วย  "คน")      คนประเภทชอบเข้าสังคมมักเข้าใจว่าคนโลกส่วนตัวสูงมักจะอยู่กับ "ความเงียบ" เป็นส่วนใหญ่       แต่  คุณเชื่อจริงๆน่ะหรือ  ว่าเราอยู่แบบไร้เสียงโดยสิ้นเชิงน่ะ      ถ้าใครสักคนลองชะโงกเข้าไปในโลกของคนกลุ่มนี้  คุณอาจพบว่าพวกเขาไม่ "เงียบ เสมอไป      ที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุด  คือพวกโลกส่วนตัวสูงที่ขลุกอยู่กับการดูรายการต่างๆหรือการฟังเพลง  พวกนี้ไม่เงียบแน่ๆ      ....ก็พวกนี้มันต้องใช้เสียง  ถ้าทำให้เงียบจะดูหนังฟังเพลงรู้เรื่องได้ยังไง(วะ?)       ก็อาจมีคนเถียงว่า  พวกขลุกอยู่กับงานอดิเรก หนัง

คิด_ถึง_ไหม

     ไม่รู้มีใครสงสัยเกี่ยวกับการคิดถึงรึเปล่า  รู้แค่ว่า...      เราสงสัย      เราว่าการคิดถึงมันเป็นเรื่องน่าสงสัยจะตาย...      เริ่มกันที่เรื่องแรก  มีใครบางคนบอกว่า  ถ้าเราฝันถึงใคร  แปลว่า  คนๆนั้น  คิดถึงเรา      อ่านประโยคนี้จบเราก็...เอ  มันจริงเหรอว้าาา      อันที่จริงคำตอบจะหาง่ายมากถ้าเราห่ามพอ  เป็นต้นว่า  พอฝันถึงใคร  เช้าขึ้นมาก็โทรไปหาเขาเลยเพื่อถามว่า  'เมื่อคืนคิดถึงเราป่ะ' .....      เคยกล้าทำที่ไหนเล่า!!!      ฝันถึงเพื่อนถึงญาติสนิทยังไม่เคยถามเลย  ยิ่งฝันถึงคนไกล  คนที่ไม่น่าจะคิดถึงเรายิ่งไปกันใหญ่      สุดท้ายก็ได้แค่ตื่นมา  กลอกตาไปมา  เกาหัวแกรกๆ  พร้อมถามตัวเองว่า      "ฝันอะไรวะเนี่ย??"      วันดีคืนดี  จู่ๆ  เราก็นึกอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง  นั่นคือ      'ชีวิตนี้เราพบเจอคนตั้งมากมาย  ทั้งแค่ผ่านตา  ทั้งรู้จักผิวเผิน  แม้แต่ที่สนิทก็ยังสนิทไม่เท่ากัน...      ถ้าทฤษฎีนี้จริง  วันไหนที่คนรู้จักผิวเผินคิดถึงเรา  เช่น  คนขายน้ำเจ้าประจำที่ไม่ได้ไปซื้อหลายวัน  คิดถึงว่าทำไมเราไม่ไปซื้อ  เราก็ต้องฝันถึงเขาสิ...      .แ

จะเอาอะไรกับความฝัน

         ความฝันเป็นเรื่องหาที่มาที่ไปไม่ได้เรื่องหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นในชีวิตของคนเรา..      เชื่อว่าหลายคนเคยฝัน  เชื่อว่าแต่ละคนที่เคยฝันก็พบประสบการณ์ที่ต่างกันไป  แล้วก็เชื่อว่า  ปฏิกิริยาของแต่ละคนที่มีต่อความฝันก็ต่างกันไปด้วย      หลายคนก็ปล่อยผ่าน  คิดว่า  มันก็แค่ความฝัน  ในขณะที่คนอีกส่วนหนึ่งกลับสนใจใคร่รู้ถึงที่มาที่ไปและความหมายของความฝันอย่างเอาจริงเอาจัง      ถึงขนาดมีตำราเป็นเล่มๆอ่ะ...      แต่สุดท้าย  ดูเหมือนความฝันก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี      คงเพราะความฝันเป็นเรื่องค่อนข้างจะลึกลับ  หลายคนเลยเชื่อว่า  คนที่มีความสามารถในเรื่องที่ชาวบ้านเขาไม่ค่อยจะเป็นกัน  เช่น  หมอดู  น่าจะมีความรู้เรื่องทำนายฝัน      บางครั้งแม่หมอเลยต้องกลายเป็นนักทำนายฝันจำเป็นเพราะมีเพื่อนฝันโน่นนี่แล้วมาถาม...      ถามว่ารู้มั้ย?  ไม่แน่ใจ  คือพวกความฝันสัญลักษณ์  เป็นต้นว่า  ถ้าฝันว่าเจองูใหญ่นอนนิ่งๆแสดงว่าเจอเจ้าที่  งูกัดแปลว่าเพศตรงข้ามจะสร้างปัญหา  หรือถ้าฝันถึงจระเข้แสดงว่าไปบนไว้แล้วไม่ได้แก้..      ...พวกนี้  พอรู้      แต่ถ้ามันพิสดารพรรค์ลึกกว่านี้  ขอโทษค่ะ 

สิ่งที่อยากถาม

     มนุษย์กับการตั้งคำถามเป็นสิ่งคู่กัน (ที่มา/ดังตฤณ) และมนุษย์ก็มักจะถามในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้อยู่เสมอ      แต่ไหนแต่ไรมา  เรามักหุ้มตัวตนที่แท้จริงของตนเองไว้ภายใต้หน้ากากแห่งรอยยิ้มและความเงียบเฉยอยู่เสมอ  นั่นทำให้แทบทุกคนที่พบและรู้จักเราลงความเห็นแบบเกือบเอกฉันท์ว่าเรา      "เงียบ  และเรียบร้อย"      ผลที่ตามมาคือจำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้สงสัยในความเงียบของเรา  นั่นทำให้คำถามเหล่านี้เข้าหูเราอยู่ประจำ      "คุณเอาปากมารึเปล่า"      "ไม่พูดทั้งวันไม่เมื่อยปากบ้างเหรอ"      "ทำไมเงียบจัง"      นอกจากเรื่องเงียบ  เรื่องที่ดูเหมือนเรียบร้อยและเฉยๆนี่ก็นำมาสู่คำถามอีกรูปแบบหนึ่ง      "เคยมีอารมณ์แบบโกรธหรือเกลียดใครบ้างมั้ยเนี่ย"      "ชีวิตนี้เคยพูดคำหยาบบ้างไหม"      (ซึ่งสองคำถามหลัง  หากคุณอ่านงานเรามาสักระยะ  คุณก็คงจะคิดว่า  นางคนเขียนนี่มันก็ทำได้ทั้งสองอย่างแหละ  หึหึ)      หลังๆมานี่  เราไม่ค่อยได้ยินคำถามพวกนี้ต่อหน้าเท่าไรนัก  แต่เชื่อว่าหลายๆคนที่รู้จักเราและเห็นเราเงียบ  ก็คงจะเคยสงสัยในสิ่

หายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ

     "ยังไม่หายอีกเหรอ"      หลังจากที่อดทนมานานมากจนทนไม่ไหวแล้วและหลุดไอออกมา  เสียงนี้ก็เข้ามากระทบหู       'หายก็ไม่ไอแล้วสิวะ' เปล่า  นี่คือสิ่งที่คิด  ส่วนที่ตอบไปนั้นคือ      "ก็ดีขึ้นแล้วแหละ  แต่อยู่ห้องแอร์นานไปมั้งเลยไอ"      ว่ากันตามสามัญสำนึกคนทั่วไปแล้ว  คงไม่มีใครอยากป่วย  เพราะความเจ็บป่วยถือเป็นความทรมานอย่างหนึ่งที่ร่างกายและจิตใจต้องประสบและฝ่าฟัน       แม้ว่าบางครั้ง  คนเราจะไม่สมหวังเสมอไป      และแล้วคนๆหนึ่งก็เจ็บไข้ได้ป่วยเข้าจนได้       ใครบางคนเคยพูดไว้ประมาณว่า  การเป็นหวัดกับความรัก  เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปิดบังได้      ....ไม่จริงหรอก      ความรักนั้นปิดบังได้  ได้ง่ายมากเสียด้วย  ยิ่งถ้าเรายังหลงเหลือสติปัญญาในตัวอยู่พอสมควร  แล้วก็ดันเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยสุงสิงกับใคร      ....หากแอบรักใครขึ้นมา  ใครจะไปรู้      แต่กับหวัดนี่  ท่าจะจริง  ยิ่งถ้าป่วยเป็นไอด้วยแล้วล่ะก็  แม้จะพยายามกลั้นไม่ให้ไอสักเพียงใด  สุดท้ายก็เหมือนจะไอออกมาจนได้       การคันคอจนต้องไอออกมานี่มันทำให้เสียสุขภาพจิตมากจริงๆนะ