บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม, 2017

ได้ทั้งนั้น

     เคยฟังเพลง "ได้ทั้งนั้น" มั้ยคะ      เพลงนี้เป็นผลงานการแต่งของคุณแสตมป์ อภิวัชร์ และขับร้องโดยวง เฟย์-ฟาง-แก้ว (FFK)      ใจความในเพลงคร่าวๆคือ  คนร้องยินดีจะเป็นทุกอย่างเพื่อความสุขของคนที่ตัวเองรัก      โอ้....โห....ซึ้ง      เผอิญเมื่อวาน  เราอารมณ์เสียเนื่องจากเล่นเกมไม่ผ่านสักที  พอสงบอารมณ์สักพัก  จู่ๆ  เราก็ฮัมเพลงนี้ออกมา      ฮัมเนื้อไปแล้วคิดตาม  ชักเริ่มตั้งคำถามว่า      "ทำไมเราไม่มีใครมาทำแบบเพลงนี้ให้บ้าง..."      แต่ก่อนที่ความสงสารตัวเองจะทำหน้าที่ของมัน  จู่ๆก็มีเสียงหนึ่ง  ดังก้องอยู่ในหัว       "ก็เป็นให้ตัวเองซะสิ"       เอออออ  พูดจามีประเด็น      แล้วเลยลองเอาเนื้อเพลงแต่ละท่อนมาลองจับว่า  เราสามารถเป็นแบบนี้ให้ตัวเองตามเพลงได้หรือไม่  นี่คือผล      " เธอต้องการใครสักคนใช่ไหม....ดูแลแต่เธอทุกๆวัน " (เดี๋ยวประเด็น คนรู้ใจ จะเอาไปรวมในท่อนฮุก)      .....เราควรดูแลตัวเองให้ได้  ไม่สิ  เราต้องดูแลตัวเองให้ได้  เพราะเราเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง  ดังนี้  เราจึงเป็นคนเดียวที่น่าจะหาท

introvert ในโลกกว้าง

     เกิดเป็น introvert นี่มันลำบากนะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ในโลกที่มีแต่ extrovert เต็มไปหมดแบบนี้      พวก extrovert ชอบงานสังสรรค์รื่นเริง  พอถึงเทศกาลสำคัญๆ  พวกนี้ก็มาบีบบังคับเราว่า  ต้องอยู่ร่วมงานนะ  ไม่งั้นถือว่ากระด้างกระเดื่อง  ไม่มีมารยาท  ยิ่งเด็กใหม่ๆในที่ทำงานนี่  โอ๊ยยยย  อะไรนักหนา      ไม่เห็นใจคนไม่ชอบเข้าสังคมก็ช่วยเห็นใจคนบ้านไกลนิดหนึ่งไม่ได้เหรอ      แอบบ่น  คือ  เอาอะไรมาวัดว่าการร่วมกิจกรรมพวกนี้คือคุณลักษณะที่พึงประสงค์อ่ะ  อีกะแค่อยู่แปบเดียว  มันเทียบเท่าการตั้งใจทำงานเป็นวันๆได้จริงๆน่ะเหรอ???      พวก extrovert ชอบไปไหนกันเป็นกลุ่มๆ  แล้วพอเรารู้สึกว่าคนมันเยอะไป  แถมบางครั้งไปตั้งไกล  ให้เราเดินตามไปอีกงี้      แล้วพอเราไปคนเดียว  ก็มาเขม่นเราอีก  เอ๊าาาา  อะไร  คนเราก็ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่คนเดียว  ทำไมจะไปคนเดียวไม่ได้ล่ะ      บางคนก็ออกแนวสงสาร  วันหลังบอกดิ  จะไปเป็นเพื่อน  เอ่อ  ก็ขอบคุณที่เป็นห่วง  แต่การกินข้าวคนเดียวมันไม่ได้น่าห่วงอะไรขนาดนั้นสักหน่อย      เพียงแต่ว่า  ถ้าเดินไม่ระวังแล้วหวุดหวิดโดนรถเฉี่ยว  มันก็จะใจหายใจคว่ำนิดหน

หูที่หายไป

    เราเป็นคนที่มีชีวิตอยู่โดยไม่ค่อยมีคนรับฟัง       ตั้งแต่เล็กๆ  ด้วยความที่เราเป็นคนที่เด็กที่สุดในบ้าน  นั่นทำให้ทุกคนรู้สึกว่า  ในการสนทนานั้น  หน้าที่หลักของเรา      ...คือฟัง...      ดีที่สุดที่เรามี  คือคนที่ปล่อยให้เราพูดไปเรื่อยๆจนพอใจ  แล้วค่อยนำสิ่งที่เราพูดมาหาว่ามีอะไรควรจะหาวิธีแก้ปัญหาบ้าง  หรือไม่ก็เล่าเรื่องตัวเองที่คล้ายๆกับเราให้ฟัง  (ที่ใครบอกว่าเวลาผู้ชายฟังปัญหา  เขาจะพยายามหาวิธีแก้ปัญหา  ข้าพเจ้าพิสูจน์แล้วว่า...เป็นความจริง)      บางทีก็ฟังเพลินๆไป  แต่เวลาที่เครียดมากๆ  บางครั้ง  เราก็อยากแค่ระบาย  ไม่ได้อยากฟัง      แย่ลงมาอีกหน่อยคือฟังเราพูดเหมือนกัน  แต่ฟังแล้วเอาไปป่าวประกาศต่อ      ....ถือเป็นการทรยศต่อความไว้ใจอย่างหนึ่ง  ต่อแต่นั้นจึงไม่ได้เล่าอะไรมาก  เว้นแต่มีวัตถุประสงค์เคลือบแฝง...      แย่กว่าคือฟังเราอยู่ประมาณสองสามประโยค  แล้วงัดเรื่องตัวเองมาพูดต่อ  ไม่สนใจฟังเราอีกเลย       นั่นยังดีหรอก  แย่ที่สุดคือฟังแล้วหาเรื่องมาตำหนิเราแทบจะทันทีโดยไม่ได้มารู้อะไรกับเราด้วยเลยว่าเราผ่านอะไรมาบ้างจึงเป็นแบบนั้น      จะว่าไป  บางครั้งเรา

มันถูกกำหนดไว้แล้ว

     ตอนขึ้นปีสอง  เราได้ทำบ้านรับน้องปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัย  ซึ่งในตอนแรกนั้น  เรารับหน้าที่เป็นฝ่ายทะเบียน  ที่คอยประจำอยู่ซุ้มหน้ามหาวิทยาลัย  ไม่ต้องปะหน้าปะตาน้องๆ  โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไปถึงมหาวิทยาลัยตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อเตรียมระบบลงทะเบียน      .......ซึ่งเป็นเจตนารมย์ของข้าพเจ้าเองที่ไม่ต้องการพบหน้าผู้คน      แต่แล้ว  เมื่อวันงานมาถึง      เราตื่นขึ้นเมื่อตอนเจ็ดโมงเช้าและพบว่า  โทรศัพท์ของตัวเองมีสายไม่ได้รับนับครั้งไม่ถ้วน      .............เพื่อนโทรตามว่าทำไมไม่มาสักที................      ท้ายที่สุด  นางคนเขียนเลยต้องประจำอยู่ฐานรับน้อง  มีหน้าที่ดูแลเทคแคร์น้องๆไปตามระเบียบ...      และด้วยความที่คุยไม่เก่ง  นี่ก็ไม่ค่อยจะคลิกกับใครเขาเล้ยยยย  จนกระทั่ง      ช่วงเที่ยง........เราไปนั่งกินข้าวหันหน้าชนกับน้องคนหนึ่ง  น้องคนนั้นแนะนำตัว  และบอกว่าอยู่คณะๆหนึ่ง  ซึ่งอยู่ใกล้กับคณะของเรา      "พี่ชอบไปกินน้ำปั่นที่คณะน้อง"  นั่นคือคำที่เราทักและยิ้มให้น้อง  แล้วเราก็แลกเบอร์และสื่อในการติดต่อของกันและกัน      ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  ทุกวันนี้  น้องคนนั้นเ