หูที่หายไป


    เราเป็นคนที่มีชีวิตอยู่โดยไม่ค่อยมีคนรับฟัง 


     ตั้งแต่เล็กๆ  ด้วยความที่เราเป็นคนที่เด็กที่สุดในบ้าน  นั่นทำให้ทุกคนรู้สึกว่า  ในการสนทนานั้น  หน้าที่หลักของเรา
     ...คือฟัง...

     ดีที่สุดที่เรามี  คือคนที่ปล่อยให้เราพูดไปเรื่อยๆจนพอใจ  แล้วค่อยนำสิ่งที่เราพูดมาหาว่ามีอะไรควรจะหาวิธีแก้ปัญหาบ้าง  หรือไม่ก็เล่าเรื่องตัวเองที่คล้ายๆกับเราให้ฟัง  (ที่ใครบอกว่าเวลาผู้ชายฟังปัญหา  เขาจะพยายามหาวิธีแก้ปัญหา  ข้าพเจ้าพิสูจน์แล้วว่า...เป็นความจริง)
     บางทีก็ฟังเพลินๆไป  แต่เวลาที่เครียดมากๆ  บางครั้ง  เราก็อยากแค่ระบาย  ไม่ได้อยากฟัง

     แย่ลงมาอีกหน่อยคือฟังเราพูดเหมือนกัน  แต่ฟังแล้วเอาไปป่าวประกาศต่อ
     ....ถือเป็นการทรยศต่อความไว้ใจอย่างหนึ่ง  ต่อแต่นั้นจึงไม่ได้เล่าอะไรมาก  เว้นแต่มีวัตถุประสงค์เคลือบแฝง...

     แย่กว่าคือฟังเราอยู่ประมาณสองสามประโยค  แล้วงัดเรื่องตัวเองมาพูดต่อ  ไม่สนใจฟังเราอีกเลย 
     นั่นยังดีหรอก  แย่ที่สุดคือฟังแล้วหาเรื่องมาตำหนิเราแทบจะทันทีโดยไม่ได้มารู้อะไรกับเราด้วยเลยว่าเราผ่านอะไรมาบ้างจึงเป็นแบบนั้น

     จะว่าไป  บางครั้งเราก็ไม่ได้อยากเล่าให้ที่บ้านฟังหรอก  เพราะด้วยวัยที่ต่างกัน  คำบางคำเราคิดว่าเขาคงไม่พร้อมจะรับ  และบางทีเราก็อยากเล่าโดยใช้คำหยาบๆบ้าง  เล่าให้ผู้ใหญ่ฟังคงไม่เหมาะ

     โอเค  ไม่พูดก็ไม่พูด



     พอโตขึ้นมา  ด้วยความเป็นคนเงียบๆ  เพื่อนเลยให้ตำแหน่งผู้ฟังไปโดยปริยายเช่นกัน  ฟังไปฟังมาทักษะการฟังดันอัพเลเวล  คราวนี้ฟังไปดันพยักเพยิดตรงจังหวะดี  คนเล่าเลยชอบใจ  เล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังใหญ่เลย

     ยิ่งอยู่วงสนทนาใหญ่ๆยิ่งหายห่วง  พูดไม่เคยทันใครเขา  งั้นนั่งฟังไปเฉยๆก็ได้

     พอเป็นหมอดูก็ต้องฟังคนพูดเหมือนกัน  ลูกค้าหลายคนจะมาเล่าๆๆๆๆปัญหาตัวเอง  นี่ก็มีหน้าที่ฟัง
     ....จะว่าไป  การเป็นหมอดูนี่ทำให้ได้พูดเยอะเหมือนกันนะ  พูดแล้วมีคนฟังเสียด้วย  ยื่นดวงมาแล้วตั้งหน้าตั้งตารอว่าแม่หมอจะทำนายตรูยังไงฟะ
     แต่มันก็เป็นการพูดเรื่องของคนอื่นไง  ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

   
     จริงๆเราไม่เคยมีปัญหากับการเป็นผู้ฟังหรอก  เพราะเราก็ชอบฟังจริงๆ  เราว่าการฟังทำให้เราได้ข้อมูลหลายๆอย่างที่เป็นประโยชน์ในชีวิต  ที่เราไม่มีทางจะได้เลยหากเราจะเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว 

     แต่พอชีวิตเดินทางมาถึงจุดๆนึง  จุดที่เรารู้สึกว่า  เราก็อยากจะระบาย  อยากจะถ่ายทอดเรื่องราวที่เราประสบมาเหมือนกัน  เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาเราเพิ่งประจักษ์ว่า 

     ตัวเองหาคนมาฟังไม่ได้เลย


     บางทีคนพูดหลายคนอาจลืมไปแล้ว  ว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นหูอยู่ตลอดเวลานั้น  เขาก็มีปาก  และมีหัวใจ  ไม่ต่างจากคนอื่นๆ



     มองอีกมุมนึง  จริงๆต้องขอบคุณเหมือนกันที่ไม่มีคนรับฟังเรา  เพราะมันทำให้เรามีนิสัยชอบเขียน  ชอบจดบันทึก  เสมือนหนึ่งว่าเราได้เล่าเรื่องราวต่างๆให้แก่ไดอารี่แทนที่จะเล่าให้คนเป็นๆฟัง
     เขียนไปเขียนมา  ภาษาที่ใช้มันก็มีวิวัฒนาการไปตามเรื่องของมัน

     กลายเป็นว่าทุกคนจะรู้ว่าเราชอบจด  ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง  และปรากฏว่าเพื่อนรอบตัวที่รู้เรื่องนี้บางคนกลายมาเป็นแฟนคลับงานเขียนเราเสียอย่างนั้น
     ก็ดีเหมือนกันนะ  คิดๆไป
     (ปล แต่เขียนงานหลักไม่เก่งเท่าเขียนเรื่อยเปื่อยนะ  ทุกวันนี้ยังเขียนได้ง่อยอยู่  555)

     และต้องเรียนให้ทราบไว้เลยว่า  ถ้าตั้งแต่เกิดมา  เรามีคนคอยรับฟังเรื่องราวต่างๆอยู่กับตัวแล้วตั้งแต่ต้นล่ะก็

     วันนี้ไม่มีบล็อคนี้เกิดขึ้นแน่นอน  นี่พูดเลย!!! 


     แต่อีกมุมนึง  เราว่าบางครั้งการเขียนไดอารี่มันไม่ตอบโจทย์ในใจ

     เพราะบางครั้ง  เราก็อยากจะบอกเล่าด้วยเสียง  อยากจะทำท่าทำทางประกอบการพูด  อยากพูดไปเปลี่ยนเสียงไปตามเรื่องราว  แล้วก็อยากได้คนมาพยักเพยิดให้เราบ้างเวลาเราคุย
     หรืออย่างน้อย  พิมพ์ไปใส่สติ๊กเกอร์อารมณ์ไป  แล้วมีคนเออออห่อหมกไปในไลน์  ก็ยังดี

     บางครั้ง  เวลาอยากคุยอะไรจริงๆ  เราจะใช้วิธีไปอยู่ตรงหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้าน(พระมั่ง  รูปปั้นบุคคลที่เคารพบูชามั่ง)  แล้วเล่าเหมือนเล่าให้เพื่อนฟัง  เล่าจนพอใจแล้วหันไปมองพระพักตร์หนึ่งที  ก้มลงกราบ  แล้วเดินออกมา 
     โอเค  สบายใจละ

     หรือหากอยู่นอกบ้าน  สิ่งเดียวที่ทำได้  คือวาดภาพในใจไปว่า  ถ้าเราจะเล่าเหตุการณ์นี้ๆให้ใครฟัง  เราจะเล่าอะไร  ใช้คำยังไง  ใช้เสียงแบบไหน 
     ได้แค่คิดคำพูด  แล้วปล่อยให้มันหายไปในห้วงคำนึงนั่นแล

   
     ถ้าวันนึงมีบริการรับฟังคนที่มีเรื่องเล่า  ท่าทางคนเขียนคงจะไปเสียเงินที่นั่นแน่ๆ

     แต่คิดอีกที  ไม่เอาดีกว่า  เรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวกับที่ทำงานมันเป็นความลับ  เล่าไปทั่วไม่ได้หรอก

     คิดซะว่ามันทำให้ความลับที่อยู่กับเราไม่รั่วไหลก็แล้วกัน



     ปีใหม่นี้

     ถ้าตะเกียงวิเศษที่มียักษ์ออกมาให้ขอพรจะมีอยู่จริง

     หรือถ้าเขียนจดหมายไปหาแซนตาครอสแล้วจะได้ของขวัญจริง

     สิ่งเดียวที่เราอยากได้ตอนนี้ 

     คือหูหนึ่งคู่


     หู....ที่รักเรามากพอ  ที่จะคอยรับฟังเรื่องราวต่างๆจากเราได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

     หู....ที่ไว้ใจได้ว่า  เมื่อเล่าอะไรให้ฟังแล้วมันจะจบตรงนั้น  ไม่กระจายต่อไปจนทำเดือดร้อนแก่เราหรือคนรอบข้าง  และ

     หู....ที่จะคอยอยู่ข้างๆ  ให้เราถ่ายทอดสิ่งต่างๆได้  ตลอดไป 



     มันจะเป็นคำขอที่มากเกินไปหรือเปล่านะ...?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ