บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2015

พล่ามสั้นๆ : ไม่เอา Bad Boy

     สวัสดีค่ะ  :)      เรื่องเล่าวันนี้มาจากการเห็นกระแสของซีรีย์วัยรุ่นเรื่องหนึ่งซึ่งเพิ่งจบไป(นี่ก็ช้าตลอด  เขาจบกันแล้วเพิ่งจะรื้อฟื้น)  เลยไปหาข้อมูลดู  ไม่ได้ดูทุกตอนหรอก  แค่หาเรื่องย่ออ่านแล้วดูตอนจบแต่ละภาคเอา  (อู้นะ  หนังสือหนังหาเยอะแยะไม่อ่าน  นั่งทำอะไรอยู่ได้)      แล้วดันไปเจอจุดสะกิดใจ  เกี่ยวกับวัยรุ่นสามคน  หนึ่งหญิง  สองชาย  ที่ดูกระแสจะเชียร์ญให้คู่กับคนที่เคยแย่มาก่อน  แล้วมากลับตัวเป็นคนดีทีหลัง  มากกว่าคนที่ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด      คือ  ใช่  เขากลับตัวแล้วนี่  กรณีนี้ไม่ใช่พระเอกยังเลวเสียหน่อย  ทำไมจะอยากให้คู่กับตัวผู้หญิงไม่ได้  อาฆาตเหรอ  ไม่ให้โอกาสเหรอ ??     เปล่าาา  อย่าเพิ่งดราม่า  นั่นไม่ใช่จุดที่เรามอง  เราเพียงมองเห็นประเด็นว่า....     ทำไมกับคนที่กลับตัวได้แล้วคนจึงเชียร์ว่าควรได้ดี  ในขณะที่  คนที่ดีมาตลอด  กลับไม่เคยมีใครรู้สึกว่าเขาควรจะได้รางวัลแห่งความเสมอต้นเสมอปลายนั้นบ้าง?     นี่ไม่ใช่เรื่องแรกกับประเด็น  Bad  Boy  gets  prize  ดูเหมือนนิยายหลายเรื่องนี่  เราว่าถ้าดูจากความประพฤติ  ตัวเอกบางตัวไม่ควรได้เป็นพระเอกนาง

การเขียนคือความสุข

   เราเคยเล่าในตอน  "แอลกอฮอล์ส่วนบุคคล"  ไปแล้วว่า  สิ่งที่ทำให้เราเกิดสุขและคลายเครียดได้คือ  การเล่นดนตรี    มาวันนี้  เราเพิ่งนึกออกว่า  มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำแล้วยังความสุขให้เราไม่น้อยเลย  นั่นคือ...    การเขียน    จุดเริ่มต้นของการเขียนเราเริ่มมาจากช่วงม. 5  ซึ่งมีโอกาสไปคอร์สปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่ต่างถิ่น  ตอนนั้นคิดอย่างไรไม่ทราบที่พกสมุดปกสวยไปหนึ่งเล่ม  ส่วนสาเหตุที่เริ่มเขียนบันทึกก็เพราะ...     ....นอนไม่หลับ...    พอเขียนๆไป  เอ้ออ  การเขียนนี่สนุกจังเลย  เดาเอาว่าเพราะจริงๆแล้วเราเป็นคนชอบเล่าเรื่อง  ติดอยู่อย่างเดียวคือหาคนฟังไม่ค่อยได้  ครั้นจะเดินไปพูดไปให้ลมให้ฟ้าฟัง...    ....ก็เกรงว่าจะถูกจับเข้าโรงพยาบาลบ้าไปเสียก่อน    การเขียนจึงเป็นทางออกที่ดี  เพราะสามารถ  "สื่อสาร"  ได้โดยไม่จำเป็นต้องหา  "ผู้รับสาร"  ให้วุ่นวาย    พอกลับมาก็ได้เขียนบ้าง  ไม่ได้เขียนบ้าง  หลังๆจะพยายามเขียนช่วงที่ได้ไปท่องเที่ยว  ด้วยอยากเก็บเรื่องราวไว้อ่านในภายหน้า  ซึ่งก็...เขียนจบบ้าง  ไม่จบบ้าง  หายไปไหนก็ไม่รู้...บ้าง   เรื่องที่คลอดออกมาได้ก็

status ที่ไม่เคยลง Facebook (2)

 -  บางทีเราก็ไม่แน่ใจว่าเราควรใช้แรงแค่ไหนในการปิดประตูรถ  หลายครั้ง...ทั้งๆที่คิดว่าแรงพอ  กลับไม่สามารถปิดให้สนิทได้  ในทางตรงข้าม  บางครั้งใช้พลังไม่ต่างกันในการดัน  กลับกลายเป็นทำให้ปิดเสียงดังสนั่นเสียนี่...      .......ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็เช่นกัน...  -  เป็นคนเต็มที่กับชีวิต  เชียร์บอลก็เชียร์เต็มที่  ยิ้มก็ยิ้มเต็มที่  สุขก็สุขเต็มที่  พอเครียดที...     ..........ก็เต็มที่เสียจนหัวใกล้ระเบิด     เว้นเรื่องเดียว  ตอนอ่านหนังสือสอบ  ทำไมมันวอกแวกง่ายจัง  :P  -  นั่งกินข้าวอยู่กับพ่อ  แล้วเส้นผมพยายามมากที่จะลงไปในจานให้ได้    เรา  -  มันจะไปให้พ้นๆจานได้มั้ยเนี่ย  เดี๋ยวก็เปรอะ    พ่อ  -  "ผม"  มันตะกละ    เรา -  (สตั๊นส์ไปสามวิ).....  พ่อว่าตัวเองทำไมอ่ะ  555555555    พ่อ -      -_-''  -  แม้จะไม่มีประโยชน์ที่จะคร่ำครวญถึงสิ่งที่แก้ไขไม่ได้  แต่ก็ห้ามไม่ได้ที่จะเอามาคิดซ้ำไปซ้ำมาเพื่อพบว่า  ตัวเองยังเจ็บกับเรื่องเดิมๆได้อยู่  (ซาดิสต์!!!)  -  ถาม  :  อยากบอกอะไรกับการสอบผู้ช่วยหน่อยมั้ย?     ตอบ  :  เกลียดคำถามเธอ... (เพื่ออ

เกมซ่อน "ของ"

     ไม่รู้เรามาถึงยุคนี้ได้ยังไง       ยุคที่มีแต่การประกวดประขัน  แข่งกันเด่น  มีอะไรก็ต้องงัดออกมาโอ้อวดเอาไว้ก่อน  มีมากก็โชว์มาก  มีน้อยก็พยายามจะทำให้ดูเหมือนมีมาก  แม้ไม่ค่อยจะมียังพยายามให้มี  หรือไม่  ก็ทำให้ดูเหมือนมีให้ได้...    .....เหนื่อยแทน      แต่แม้สังคมส่วนใหญ่จะดูเหมือนเป็นแบบนั้นก็ตาม  ยังมีคนอีกบางกลุ่ม  หรือบางคน  กระทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่....      เขารู้ว่าเขามีอะไร  แต่เขาเลือกที่จะ  "ซ่อน"  สิ่งเหล่านั้นเอาไว้      ตัวอย่างที่เห็นประจำคือซ่อน  "ความรวย"  เหตุผลหลักอาจจะเพื่อหลบตามิจฉาชีพ  และ  ต้องการของถูก      ไม่ว่าบ้านจะใหญ่หรือเงินจะเยอะเพียงใด  เวลาออกจากบ้าน  จะหยิบเสื้อซ่อมซ่อ  โทรมๆ  หรือ        ธรรมด๊า  ธรรมดามาใส่       เลือกโดยสารรถสาธารณะ  หรือไม่  ก็ขับคันที่ไม่สะดุดตามากนักออกจากบ้าน      ไปไหนก็มีแต่คนเมิน  เออดี  เราจะได้ไม่เป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดี      เดินห้างพนักงานก็เมิน  อุ๊ยเลิศ  ไม่โดนคะยั้นคะยอให้ซื้อโน่นซื้อนี่...      .....แม้ว่าบางที  เงินในกระเป๋ามีศักยภาพพอจะเหมาทั้งร้านเลยก็ตามที

ไม่มีคู่แล้วไง

    สวัสดีวันที่ฮัมเพลงว่า  "ลมหนาวมาคนโสดไม่โปรดไม่ปราน.."  ได้ทั้งวันค่ะ  :)     จู่ๆ  เราเกิดนึกอยากสำรวจ  "พล็อต"  ของนิยายที่อยู่รอบๆตัวเราขึ้นมา  แล้วจึงพบว่า  ไม่ใช่นิยายของเราเรื่องเดียวหรอก  ที่ตัวเอกไม่มีคู่     หลายเรื่องทีเดียวแหละ  ที่ไม่ได้ยึด  "ความรัก"  เป็นสรณะของการดำเนินเรื่อง      ยิ่งซีรีย์เมกานี่ชัด  พวกซีรีย์สืบสวน  โอ้โห....  CSI  NY  -  แม็กซ์  พระเอกผู้เป็นหัวหน้าหน่วยนี่  ภริยาตายจากเหตุการณ์ตึกถล่มหรือระเบิดอะไรสักอย่าง  (แม้จะมีคู่ของ  แดนนี่  กะ  ลินเซย์  มาให้คนดูอารมณ์ดีอยู่บ้างก็ตาม)  CSI  Las Vagas  -  แคทเธอรีนหย่ากับสามี  (คือ...เป็นภาคที่เละเทะมากสุดละของซีรีย์นี้  ในความคิดเรา)  Criminal  Mind  -  ภริยาของฮอจถูกฆาตกรโรคจิตฆ่า  ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง  (หดหู่มาก - -)  นอกนั้นก็ไม่ได้สวยหรูอะไร  มีแค่คู่ของเจเจ  ที่น่ารักดี    ของเมกานี่ออกแนวรันทดแบบหดหู่(หรือจริงๆไม่หดหู่ก็มี  แต่คนเขียนเจือกเสพแต่หนังสืบสวนเอง 0_0)  แต่ไม่ใช่แค่เมกา  ญี่ปุ่นก็เป็นนะ  การ์ตูนอ่ะ   ดิจิมอนก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวควา

โพสต์สั้นๆ : หางานอยู่

      ช่วงแรกๆที่กลับมา  เราตั้งเป้าไว้เลยว่า  จะอ่านหนังสือสอบผู้พิพากษา/อัยการอย่างเดียวเท่านั้น       พอไม่ผ่านครั้งแรก  เราก็เริ่มมองหางานอื่น  แต่ยังยั้งๆอยู่  เพราะรู้สึกกลัวว่าถ้าได้พร้อมกันหลายที่แล้วจะมีปัญหา        วันนี้  หลังจากอกหักจากงานมาหลายหน  เราบอกตัวเองว่า       "อยากทำอะไร  และ/หรือ  คิดว่าอะไรพอสอบได้  แกก็สอบไปเหอะ  ให้มันติดก่อนแล้วค่อยเครียด ฉลาดก็ไม่ค่อยฉลาด  เกรดก็กาก  ไม่ต้องดัดจริตทำตัวเป็นคนดีกลัวแย่งที่คนอื่นเขา  สอบแม่งให้หมดน่ะแหละ!!!"  (นี่คือเวอร์ชั่นพออ่านได้แล้วนะคะ  ด่าตัวเองหยาบกว่านี้)        โอเค......ตามนั้น        เพราะฉะนั้นเราก็ว่าจะสอบไปเรื่อยๆ  แม้ช่วงนี้จะเพลาๆลงบ้างเพราะตั้งใจจะเต็มที่ที่สุดกับการสอบอัยการ  แต่หลังจากนั้นคงจะสอบดะ  แล้วกะว่าจะลองยื่นใบสมัครไปยังหน่วยงานเอกชนด้วยเหมือนกัน  รอสอบเสร็จก่อน  หรือไม่  ก็อาจจะยื่นก่อนสอบ        ตำแหน่งงานไม่ไร้เท่าใบพุทราหรอกใช่มั้ย  มันต้องได้สักที่สิ!!        เป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านที่ยังหางานทำเช่นกันนะคะ  ขอให้โชคดีได้งานดังที่หวังไว้  ถึงจะสู้ด้วยกันไม่ได้  

จุดต่อในนิยาย กับ การเวียนว่ายตายเกิดในชีวิตจริง

       แม้ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้จะมีเรื่องราวมากมายให้ขบคิดและเครียด  สมองจอมซ่าของเราก็ยังคงหาเวลาเถลไถลไปแต่งนิยายมอมเมาตัวเองได้อยู่  แต่งมาเข้าภาคสามแล้วด้วย        แต่คำว่า  "ภาคสาม"  นี้  ไม่ได้ต่อกันแบบซีรีย์  สี่หัวใจแห่งขุนเขา  หรือ  มาเฟียเลือดมังกร  หรอกนะคะ  แล้วก็ไม่ได้ต่อกันในรูปแบบของ  Harry  Potter  ด้วย       แต่ต่อกันแบบ  เป็นชีวิตของคนๆนึง  ที่เกิดมาแล้วสามชาติ  โดยมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์  และ  คนบางคน  ที่เชื่อมให้รู้ว่า  คนๆนี้  คือคนๆเดียวกับคนๆนั้นในชาติก่อน  ซึ่งแต่ละชาติตัวเอกก็จะเกิดในที่ต่างกัน  เจอสถานการณ์ต่างกัน  และมีปมในใจต่างกันไป        เป็นความเพลิดเพลินตามลำพังที่สนุกสนานมาก        จู่ๆวันนี้เกิดนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา  แล้วรู้สึกว่า  สามชาติที่ว่าของตัวละครนี้  มันอาจสอดคล้องกับการเวียนวายตายเกิดในชีวิตจริงได้  ดังนี้  ในนิยาย  :  ตัวเอกเกิดในที่ต่างกัน  มีชีวิตต่างกัน  เจอผู้คนใหม่ๆเข้ามา  และเผชิญกับปมในใจหรือความทุกข์ที่ต่างกันออกไป(คนเขียนโรคจิต  ต่อให้เป็นตัวเอกก็อย่าหวังจะมีชีวิตสมบูรณ์แบบ หุหุ)  ชีวิตจริง  :

มุมหนึ่งของคนเงียบ : ห้องลับแห่งความเศร้า

       ความสามารถอย่างหนึ่งของคนเงียบและโลกส่วนตัวสูง  ก็คือความสามารถในการเก็บความทุกข์ระทมได้อย่างมิดชิด...         ทุกข์แทบระเบิด  เสียใจจวนเจียนบ้า  เครียดแทบสิ้นสติ  เบื่อโลกจนคิดว่าตายซะคงดี ถามว่า  มีใครสังเกตได้มั้ยถ้าเราไม่บอก...        ไม่มีทางเสียล่ะ!!!        ตอนอยู่คนเดียวคือเต็มที่  ตามสไตล์ของแต่ละคน  จะเอาหัวโขกกำแพง  อ้อนตุ๊กตา  นั่งบื้อเป็นท่อนไม้  ร้องไห้ในห้องน้ำ  หรือปล่อยน้าตาไหลเคลียแก้มก่อนหลับ  ฯลฯ        มีฝีมือหน่อยก็เขียนหนังสือ  แต่งเพลง  แต่งกลอนไปตามอารมณ์...        กลับมาอ่านอีกที  เหย  เพราะอ่ะ  อินเนอร์มาเต็ม  แต่ละคำนี่บาดหัวใจสุดๆ        ภูมิใจดีมั้ยเนี่ย????       พอออกมาสู่โลกภายนอก  เราจะเป็นอีกคนนึง  คนที่นิ่งๆ  ดูเฉยชาไร้อารมณ์  ซึ่งก็เป็นหน้าปกติอยู่แล้ว  ไม่มีใครสงสัยอะไร  เออ...ดี       เจอคนรู้จักก็ทักทายเป็นปกติธรรมดา  เจอคนสนิทก็พูดคุย  ยิ้ม  หัวเราะไปตามเรื่องราวของบทสนทนา       แต่พอไร้สายตาคนมอง  เราจะแสดงอาการออกมาเล็กน้อยถึงปานกลาง  อาจมีถอนใจ  มองฟ้ามองดินไปเรื่อย  หรือส่งความเศร้าออกมาทางสายตา  แวบหนึ่ง..  

เล่าไปเรื่อย : dare to ask or dare to lose

         หลังจากว่างเว้นไปจากเฟสบุ๊คอยู่ประมาณอาทิตย์หนึ่ง  เราก็กลับเข้าไปใหม่  แล้วโพสต์ข้อความอันมีใจความว่า  แต่นี้หากมีอะไรกรุณาติดต่อทางเบอร์  line  หรือ  wechat  เพราะเราจะไม่ค่อยเข้าเฟสแล้ว..      และแล้วก็เป็นไปดังคาดค่ะท่านผู้ชม  เอ๊ย  ท่านผู้อ่าน  สามช่องทางที่เราว่าไว้ไม่มีใครติดต่อมาเพิ่มเติม  นอกจากหน้าเดิมๆที่คุ้นกันดี      .....อย่างว่าแหละ  คนไม่สำคัญ  หายไปกี่วันก็ไม่มีคนสนใจ....      จนสองสามวันที่ผ่านมา  wechat  เราก็ขึ้นเตือนอะไรบางอย่าง  พอกดดู...      .....อ้าว  ยายรหัสแอ๊ดมา..     [ยายรหัส  คือสายรหัสตอนมหาวิทยาลัยซึ่งอายุห่างกันสามปี  เราอยู่ปีหนึ่ง  เค้าอยู่ปีสี่]      กดรับ  พิมพ์ทักทาย  ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันอยู่สักพัก  พี่เค้าก็ขอตัวไปทานข้าว     ....เอ้อ  ดีเหมือนกัน  ไม่ได้คุยกันมานานแล้ว      แล้วจู่ๆ  เราก็นึกขึ้นได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นชื่อพี่เค้าในไลน์ตัวเองเหมือนกัน  คาดว่าน่าจะเข้ามาตอนลงทะเบียนเบอร์หลังจากเรียนโทจบกลับมา(ล่ะมั้งนะ....ถ้าจำไม่ผิด)      เลยลองหาๆดู  เออ...มีว่ะ      และด้วยความที่ใช้ไลน์มากกว่าวีแชท  จึง

เสื้อเหลืองกับมุมมองจากประชาชนตัวเล็กๆของพระราชา

        สิ่งหนึ่งที่เราประทับใจทุกครั้งที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง  นั่นคือหากคราใดมีการรณรงค์ให้ใส่เสื้อสีนั้นสีนี้ในวันพ่อหรือวันแม่  เมื่อถึงวันพ่อหรือวันแม่พอออกจากบ้าน...ก็จะเห็นคนใส่เสื้อสีนั้นๆเต็มไปหมด         วันแม่........ไปที่ไหนก็พบแต่คนใส่เสื้อสีฟ้า         และวันพ่อ.......ก็พบคนใส่เสื้อสีเหลืองอยู่มากมาย         ถามว่าทุกคนที่พบเห็นใส่เสื้อสีเดียวกันหมดหรือเปล่า  คำตอบคือไม่         แต่...........ก็ไม่น้อยละกัน        และพอเดินสวนกัน  เหมือนความรู้สึกดีมันเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องทักกัน  ไม่ต้องยิ้มให้กัน  ไม่แม้แต่ต้องมองหน้ากัน        แค่เห็นว่าเสื้อสีเดียวกัน  แค่นั้นพอ        เป็นการอธิบายไม่ถูกแต่รู้สึกดี  และ  ไม่พูดก็เข้าใจ  แบบหนึ่ง        เคยอ่านในเนตที่ต่างชาติถามคนไทยว่า  "ทำไมคุณถึงรักในหลวง"  แล้วคนไทยตอบว่า  "คุณมีเวลาฟังหรือเปล่าล่ะ"  นั่นล่ะ  ใช่เลย        รักหรือไม่  คำตอบคงไม่ต่าง  ส่วนทำไมถึงรัก.....        .......อันนี้ต้องคุยกันยาว        คนไทยคงไม่ต่างจากคนชาติอื่นที่มีทั้งข้อดีและ

ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก อิอิ

     เรามีลูกพี่ลูกน้องอยู่คนหนึ่ง  อายุห่างกันห้าปี  เพราะเหตุนั้น  เวลาคุยเรื่องเรียน  เธอมักมองมาที่เราอย่างฉงนสงสัยเสมอ  อย่างช่วงม.ปลาย  เธอจะงงมากเวลาเราบ่นถึงฟิสิกส์  เคมี  ชีวะ  เธอจะถามแบบ  "มันคืออะไรอ่ะพี่"      จนเธอขึ้นม.ปลายเองน่ะแหละ  เธอถึงรู้ซึ้ง  "เออ  มันโคตรยากเลยว่ะพี่"      มีครั้งนึงตอนเรียนป.ตรี  เราไปนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบที่บ้านเธอ  แล้วโดยนิสัยเราเป็นคนอ่านแล้วชอบท่องหรืออธิบายสิ่งที่ตัวเองอ่านออกมา  ไม่ว่าจะด้วยสาขาที่เรียนมันต้องจำ  แล้วการท่องออกมาก็ทำให้จำได้มากกว่า  หรือจะเพราะอะไรก็ตามที      น้องนั่งอยู่ข้างๆก็หันมา  "นี่คือวิธีอ่านหนังสือของพี่?"  เราก็พยักหน้า  แล้วเราก็ท่องของเราต่อไป  น้อง....ซึ่งยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น  ก็พยักหน้าตามที่เราพูดไปเรื่อยๆ      ช่วงที่หยุดอ่าน  เจ้าหล่อนก็ว่า     น้อง  :  นี่ถ้าหนูไม่นั่งอยู่ตรงนี้  อาจมีคนคิดว่าพี่บ้าได้นะเนี่ย     เราหันมองยิ้มๆไม่ว่าอะไร  เอ....หรือเราจะบ้าจริงๆหว่า?     เวลาผ่านไป  น้องเรียนปริญญาตรี  ส่วนเราจบ...ทุกปริญญาที่เรียนแล้วกลับมา  มีโอกาสไ

เพราะภาพไม่เคยเปลี่ยนไป

        สวัสดีค่ะ :)         วันนี้ยังคงอยู่กับโมเม้นต์เก็บรูปอย่างบ้าคลั่ง  (เผอิญรูปเยอะอ่ะนะ 55)         นั่งมองรูปเก่าไปเรื่อยๆ  แล้วรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์....         มีใครเป็นแบบเราไหม  เวลาไม่มีอะไรทำ  บางครั้งก็ชอบเปิดรูปเก่าๆดู  แล้วดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาเหล่านั้น  'เฮ้ยย  ที่นี่คิดถึงจัง'  'ทำไมตอนนั้นฉันโทรมแบบนี้ล่ะ?'  'เหม่...ตอนนั้น....ยังผอมอยู่เลยเนอะ'  บลาบลาบลา         แล้วก็เกิดอาการที่ฝรั่งเขาเรียกว่า  Nostagia  นั่นคืออารมณ์หวนคิดถึงความหลังครั้งเก่าก่อน  ตอนที่...ตอนที่กลับมาไม่ได้อีกแล้ว        คิดถึงสถานที่นั้น  ที่เคยไปเดินทอดน่องหลงอยู่เป็นชั่วโมง        คิดถึงเวลาตอนนั้น  ตอนที่....ทำบ้าทำบออะไรก็ไม่รู้  (นึกแล้วอดเขกหัวตัวเองเบาๆไม่ได้..)        คิดถึงกิจกรรมนั้นๆ  โห  เหนื่อยเนาะ  ไม่รู้อดตาหลับขับตานอนทำไปได้ไง        ต่างต่างนานา  หรือแม้แต่....        คิดถึง........คนคนนั้น  ที่เคยรู้สึก......แบบนั้น  ในตอนนั้น...        ที่ตอนนี้  บรรดาสิ่ง  "นั้นๆ"  ไม่รู้ไปอยู่ไหนหมดแล้ว...        มันตลก

อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง

      ก่อนเป็นนักเขียนต้องเป็นนักอ่านมาก่อน  ก่อนดูดวงเป็นก็ต้องชอบดูดวงมาก่อน  ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น       ไอ้นิสัยชอบเปิดดูดวงรายวันนี่ล่ะ  ที่มาของเรื่องวันนี้       คือเราจะชอบเปิดดูว่าแต่ละวัน  คำทำนายชีวิตของราศีตัวเองจะเป็นยังไง  และล่าสุด  ก็ไปเจอคำทำนายน่าเจ็บแสบอยู่อันหนึ่ง  ใจความว่า        "ที่ทำดีกับใครก็ไม่ได้ผล  แถมเพื่อนที่น่าจะดีดีกันอยู่  กลับมีแววอมพะนำ  ไม่ยอมบอกในสิ่งที่ควรจะบอก"         โห  แค่อ่านก็เจ็บแล้วอ่ะ         แต่คิดๆไป  นอกจากจะเป็นการทำนายในทางร้ายได้แล้ว  ข้อความนี้ยังสอนใจได้ดีอย่างหนึ่ง  นั่นคือ...          "อย่าไว้ใจใครมากไปกว่าตัวเอง"          อ๊ะ  อ๊ะ  เราไม่ได้บอกให้เชื่อตัวเองร้อยเปอร์เซนต์นะ  อย่าเข้าใจผิด          แค่จะบอกว่า......ขนาดคนในกระจกซึ่งอยู่ด้วยกันตลอดเวลา  บางทียังทำผิดทำพลาด  ไว้ใจไม่ค่อยได้ในบางครั้งเลย...          แล้วจะเอาหัวใจ  ความเชื่อ  หรือความหวัง  ไปฝากไว้กับบุคคลภายนอก  ผู้ซึ่งไม่มีส่วนได้เสียกับความฉิบหายหรือความรุ่งเรืองในชีวิตเราเลย....          ......ดูจะเสี่ยงไปหน่อยนะ

Once friend, always be friend

        เรามีเพื่อนอยู่คนนึง  สนิทกันมาตั้งแต่สมัยปริญญาตรี  คุยกันได้เรื่อยๆ  และก็คงจะสนิทกันต่อไปเรื่อยๆ  ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน         ....เราเนี่ยแหละเป็นคนก่อเรื่อง         เรื่องของเรื่องคือเราไปทำคดีโดยไม่ได้บอกเธอ(ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าทำไมตอนนั้นไม่บอก)  แล้วเธอมารู้ทีหลัง  เธอก็โกรธมาก  เห็นเลยล่ะว่าโกรธจริงจัง  (นึกในใจ...ชิบหายละ)         หลังจากนั้นเธอก็มาบอกว่า  เออ  เธอหายโกรธละ  จริงๆเธอเสียความรู้สึกมากกว่า  ทุกอย่างเหมือนจะเป็นเหมือนเดิม...         ...........แต่เรารู้สึกได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม  รู้สึกได้ว่าเธอเล่าอะไรให้เราฟังน้อยลง  แต่เป็นอันเข้าใจได้  คนเคยเจ็บมาย่อมจะวางใจเท่าเดิมไม่ได้  เราเข้าใจ         แล้วก็มีเหตุให้เราเป็นฝ่ายเคืองเธอบ้าง  เมื่อเราเพิ่งมารู้ว่าเธอได้งานทำแล้วไม่บอกเรา  ที่รู้เพราะคุยกันในไลน์แล้วมีเพื่อนในกลุ่มหลุดปากบอก         ตอนนั้นรู้สึกเฟลทุกอย่างในชีวิต  ทั้งรู้สึกว่าเพื่อนไม่ไว้ใจเราแล้วอีกต่อไป  ทั้งรู้สึกว่ายังหางานไม่ได้อยู่คนเดียว  ทุกสิ่งอย่าง         คิดถึงขนาดเตรียมใจไว้เลยว่า  หากวันนึงต้องออกจากกลุ่ม  

เล่าไปเรื่อย : Degoo

        อันที่จริงวันนี้ก็เป็นวันธรรมดาๆวันนึง  ที่ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร  แต่ดันมีเรื่องจนได้         คือช่วงนี้เราจะเข้าไปอัพเดตไฟล์เอกสารฉบับหนึ่งซึ่งบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำที่ผ่านมา  ซึ่งทุกวันก็ไม่มีปัญหาอะไร  แถมเพิ่งอัพไปเมื่อวานก็ปกติดี         แต่วันนี้มันไม่ปกติ!!!         นั่งทวนหนังสือสักพักก็เปิดไฟล์จะบันทึกเพิ่มเติม.....แต่หาไม่เจอ  หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับมีใครลบก็ไม่ปาน         ใช้ระบบค้นหาของเครื่องคอมฯ  ได้มาเหมือนกัน  แต่ขึ้นว่า....เปิดไม่ได้นะ  อันนี้เป็น shortcut  คือไม่ใช่ฉบับจริง          เวรกรรม  - _ - ''         สรุปคือหายไปทั้งเรื่องเลยค่ะ  ไม่รู้หายไปไหนและหายไปได้ยังไง....         กิจกรรมยามอู้ของวันนี้แทนที่จะเป็นการนั่งเล่นคอมอ่านหนังสืออ่านเล่นธรรมดา  กลายเป็นว่านั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับระบบสำรองข้อมูล(backup)  หรือระบบที่สามารถเก็บข้อมูลแบบออนไลน์ได้         พอกันทีกับการฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่ฮาร์ดดิส(External  Harddisk)         ตอนแรกกำลังคิดว่าจะสมัคร  One  Drive  ซึ่งเป็นบริการเก็บข้อมูลออนไลน์(Cloud)  ของทางไมโครซอฟ(

เล่าไปเรื่อย : ลูกอีช่างถาม

         เรามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง  นั่นคือเราชอบสงสัยในสิ่งที่ชาวบ้านเขาไม่สงสัยกัน          แล้วพอสงสัยก็จะถามคนใกล้ๆตัว  ตอนที่ยังไร้เดียงสาเราก็ถามไปทั่ว  ผลคือ  หลายครั้งเราโดนคนที่ตอบไม่ได้ในสิ่งที่เราสงสัยเหวี่ยงเอา  "ชาวบ้านเขาไม่ถามกันไม่รู้รึไง"  (ก็สงสัยอ่ะ)          เช่นตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ  เราถามแม่ว่า  ทำไมเฉพาะผู้หญิงที่ต้องติดกระดุมมหาฯลัยกับติดเข็ม  ทำไมผู้ชายไม่ต้องติด?          ผลคือแม่ตอบ(แบบแอบเหวี่ยง)ว่า  'แม่ไม่เคยสงสัยเลย  แม่รู้แค่ว่ามันเป็นกฎและแม่ต้องทำ'  (ตอบไม่ตรงคำถามง่ะ)          และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่โดนแม่เหวี่ยงในอะไรแบบนี้(นี่ก็ไม่ค่อยเข็ด)  แต่จำได้ว่าหลังจากนั้น  เราก็ถามอะไรแปลกๆกะแม่น้อยลง          อีกคำถามแปลกๆที่จำได้แม่น  คือตอนเรียนเรื่องกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืม  จำนอง  จำนำ  ในคาบสุดท้าย  ขณะที่คนอื่นถามเกี่ยวกับบทเรียน  ถามว่าออกอะไร  ถามฎีกา  เรายกมือถามว่า          "พันธบัตรรัฐบาลจำนำได้มั้ยคะ?"  (สาบานได้ว่าเราได้ยินคนหัวเราะด้วย)          คำตอบที่ได้รับจากอาจารย์คือ  &

ดวงกับความสัมพันธ์

      คนที่ศึกษาศาสตร์การทำนายจะทราบว่า  หลาายๆศาสตร์การดูดวงล้วนกำหนดให้ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเป็นศัตรูกับอีกตำแหน่งหนึ่งเสมอ         ทำนายตามกรุ๊ปเลือด  เช่น  กรุ๊ปเอจะไม่ถูกกับกรุ๊ปบี  กรุ๊ปเอบีจะไม่ถูกกับกรุ๊ปโอ         ศาสตร์ของจีน  เช่น  ปีเถาะจะไม่ถูกกับปีระกา  ปีมะโรงจะไม่ถูกกับปีจอ        ดูวันเกิด  เช่น  คนวันศุกร์ไม่ถูกกับคนวันเสาร์  คนวันอาทิตย์ไม่ถูกกับคนวันอังคาร        หรือแม้แต่การผูกดวงตามโหราศาสตร์ไทย  ที่ถือว่าราศีซึ่งเป็นภพเสียของกันและกันจะไม่ถูกกัน         ฯลฯ         คำถามคือ  ในความเป็นจริง  จำเป็นเหรอที่เราต้องตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูกับคนทุกคนที่มีกรุ๊ปเลือด  วัน  ปี  หรือราศีไม่ถูกโฉลกกับเรา  ดังที่เขาทำนายไว้จริงๆ          ถ้าถามเรา......เราว่าไม่จำเป็น         ในฐานะคนธรรมดาทั่วไป  ถามว่าเคยรู้สึกมั้ยว่า  คนนั้นพบหน้าแล้วถูกชะตา  คนนี้พบหน้าแล้วรู้สึกอยากมีเรื่องกัน         โอ๊ย  ทำไมจะไม่เคย  คนนะคะ  เกิดมาอสงไขย  ย่อมมีทั้งมิตรและศัตรูมาแต่ชาติปางก่อนไม่ต่างจากคนอื่นๆ         ยิ่งในฐานะหมอดู  พอมาผูกดวงคนนั้นคนนี้แล้วยิ่งเข้าใจเลยว่

status ที่ไม่เคยเอาลงเฟส (1)

   ตามที่จั่วหัวไว้นั่นแหละ  อันที่จริงคิดไว้หลายอย่างมากแต่ไม่เคยลงเฟสเลย  ตั้งกะยังติดเฟสอยู่จนนานๆเข้าทีแล้ว  ก็ยังไม่ได้ลงซะที    แปะมันตรงนี้แหละนะ   -  เห็นเงียบๆ  วิชามารเพียบนะคะ   -  มีคนเคยบอกว่า  "ทุกความสวยงามมีคนมองเห็นเสมอ"  ถ้าข้อความนี้จริง  ก็แปลว่าเราไม่สวย  ถ้าเราสวย  ก็แปลว่าข้อความนี้ไม่จริง       ......น่าจะเป็นอย่างหลัง... :P   -  นั่งรถผ่านร้านทำผม  เห็นผชนั่งรออยู่ที่ม้านั่งก็คิดว่าคงรอแฟนตัดผม  พอหันไป  เอ๊ะ  ลูกค้ามีคนเดียว.....                แถมเป็นผู้ชายด้วย!!!  (เฮ้ย)   -  ไปร้านหนังสือเจอหัวข้อโรคซึมเศร้า  คิดในใจ  "เราก็เป็น"  คิดไปคิดมา  ถ้าเรารู้ว่าเป็นก็แปลว่าเราไม่เป็นดิ  แต่เราก็ซึมเศร้านะ      ........สงสัยไม่หนัก  -  ถาม  :  แกจะเก็บติ๊กเก้อไลน์ไว้เยอะทำไมวะ  คนคุยด้วยก็ไม่ค่อยจะมี     ตอบ  :  แกจะเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนรอโอกาส  หรือแกจะรอให้เกิดโอกาสก่อนแล้วค่อยหาความพร้อม?  (ตรูก็แถหาความชอบธรรมไปเรื่อย)  -  คนบางคนควรตระหนักว่าการที่เขาไม่มีข้อบกพร่องตามธรรมชาติที่คนบางคนมี  ไม่ทำให้เขามีสิทธิ์นำค

บ่นไปเรื่อย : นิยายกับเรื่องจริง

      นั่งดูรัตนาวดีได้ยินท่านดนัยบอกเป็นนัยๆว่า  เดี๋ยวในอนาคตตัวเองจะพาท่านหญิงรัตนาวดีเที่ยวเองโดยไม่ต้องพึ่งเงินของท่านชายพจน์ฯ  แล้วเกิดอาการเพ้ออยากให้ใครมาดูแลเราแบบนั้นบ้าง  พอดูจบก็กลับมาสู่ความจริงที่ว่า  ชีวิตจริงไม่มีใครพูดแบบนั้นหรอก  นอกจากพ่อแม่เรา...        ...เผลอๆ  แม้แต่พ่อแม่เรา  พอถึงจุดนึงก็ยังเดินมาบอกเราว่า........"เลี้ยงตัวเองเถอะ"          มีใครคุ้นๆว่าตัวเองเคยเพ้อแนวนี้มั้ยคะ ?          การเสพนวนิยายหลายครั้งก็ทำให้เราฝันเฟื่อง  คอยเพ้อไปว่า  บางที  ฉันก็อาจจะเป็นนางเอกกับเขาบ้าง  มี....ชาย(เชิญเติมคำในช่องว่างตามศรัทธา  คุณ/ท่าน/เจ้า/ผู้  ฯลฯ)  มาคุกเข่าแล้วบอกเราว่า  เราคือสุดที่รักของเขา....          น้ำเน่าสิ้นดี!!!         ตื่นๆๆ  ลืมตามาดูเถิด  นางเอกนิยายไม่ได้เยอะแยะจนหาได้ตามท้องตลาดขนาดนั้น  โอเค  ถามว่ามีไหม  ก็คงมี  แต่คือต้องเข้าใจว่าพ่อพระในนิยายไม่ได้กระโดดออกมามากพอสำหรับทุกคน...         .........อย่างน้อยๆก็ไม่ได้ออกมาเจอเราละกัน  เหอๆๆ  (เชิญถอนหายใจได้)         เพราะชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน  ไม่สามารถมีทุกอย่างได

ว่าด้วยเรื่องเหรียญฟรีของไลน์

      ว่าด้วยเรื่อง  "ไลน์"  อีกแล้วค่ะ  คราวก่อนเล่าถึง  "สติ๊กเกอร์"  วันนี้  มาเรื่อง  "เหรียญ"  กันบ้าง  .........แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวกับสติ๊กเกอร์เอาเสียเลย....       ไม่สามารถระบุวันที่แน่นอนได้ว่าไลน์เริ่มแจกเหรียญฟรีให้ผู้ใช้โทรศัพท์และแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยตั้งแต่เมื่อไหร่...       ..รู้แต่ว่าครั้งแรกที่ตัวเองโหลดเกมเพื่อเอาเหรียญฟรีคือวันที่  20  กรกฎาคม  2557  ที่จำได้เพราะตัวเองนั่งโหลดเกมก่อนขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ...วันนั้นพอดี         และยังจำได้ด้วยว่าโหลดมาสี่โปรแกรม  ได้เหรียญ  35  เหรียญต่อ  1  โปรแกรม  รวมเป็น...(แปบนะ  เด็กนิติไม่ค่อยเก่งเลข)  ......140         โอ๊ย  ดีใจมาก  ทั้งๆที่ไม่คิดจะใช้เลย        จำได้อีกด้วยว่าแรกที่แจกนั้น  บัญชีไลน์ไม่จำเป็นต้องลงเบอร์ก็เก็บเหรียญฟรีได้  เก็บไปเก็บมาก็.......อีกแล้วค่ะ  ต้องลงเบอร์นะ  ไม่งั้นไม่แจก         จ๊ะ  ครื้มอกครื้มใจก็ยืมเบอร์ชาวบ้านมาลงเอาเหรียญบ้างไรบ้าง  เหม่  หลังๆนี่งก  ให้ที  2  เหรียญ  5  เหรียญ  แค่นั้นเอง          ..............แต่ก็เก็บ  เก็บมาเร

เสียงของคนเงียบ

          มา  วันนี้ขอเป็นกระบอกเสียงให้คนเงียบอีกสักที  อะไรกันนักหนากับคำกล่าวหาว่าร้ายต่างๆ     ถาม  :  คนเงียบเป็นคนหยิ่ง     ตอบ  :  เข้าใจอะไรผิดป่ะคะ  พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้หยิ่ง  เราแค่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างไม่กล้า  ขี้อาย  หรือไม่ไว้ใจ  ข้อใดข้อหนึ่ง  แล้วถ้าถามว่ามันต่างกันอย่างไร...                  หยิ่ง  =  ฉันมีปัญญาทักคุณ  แต่ฉันไม่ทัก  เพราะฉันเห็นว่าคุณไม่คู่ควรแก่การรู้จัก                  ไม่กล้า  =  ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าทักไป  คุณจะตอบมาหรือเปล่า                  ขี้อาย  =  ฉันไม่คุ้นกับคนแปลกหน้าและไม่สันทัดการเข้าสังคม  จึงเขินที่จะทำความรู้จักกับใคร                  ไม่ไว้ใจ  =  ฉันเคยถูกทำร้ายมา  ฉันไม่แน่ใจว่าคุณจะเอาไมตรีฉันมาทำร้ายฉันหรือเปล่า    ถาม  :  ก็แล้วทำไมทำหน้าบึ้งหน้านิ่งได้ทั้งวันแบบนั้น    ตอบ  :  ถ้าคุณเจอคนยิ้มเรี่ยราดไปทั่วทั้งๆที่ไม่รู้จักใครเลย  คุณจะจับเค้าส่งโรง'บาลบ้ามั้ยล่ะคะ  ถึงเราจะ  "เงียบ"  แต่เราไม่  "โง่"  นะคะ                 อีกอย่าง  ยิ้มไปทั่วจะดูเปิดมากไป  เรา(บางคน)ต้องการอยู่ของเราเงียบๆมากกว

ฝากใครซื้อของต้องระวัง...

               มีเรื่องมาเตือนค่ะ                วันนี้วันพุธ  ซึ่งเป็นวันที่ร้านชาร้านหนึ่งมีโปรโมชั่น  1  แถม  1  เราก็บอกพ่อว่ากลับมาบ้านเนี่ยซื้อชามาด้วยนะ  เอาชานมมัทฉะ  กับชานมน้ำผึ้ง  พ่อก็  โอเคๆ                 มาถึงบ้าน  มัทฉะน่ะถูก  ปัญหาคือ  ไอ้คู่ชานมน้ำผึ้งเนี้ย                 หน้าตามันดูเป็นชาน้ำผึ้ง  ที่ไม่ใส่นม!!!                 เราก็แบบ  เฮ้ยพ่อ  ทำไมหน้าตาเงี้ย  แล้วราคาเท่าไหร่เนี่ย  พ่อบอก  "จ่ายไปร้อยยี่สิบ"                 ถูกต้องเลย  มัทฉะหกสิบ  ชานมน้ำผึ้งหกสิบ.........แต่ที่ไม่ถูกคือไอ้คู่หลังนี่มันไม่ใช่ชานมน้ำผึ้งเนี่ยสิ                 ลองสังเกตด้วยตาและจมูกแล้วสรุปได้ว่า......น่าจะเป็นชาเขียวน้ำผึ้งมะนาว                 แล้วพอเปิดเมนูในเนตดูว่าราคาเท่ากันหรือเปล่า  เมนูที่สั่งกะเมนูที่ได้  ผลปรากฎว่า.......                ไม่เท่าค่ะ  !!!                   ชานมน้ำผึ้งราคา  60  บาท  ส่วนชาเขียวน้ำผึ้งมะนาวราคา  50  บาท                 สรุปง่ายๆคือความผิดพลาดพนักงานทำขาดทุนไปสิบบาท                 โมโหไปโมโหมาเลยหันไปว่าค

Read for the Blind มาอู้อย่างได้บุญกันเถอะ

รูปภาพ
     เนื่องด้วยวันนี้ไม่มีอะไรจะเขียน  แต่ด้วยความเป็นคนชอบอู้  ก็เลยจะมาแนะนำโปรแกรมที่ทำให้การอู้นั้นรู้สึกผิดน้อยลง(นิดนึง:P)      แต่วิธีนี้จะเหมาะแก่ขาอู้ผู้มีหนังสือในมือมากกว่าคนไม่ชอบอ่านหนังสือนะ หุหุ        เคยอยากช่วยคนตาบอดด้วยการบันทึกหนังสือเสียงไหมคะ  ?        แต่บางครั้งก็ลำบากนะว่ามั้ย  จะไปอ่านที่  Central  World  ก็ต้องไปจองเวลาไว้ก่อน  แล้วดันอ่านได้แค่ครั้งละสองชั่วโมง  แถมเลือกหนังสือที่จะอ่านเองก็ไม่ได้  (B2S  บอกว่าจะให้คูปองลดก็ไม่ให้...เอ่อ  นั่นคงไม่ใช่ประเด็น)        หรือจะเลือกไปที่บ้านคนตาบอดโดยตรงเลย  วันดีคืนดีไปถึงคนเยอะ  ก็อ่านไม่ได้อีก  และบางครั้งก็เจอข้อจำกัดเรื่องเวลาและภาระหน้าที่ด้วย         งั้น.....ลองแอพลิเคชั่นนี้ดู  ;)           Read  for  the  blind   หน้าตาแบบนี้               ค่ะ  ก็อย่างที่เห็น  แอพลิเคชั่นนี้ดาวน์โหลดได้ฟรีจาก  Play  Store  ส่วนมือถือและแท็บเลตฟากฝั่ง  Apple  จะมีหรือไม่  คงต้องรบกวนให้ลองหาดู               ........เผอิญไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ของ  Apple  เลย             และต้องขออภัยไว้ล