เล่าไปเรื่อย : ลูกอีช่างถาม
เรามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเราชอบสงสัยในสิ่งที่ชาวบ้านเขาไม่สงสัยกัน
แล้วพอสงสัยก็จะถามคนใกล้ๆตัว ตอนที่ยังไร้เดียงสาเราก็ถามไปทั่ว ผลคือ หลายครั้งเราโดนคนที่ตอบไม่ได้ในสิ่งที่เราสงสัยเหวี่ยงเอา "ชาวบ้านเขาไม่ถามกันไม่รู้รึไง" (ก็สงสัยอ่ะ)
เช่นตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ เราถามแม่ว่า ทำไมเฉพาะผู้หญิงที่ต้องติดกระดุมมหาฯลัยกับติดเข็ม ทำไมผู้ชายไม่ต้องติด?
ผลคือแม่ตอบ(แบบแอบเหวี่ยง)ว่า 'แม่ไม่เคยสงสัยเลย แม่รู้แค่ว่ามันเป็นกฎและแม่ต้องทำ' (ตอบไม่ตรงคำถามง่ะ)
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่โดนแม่เหวี่ยงในอะไรแบบนี้(นี่ก็ไม่ค่อยเข็ด) แต่จำได้ว่าหลังจากนั้น เราก็ถามอะไรแปลกๆกะแม่น้อยลง
อีกคำถามแปลกๆที่จำได้แม่น คือตอนเรียนเรื่องกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืม จำนอง จำนำ ในคาบสุดท้าย ขณะที่คนอื่นถามเกี่ยวกับบทเรียน ถามว่าออกอะไร ถามฎีกา เรายกมือถามว่า
"พันธบัตรรัฐบาลจำนำได้มั้ยคะ?" (สาบานได้ว่าเราได้ยินคนหัวเราะด้วย)
คำตอบที่ได้รับจากอาจารย์คือ "อันนี้ผมไม่ทราบนะครับ ยังไงลองหาข้อมูลเพิ่มจากตำราอื่นๆดู" ค่ะ ขอบพระคุณนะคะที่ไม่อารมณ์เสียใส่หนู
เชื่อมั้ย ทุกวันนี้เรายังไม่รู้เลยว่าพันธบัตรรัฐบาลจำนำได้หรือเปล่า (คือเราพยายามหาแล้วนะ แต่เราหาไม่เจอจริงๆ)
ตอนเรียนโทเราก็เคยถามอะไรแปลกๆเหมือนกัน แต่นี่จำไม่ได้จริงๆว่าถามอะไร จำได้แค่ว่าอาจารย์บอกว่า 'เออน่าคิด ผมคิดไม่ถึง' ว่าแล้วท่านก็ให้เวบไซต์มาค้นคว้าเพิ่มเอาเอง
บางทีก็เหนื่อยใจกะตัวเองนะ....
คนเดียวจริงๆ ที่ถามแล้วไม่เคยโดนเหวี่ยงใส่ นั่นคือพ่อ โดยส่วนมากที่ถามจะเกี่ยวกับเรื่องศาสตร์การดูลายมือและโหราศาสตร์ไทย โดยเฉพาะการดูลายมือที่เรียนมาจากพ่อโดยตรง
พอถามแล้ว พ่อก็จะ.... 'คิดได้ไงวะเนี่ย?? ขอพ่อไปหาข้อมูลก่อนนะ'
ถามว่าหาได้ทุกอย่างที่ถามมั้ย ก็ไม่หรอก แต่อย่างน้อยการที่ไม่เหวี่ยงใส่และพยายามหาเหตุผลมาตอบเรา ก็เป็นสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณมากในทุกๆครั้งที่ต่อมหาเรื่องมันทำงาน
นิสัยที่ตามมาจากนิสัยการสงสัยแบบเสี่ยงต่อการถูกว่าของเราก็คือ นิสัยชอบคิดหาเหตุผลหรือคำตอบด้วยตัวเอง ด้วยความที่ถามไปทั่วแล้วชาวบ้านเกาหัวแกรกๆ แถมไม่ได้คำตอบเสียตั้งเยอะ สุดท้ายก็เลย 'เอาวะ ไหนลองเอาคำถามมานั่งคิดเองดู' โดยจะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกะสิ่งที่ตัวเองสงสัย ถ้าหาแล้วเจอก็ดีไป ถ้าไม่เจอก็จะลองเอาข้อมูลที่มีมาเชื่อมโยงเอาเอง บางทีก็ไม่รู้หรอกว่าถูกมั้ย แค่เออ มันตอบคำถามตัวเองได้ พอใจละ
ส่วนถ้าตอบไม่ได้ก็....มั่วค่ะ ตอบแบบมั่วๆให้ตัวเองไป หุหุ
ล่าสุดเลยค่ะ ไลน์กรุ๊ปครอบครัวเอาโพสต์รายงานอาการของคุณปอ ทฤษฎี มาแชร์ให้ดู เราอ่านแล้วจู่ๆก็ถาม(แบบโง่ๆหรือเปล่าไม่รู้) ไปว่า
"จู่ๆเชื้อไข้เลือดออกมันหายไปได้ยังไงคะ"
แม่ตอบกลับมาว่า
"หมอแจ้งตั้งแต่เมื่อวานแล้วไงจ๊ะว่ารักษาจนเชื้อหายแล้ว..."
ยังไม่ค่อยกระจ่างใจ จะถามเพิ่มก็เกรงใจ
ว่าแล้วก็เริ่มหาคำตอบเอง(อีกแล้วค่ะ) ....เอ้อ เชื้อไข้เลือดออกเป็นไวรัส ปกติไวรัสเป็นอะไรที่รักษาไม่ได้ แต่สามารถหายไปเองได้ เห็นได้จากการที่เราเป็นหวัดแล้วหายได้เอง(ใช่ หวัดเกิดจากไวรัสเช่นกัน) ดังนั้น ถ้าใช้หลักการเดียวกัน แปลว่า...การดูแลเบื้องต้นทำให้เชื้อหยุดการทำงานต้วเองได้...
โอเค....น่าจะเป็นแบบนั้น (พอใจละ แค่นี้ 555)
....ก็ได้แต่หวังว่าคุณปอจะอาการดีขึ้นเรื่อยๆล่ะนะ....
การโตขึ้นไม่ได้ทำให้ความสามารถในการถามแบบขวางโลกลดลง เอาจริงๆมันเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะยิ่งได้รู้อะไรมากขึ้นก็ยิ่งทำให้สงสัยได้แตกแขนงมากขึ้นไปอีก
สิ่งที่พัฒนาขึ้นกลับเป็นความสามารถในการหลบหลีกการถูกด่า ด้วยการดูตาม้าตาเรือให้ดีก่อนถาม นั่นคือ ถ้าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายสนิทกะเราพอ หรือใจกว้างพอที่จะรับคำถามเราได้ ก็อย่าถามเลยเหอะ
อย่างไรก็ดี เราว่าการช่างสงสัยเป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะมันทำให้เราได้คิดถึงอะไรสักอย่างมากขึ้น และเมื่อถามแล้วได้ข้อมูลมายังส่งผลให้เรามีข้อมูลมากขึ้น และมีแนวโน้มจะฉลาดขึ้น และหากใครเป็นแบบเดียวกับเรา เขาก็มีแนวโน้มจะเป็นคนค้นคว้าเก่งและหาเหตุผลเชื่อมโยงได้อย่างมีหลักการ ซื่งเป็นทักษะที่เราว่ามันมีประโยชน์อยู่ไม่น้อยในการดำรงชีวิต
เพราะฉะนั้น....ถามเห้อ
อันนี้เลยอะคือคำตอบว่าทำไมเขียนได้ลเอียดละออมากๆ ถ้าเป็นงานผ้า ฝีเข็มก็ละเอียดปราณีตมากๆค่ะ เข้าใจแล้ว 555
ตอบลบคนเขียนไม่เข้าใจค่ะ :P
ตอบลบ555555555
ตอบลบ