บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม, 2015

พล่ามสั้นๆ : ไม่เอา Bad Boy

     สวัสดีค่ะ  :)      เรื่องเล่าวันนี้มาจากการเห็นกระแสของซีรีย์วัยรุ่นเรื่องหนึ่งซึ่งเพิ่งจบไป(นี่ก็ช้าตลอด  เขาจบกันแล้วเพิ่งจะรื้อฟื้น)  เลยไปหาข้อมูลดู  ไม่ได้ดูทุกตอนหรอก  แค่หาเรื่องย่ออ่านแล้วดูตอนจบแต่ละภาคเอา  (อู้นะ  หนังสือหนังหาเยอะแยะไม่อ่าน  นั่งทำอะไรอยู่ได้)      แล้วดันไปเจอจุดสะกิดใจ  เกี่ยวกับวัยรุ่นสามคน  หนึ่งหญิง  สองชาย  ที่ดูกระแสจะเชียร์ญให้คู่กับคนที่เคยแย่มาก่อน  แล้วมากลับตัวเป็นคนดีทีหลัง  มากกว่าคนที่ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด      คือ  ใช่  เขากลับตัวแล้วนี่  กรณีนี้ไม่ใช่พระเอกยังเลวเสียหน่อย  ทำไมจะอยากให้คู่กับตัวผู้หญิงไม่ได้  อาฆาตเหรอ  ไม่ให้โอกาสเหรอ ??     เปล่าาา  อย่าเพิ่งดราม่า  นั่นไม่ใช่จุดที่เรามอง  เราเพียงมองเห็นประเด็นว่า....     ทำไมกับคนที่กลับตัวได้แล้วคนจึงเชียร์ว่าควรได้ดี  ในขณะที่  คนที่ดีมาตลอด  กลับไม่เคยมีใครรู้สึกว่าเขาควรจะได้รางวัลแห่งความเสมอต้นเสมอปลายนั้นบ้าง?     นี่ไม่ใช่เรื่องแรกกับประเด็น  Bad  Boy  gets  prize  ดูเหมือนนิยายหลายเรื่องนี่  เราว่าถ้าดูจากความประพฤติ  ตัวเอกบางตัวไม่ควรได้เป็นพระเอกนาง

การเขียนคือความสุข

   เราเคยเล่าในตอน  "แอลกอฮอล์ส่วนบุคคล"  ไปแล้วว่า  สิ่งที่ทำให้เราเกิดสุขและคลายเครียดได้คือ  การเล่นดนตรี    มาวันนี้  เราเพิ่งนึกออกว่า  มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำแล้วยังความสุขให้เราไม่น้อยเลย  นั่นคือ...    การเขียน    จุดเริ่มต้นของการเขียนเราเริ่มมาจากช่วงม. 5  ซึ่งมีโอกาสไปคอร์สปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่ต่างถิ่น  ตอนนั้นคิดอย่างไรไม่ทราบที่พกสมุดปกสวยไปหนึ่งเล่ม  ส่วนสาเหตุที่เริ่มเขียนบันทึกก็เพราะ...     ....นอนไม่หลับ...    พอเขียนๆไป  เอ้ออ  การเขียนนี่สนุกจังเลย  เดาเอาว่าเพราะจริงๆแล้วเราเป็นคนชอบเล่าเรื่อง  ติดอยู่อย่างเดียวคือหาคนฟังไม่ค่อยได้  ครั้นจะเดินไปพูดไปให้ลมให้ฟ้าฟัง...    ....ก็เกรงว่าจะถูกจับเข้าโรงพยาบาลบ้าไปเสียก่อน    การเขียนจึงเป็นทางออกที่ดี  เพราะสามารถ  "สื่อสาร"  ได้โดยไม่จำเป็นต้องหา  "ผู้รับสาร"  ให้วุ่นวาย    พอกลับมาก็ได้เขียนบ้าง  ไม่ได้เขียนบ้าง  หลังๆจะพยายามเขียนช่วงที่ได้ไปท่องเที่ยว  ด้วยอยากเก็บเรื่องราวไว้อ่านในภายหน้า  ซึ่งก็...เขียนจบบ้าง  ไม่จบบ้าง  หายไปไหนก็ไม่รู้...บ้าง   เรื่องที่คลอดออกมาได้ก็

status ที่ไม่เคยลง Facebook (2)

 -  บางทีเราก็ไม่แน่ใจว่าเราควรใช้แรงแค่ไหนในการปิดประตูรถ  หลายครั้ง...ทั้งๆที่คิดว่าแรงพอ  กลับไม่สามารถปิดให้สนิทได้  ในทางตรงข้าม  บางครั้งใช้พลังไม่ต่างกันในการดัน  กลับกลายเป็นทำให้ปิดเสียงดังสนั่นเสียนี่...      .......ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็เช่นกัน...  -  เป็นคนเต็มที่กับชีวิต  เชียร์บอลก็เชียร์เต็มที่  ยิ้มก็ยิ้มเต็มที่  สุขก็สุขเต็มที่  พอเครียดที...     ..........ก็เต็มที่เสียจนหัวใกล้ระเบิด     เว้นเรื่องเดียว  ตอนอ่านหนังสือสอบ  ทำไมมันวอกแวกง่ายจัง  :P  -  นั่งกินข้าวอยู่กับพ่อ  แล้วเส้นผมพยายามมากที่จะลงไปในจานให้ได้    เรา  -  มันจะไปให้พ้นๆจานได้มั้ยเนี่ย  เดี๋ยวก็เปรอะ    พ่อ  -  "ผม"  มันตะกละ    เรา -  (สตั๊นส์ไปสามวิ).....  พ่อว่าตัวเองทำไมอ่ะ  555555555    พ่อ -      -_-''  -  แม้จะไม่มีประโยชน์ที่จะคร่ำครวญถึงสิ่งที่แก้ไขไม่ได้  แต่ก็ห้ามไม่ได้ที่จะเอามาคิดซ้ำไปซ้ำมาเพื่อพบว่า  ตัวเองยังเจ็บกับเรื่องเดิมๆได้อยู่  (ซาดิสต์!!!)  -  ถาม  :  อยากบอกอะไรกับการสอบผู้ช่วยหน่อยมั้ย?     ตอบ  :  เกลียดคำถามเธอ... (เพื่ออ

เกมซ่อน "ของ"

     ไม่รู้เรามาถึงยุคนี้ได้ยังไง       ยุคที่มีแต่การประกวดประขัน  แข่งกันเด่น  มีอะไรก็ต้องงัดออกมาโอ้อวดเอาไว้ก่อน  มีมากก็โชว์มาก  มีน้อยก็พยายามจะทำให้ดูเหมือนมีมาก  แม้ไม่ค่อยจะมียังพยายามให้มี  หรือไม่  ก็ทำให้ดูเหมือนมีให้ได้...    .....เหนื่อยแทน      แต่แม้สังคมส่วนใหญ่จะดูเหมือนเป็นแบบนั้นก็ตาม  ยังมีคนอีกบางกลุ่ม  หรือบางคน  กระทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่....      เขารู้ว่าเขามีอะไร  แต่เขาเลือกที่จะ  "ซ่อน"  สิ่งเหล่านั้นเอาไว้      ตัวอย่างที่เห็นประจำคือซ่อน  "ความรวย"  เหตุผลหลักอาจจะเพื่อหลบตามิจฉาชีพ  และ  ต้องการของถูก      ไม่ว่าบ้านจะใหญ่หรือเงินจะเยอะเพียงใด  เวลาออกจากบ้าน  จะหยิบเสื้อซ่อมซ่อ  โทรมๆ  หรือ        ธรรมด๊า  ธรรมดามาใส่       เลือกโดยสารรถสาธารณะ  หรือไม่  ก็ขับคันที่ไม่สะดุดตามากนักออกจากบ้าน      ไปไหนก็มีแต่คนเมิน  เออดี  เราจะได้ไม่เป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดี      เดินห้างพนักงานก็เมิน  อุ๊ยเลิศ  ไม่โดนคะยั้นคะยอให้ซื้อโน่นซื้อนี่...      .....แม้ว่าบางที  เงินในกระเป๋ามีศักยภาพพอจะเหมาทั้งร้านเลยก็ตามที

ไม่มีคู่แล้วไง

    สวัสดีวันที่ฮัมเพลงว่า  "ลมหนาวมาคนโสดไม่โปรดไม่ปราน.."  ได้ทั้งวันค่ะ  :)     จู่ๆ  เราเกิดนึกอยากสำรวจ  "พล็อต"  ของนิยายที่อยู่รอบๆตัวเราขึ้นมา  แล้วจึงพบว่า  ไม่ใช่นิยายของเราเรื่องเดียวหรอก  ที่ตัวเอกไม่มีคู่     หลายเรื่องทีเดียวแหละ  ที่ไม่ได้ยึด  "ความรัก"  เป็นสรณะของการดำเนินเรื่อง      ยิ่งซีรีย์เมกานี่ชัด  พวกซีรีย์สืบสวน  โอ้โห....  CSI  NY  -  แม็กซ์  พระเอกผู้เป็นหัวหน้าหน่วยนี่  ภริยาตายจากเหตุการณ์ตึกถล่มหรือระเบิดอะไรสักอย่าง  (แม้จะมีคู่ของ  แดนนี่  กะ  ลินเซย์  มาให้คนดูอารมณ์ดีอยู่บ้างก็ตาม)  CSI  Las Vagas  -  แคทเธอรีนหย่ากับสามี  (คือ...เป็นภาคที่เละเทะมากสุดละของซีรีย์นี้  ในความคิดเรา)  Criminal  Mind  -  ภริยาของฮอจถูกฆาตกรโรคจิตฆ่า  ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง  (หดหู่มาก - -)  นอกนั้นก็ไม่ได้สวยหรูอะไร  มีแค่คู่ของเจเจ  ที่น่ารักดี    ของเมกานี่ออกแนวรันทดแบบหดหู่(หรือจริงๆไม่หดหู่ก็มี  แต่คนเขียนเจือกเสพแต่หนังสืบสวนเอง 0_0)  แต่ไม่ใช่แค่เมกา  ญี่ปุ่นก็เป็นนะ  การ์ตูนอ่ะ   ดิจิมอนก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวควา

โพสต์สั้นๆ : หางานอยู่

      ช่วงแรกๆที่กลับมา  เราตั้งเป้าไว้เลยว่า  จะอ่านหนังสือสอบผู้พิพากษา/อัยการอย่างเดียวเท่านั้น       พอไม่ผ่านครั้งแรก  เราก็เริ่มมองหางานอื่น  แต่ยังยั้งๆอยู่  เพราะรู้สึกกลัวว่าถ้าได้พร้อมกันหลายที่แล้วจะมีปัญหา        วันนี้  หลังจากอกหักจากงานมาหลายหน  เราบอกตัวเองว่า       "อยากทำอะไร  และ/หรือ  คิดว่าอะไรพอสอบได้  แกก็สอบไปเหอะ  ให้มันติดก่อนแล้วค่อยเครียด ฉลาดก็ไม่ค่อยฉลาด  เกรดก็กาก  ไม่ต้องดัดจริตทำตัวเป็นคนดีกลัวแย่งที่คนอื่นเขา  สอบแม่งให้หมดน่ะแหละ!!!"  (นี่คือเวอร์ชั่นพออ่านได้แล้วนะคะ  ด่าตัวเองหยาบกว่านี้)        โอเค......ตามนั้น        เพราะฉะนั้นเราก็ว่าจะสอบไปเรื่อยๆ  แม้ช่วงนี้จะเพลาๆลงบ้างเพราะตั้งใจจะเต็มที่ที่สุดกับการสอบอัยการ  แต่หลังจากนั้นคงจะสอบดะ  แล้วกะว่าจะลองยื่นใบสมัครไปยังหน่วยงานเอกชนด้วยเหมือนกัน  รอสอบเสร็จก่อน  หรือไม่  ก็อาจจะยื่นก่อนสอบ        ตำแหน่งงานไม่ไร้เท่าใบพุทราหรอกใช่มั้ย  มันต้องได้สักที่สิ!!        เป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านที่ยังหางานทำเช่นกันนะคะ  ขอให้โชคดีได้งานดังที่หวังไว้  ถึงจะสู้ด้วยกันไม่ได้  

จุดต่อในนิยาย กับ การเวียนว่ายตายเกิดในชีวิตจริง

       แม้ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้จะมีเรื่องราวมากมายให้ขบคิดและเครียด  สมองจอมซ่าของเราก็ยังคงหาเวลาเถลไถลไปแต่งนิยายมอมเมาตัวเองได้อยู่  แต่งมาเข้าภาคสามแล้วด้วย        แต่คำว่า  "ภาคสาม"  นี้  ไม่ได้ต่อกันแบบซีรีย์  สี่หัวใจแห่งขุนเขา  หรือ  มาเฟียเลือดมังกร  หรอกนะคะ  แล้วก็ไม่ได้ต่อกันในรูปแบบของ  Harry  Potter  ด้วย       แต่ต่อกันแบบ  เป็นชีวิตของคนๆนึง  ที่เกิดมาแล้วสามชาติ  โดยมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์  และ  คนบางคน  ที่เชื่อมให้รู้ว่า  คนๆนี้  คือคนๆเดียวกับคนๆนั้นในชาติก่อน  ซึ่งแต่ละชาติตัวเอกก็จะเกิดในที่ต่างกัน  เจอสถานการณ์ต่างกัน  และมีปมในใจต่างกันไป        เป็นความเพลิดเพลินตามลำพังที่สนุกสนานมาก        จู่ๆวันนี้เกิดนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา  แล้วรู้สึกว่า  สามชาติที่ว่าของตัวละครนี้  มันอาจสอดคล้องกับการเวียนวายตายเกิดในชีวิตจริงได้  ดังนี้  ในนิยาย  :  ตัวเอกเกิดในที่ต่างกัน  มีชีวิตต่างกัน  เจอผู้คนใหม่ๆเข้ามา  และเผชิญกับปมในใจหรือความทุกข์ที่ต่างกันออกไป(คนเขียนโรคจิต  ต่อให้เป็นตัวเอกก็อย่าหวังจะมีชีวิตสมบูรณ์แบบ หุหุ)  ชีวิตจริง  :

มุมหนึ่งของคนเงียบ : ห้องลับแห่งความเศร้า

       ความสามารถอย่างหนึ่งของคนเงียบและโลกส่วนตัวสูง  ก็คือความสามารถในการเก็บความทุกข์ระทมได้อย่างมิดชิด...         ทุกข์แทบระเบิด  เสียใจจวนเจียนบ้า  เครียดแทบสิ้นสติ  เบื่อโลกจนคิดว่าตายซะคงดี ถามว่า  มีใครสังเกตได้มั้ยถ้าเราไม่บอก...        ไม่มีทางเสียล่ะ!!!        ตอนอยู่คนเดียวคือเต็มที่  ตามสไตล์ของแต่ละคน  จะเอาหัวโขกกำแพง  อ้อนตุ๊กตา  นั่งบื้อเป็นท่อนไม้  ร้องไห้ในห้องน้ำ  หรือปล่อยน้าตาไหลเคลียแก้มก่อนหลับ  ฯลฯ        มีฝีมือหน่อยก็เขียนหนังสือ  แต่งเพลง  แต่งกลอนไปตามอารมณ์...        กลับมาอ่านอีกที  เหย  เพราะอ่ะ  อินเนอร์มาเต็ม  แต่ละคำนี่บาดหัวใจสุดๆ        ภูมิใจดีมั้ยเนี่ย????       พอออกมาสู่โลกภายนอก  เราจะเป็นอีกคนนึง  คนที่นิ่งๆ  ดูเฉยชาไร้อารมณ์  ซึ่งก็เป็นหน้าปกติอยู่แล้ว  ไม่มีใครสงสัยอะไร  เออ...ดี       เจอคนรู้จักก็ทักทายเป็นปกติธรรมดา  เจอคนสนิทก็พูดคุย  ยิ้ม  หัวเราะไปตามเรื่องราวของบทสนทนา       แต่พอไร้สายตาคนมอง  เราจะแสดงอาการออกมาเล็กน้อยถึงปานกลาง  อาจมีถอนใจ  มองฟ้ามองดินไปเรื่อย  หรือส่งความเศร้าออกมาทางสายตา  แวบหนึ่ง..  

เล่าไปเรื่อย : dare to ask or dare to lose

         หลังจากว่างเว้นไปจากเฟสบุ๊คอยู่ประมาณอาทิตย์หนึ่ง  เราก็กลับเข้าไปใหม่  แล้วโพสต์ข้อความอันมีใจความว่า  แต่นี้หากมีอะไรกรุณาติดต่อทางเบอร์  line  หรือ  wechat  เพราะเราจะไม่ค่อยเข้าเฟสแล้ว..      และแล้วก็เป็นไปดังคาดค่ะท่านผู้ชม  เอ๊ย  ท่านผู้อ่าน  สามช่องทางที่เราว่าไว้ไม่มีใครติดต่อมาเพิ่มเติม  นอกจากหน้าเดิมๆที่คุ้นกันดี      .....อย่างว่าแหละ  คนไม่สำคัญ  หายไปกี่วันก็ไม่มีคนสนใจ....      จนสองสามวันที่ผ่านมา  wechat  เราก็ขึ้นเตือนอะไรบางอย่าง  พอกดดู...      .....อ้าว  ยายรหัสแอ๊ดมา..     [ยายรหัส  คือสายรหัสตอนมหาวิทยาลัยซึ่งอายุห่างกันสามปี  เราอยู่ปีหนึ่ง  เค้าอยู่ปีสี่]      กดรับ  พิมพ์ทักทาย  ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันอยู่สักพัก  พี่เค้าก็ขอตัวไปทานข้าว     ....เอ้อ  ดีเหมือนกัน  ไม่ได้คุยกันมานานแล้ว      แล้วจู่ๆ  เราก็นึกขึ้นได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นชื่อพี่เค้าในไลน์ตัวเองเหมือนกัน  คาดว่าน่าจะเข้ามาตอนลงทะเบียนเบอร์หลังจากเรียนโทจบกลับมา(ล่ะมั้งนะ....ถ้าจำไม่ผิด)      เลยลองหาๆดู  เออ...มีว่ะ      และด้วยความที่ใช้ไลน์มากกว่าวีแชท  จึง

เสื้อเหลืองกับมุมมองจากประชาชนตัวเล็กๆของพระราชา

        สิ่งหนึ่งที่เราประทับใจทุกครั้งที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง  นั่นคือหากคราใดมีการรณรงค์ให้ใส่เสื้อสีนั้นสีนี้ในวันพ่อหรือวันแม่  เมื่อถึงวันพ่อหรือวันแม่พอออกจากบ้าน...ก็จะเห็นคนใส่เสื้อสีนั้นๆเต็มไปหมด         วันแม่........ไปที่ไหนก็พบแต่คนใส่เสื้อสีฟ้า         และวันพ่อ.......ก็พบคนใส่เสื้อสีเหลืองอยู่มากมาย         ถามว่าทุกคนที่พบเห็นใส่เสื้อสีเดียวกันหมดหรือเปล่า  คำตอบคือไม่         แต่...........ก็ไม่น้อยละกัน        และพอเดินสวนกัน  เหมือนความรู้สึกดีมันเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องทักกัน  ไม่ต้องยิ้มให้กัน  ไม่แม้แต่ต้องมองหน้ากัน        แค่เห็นว่าเสื้อสีเดียวกัน  แค่นั้นพอ        เป็นการอธิบายไม่ถูกแต่รู้สึกดี  และ  ไม่พูดก็เข้าใจ  แบบหนึ่ง        เคยอ่านในเนตที่ต่างชาติถามคนไทยว่า  "ทำไมคุณถึงรักในหลวง"  แล้วคนไทยตอบว่า  "คุณมีเวลาฟังหรือเปล่าล่ะ"  นั่นล่ะ  ใช่เลย        รักหรือไม่  คำตอบคงไม่ต่าง  ส่วนทำไมถึงรัก.....        .......อันนี้ต้องคุยกันยาว        คนไทยคงไม่ต่างจากคนชาติอื่นที่มีทั้งข้อดีและ

ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก อิอิ

     เรามีลูกพี่ลูกน้องอยู่คนหนึ่ง  อายุห่างกันห้าปี  เพราะเหตุนั้น  เวลาคุยเรื่องเรียน  เธอมักมองมาที่เราอย่างฉงนสงสัยเสมอ  อย่างช่วงม.ปลาย  เธอจะงงมากเวลาเราบ่นถึงฟิสิกส์  เคมี  ชีวะ  เธอจะถามแบบ  "มันคืออะไรอ่ะพี่"      จนเธอขึ้นม.ปลายเองน่ะแหละ  เธอถึงรู้ซึ้ง  "เออ  มันโคตรยากเลยว่ะพี่"      มีครั้งนึงตอนเรียนป.ตรี  เราไปนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบที่บ้านเธอ  แล้วโดยนิสัยเราเป็นคนอ่านแล้วชอบท่องหรืออธิบายสิ่งที่ตัวเองอ่านออกมา  ไม่ว่าจะด้วยสาขาที่เรียนมันต้องจำ  แล้วการท่องออกมาก็ทำให้จำได้มากกว่า  หรือจะเพราะอะไรก็ตามที      น้องนั่งอยู่ข้างๆก็หันมา  "นี่คือวิธีอ่านหนังสือของพี่?"  เราก็พยักหน้า  แล้วเราก็ท่องของเราต่อไป  น้อง....ซึ่งยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น  ก็พยักหน้าตามที่เราพูดไปเรื่อยๆ      ช่วงที่หยุดอ่าน  เจ้าหล่อนก็ว่า     น้อง  :  นี่ถ้าหนูไม่นั่งอยู่ตรงนี้  อาจมีคนคิดว่าพี่บ้าได้นะเนี่ย     เราหันมองยิ้มๆไม่ว่าอะไร  เอ....หรือเราจะบ้าจริงๆหว่า?     เวลาผ่านไป  น้องเรียนปริญญาตรี  ส่วนเราจบ...ทุกปริญญาที่เรียนแล้วกลับมา  มีโอกาสไ