บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มีนาคม, 2016

ครั้งหนึ่ง ฉันเคย ยืนตรงนั้น...

       วันนี้ เข้า Pinterest  ตามปกติ  แล้วไปเห็นรูปนักบอลคนโปรดซึ่งเกษียณจากทีมชาติแล้วโพสต์ข้อความประมาณว่า  "ช่วงนี้เป็นช่วงพักผ่อนของผม  ผมจะคอยเชียร์ทีมชาติตัวเองจากโซฟาที่บ้านในฐานะ..แฟนคลับ(ช่วงนี้ยุโรปมีเตะกระชับมิตรค่ะ)  โชคดีนะทีมชาติ  สุขสันต์วันอีสเตอร์ครับ"      ทันใดนั้นปากก็ลั่นออกมา  "แบบนี้เรียกเย้ยค่ะคุณพี่"  แล้วหัวเราะหึหึ          แล้วจู่ๆ ถ้อยคำท่อนหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว....       "ครั้งหนึ่ง  ฉันเคย  ยืนตรงนั้น..."      มานั่งคิดต่อยอดว่า...ความรู้สึกหลังจากถ้อยคำเหล่านี้ควรเป็นอย่างไร...?      เราว่า.....มันคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์.....ล่ะมั้งนะ      ที่แน่ๆ...เราว่าหนึ่งความรู้สึกที่สำคัญของถ้อยคำนี้น่าจะเป็น...      ความคิดถึง      ลองคนเราสามารถเอาเวลาไปคิดว่าที่ตรงนั้นครั้งหนึ่งเป็นอย่างไร  แสดงว่า...ที่ตรงนั้น  คงพอมีที่ยืนในหัวใจและความทรงจำบ้าง..      หากไม่สำคัญ  ใครจะมาคิดถึงกันเล่า.....จริงไหม      ส่วนหากเป็นกรณีรู้แน่ว่าอย่างไรคงต้องจาก  เป็นต้นว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย  ความรู้สึกเมื่อจบไปน่าจะเป

รักภาษาอะไร

     ดูข่าวตั้งแต่เมื่อวานถึงวันนี้  เจอเหตุการณ์ทำนองเดียวกันสามเรื่อง  คือการทำร้ายกันโดยมีความรักเป็นมูลเหตุ      เหตุการณ์แรกเหมือนจะเป็นเหตุการณ์แฟนเก่ายิงแฟนใหม่(จริงเท็จไม่ยืนยันนะ  เอาที่สรุปได้ถึงตอนที่ดู)      ดีอยู่หรอกที่ไม่ยิงผู้หญิง....ว่าแต่  เลิกกันไปตั้งสองปีเพิ่งจะหึง  ความรู้สึกช้าเหรออออ(เอ...หรือจริงๆตั้งใจจะยิงผู้หญิง???)       เหตุการณ์ที่สอง ยิงภริยาเก่า(ตายรึเปล่าไม่แน่ใจ  น่าจะตาย)  เพราะขอคืนดีแล้วอีกฝ่ายไม่ยอม  ทั้งๆที่ตัวฝ่ายชายก็มีภริยาใหม่แล้ว  แถมตอนอยู่ด้วยกัน  เคยทำร้ายร่างกายถึงขั้นเอาสายไฟรัดคอมาแล้ว...   เชิญคุณผู้อ่านคิดคำด่ากันได้ตามศรัทธา  ผู้เขียนคงคิดไม่ต่างกัน      เหตุการณ์ล่าสุด  ข่าวเพิ่งจบไปตะกี้  แทงภริยาท้องหกเดือนจนตาย  เพราะเหตุหึงหวงกลัวภริยาไปมีผู้ชายใหม่...      ระวังมี...ขี่คอแบบเรื่องชัตเตอร์นะเอ็ง  ตายทั้งกลมเสียด้วย      เราพยายามจะเชื่อนะ  ว่าผู้ชายดีดีในประเทศไทยยังมีอีกเยอะ(ดังทีเพจ Lovesick ว่า)  แต่จากข่าว  เราค่อนข้างจะเชื่อเหลือเกินว่า....      ข่าวผู้ชายทำร้ายแฟน  อดีตแฟน  แฟนใหม่ของอดีตแฟน  หรือแม้แต่ครอ

ร้อนเป็นเหตุ

     ช่วงนี้ร้อนชะมัดเลย  ว่ามั้ยคะ      ยิ่งตอนกลางวันนี่...........โฮ้ย  ทำไมมันเหนียวตัวแบบนี้เนี่ย???      จู่ๆก็มีน้ำเต็มหลังโดยไม่ได้ร้องขอ  ต้องเดินไปพรมน้ำปะแป้งน้ำกันให้วุ่นวาย  หรือไม่  ต้องเปิดตู้เย็นหาอะไรเย็นๆมาดับร้อนเสียหน่อย      ที่น่าอารมณ์เสียกว่านั้น  ยิ่งเข้าหน้าร้อนนานเท่าไหร่  ดูเหมือนแมลงและมดจะยิ่งมากขึ้นและก่อกวนไม่หยุดหย่อน      เหมือนของคู่กัน  สมกันราวกับผีเน่ากับโลงผุ!!!      นั่งร้อนๆไปเรื่อยๆ  จู่ๆ  เราก็นึกเห็นใจและเข้าใจบรรดาสัตว์ต่างๆที่มันคลั่งกันขึ้นมาดังข่าวที่เห็นๆกันอยู่      คิดดูสิ  ขนาดเรานั่งในบ้านแบบนี้  มีพัดลมหรือแอร์จ่อแบบนี้  เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงตูเย็นแล้วแบบนี้  นั่งๆอ่านหนังสืออยู่เรายังอดหงุดหงิดกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้  แถมบางที  นั่งๆอยู่...โอ๊ย  เจ็บอะไรเนี่ย  มองที่ขาก็เจอมดตัวจ้อยกำลังทิ่มก้นสร้างความปวดแสบปวดร้อนให้เราอยู่      "หนอยยย  ขึ้นมาเดินบนตัวข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต  ยังมีหน้ามากัดข้าอีกนะเอ็ง $%#%*"      บางทีเรายังอารมณ์เสียจนเกิดอยากจะฟาดหน้าคนข้างๆเอาสักป๊าบหนึ่ง  ติดอยู่แค่ว่าหันซ

ไดอารี่เมื่อวาน : วันเรียนวันสุดท้าย

     ขอใช้พื้นที่บล็อกเป็นไดอารี่หน่อยเถอะนะ...      วันนี้ออกจากบ้านด้วยความลั่ลล้า  เพราะใส่เสื้อทีมฟุตบอลทีมโปรดเวอร์ชั่นล่าสุดซึ่งประทับหมายเลขนักบอลที่ชื่นชอบ  ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแฮทริคแรกในบอลโลก 2014 ออกจากบ้าน...            แม้จะเขินนิดหน่อย  แต่ไม่ทำให้ความอิ่มเอมใจลดลงแต่อย่างใด      ไปถึงห้องเรียนและนั่งที่แล้วก็หยิบอุปกรณ์การเรียนมาวางบนโต๊ะ  มองไปทางกระเป๋าดินสอ  ว่าแล้วจึงเปิดกระเป๋า  หยิบพวงกุญแจชุดทีมโปรด(อันนี้ชุดเก่า  อิอิ)มาห้อยกระเป๋าดินสอใหม่           ยิ้มให้พวกกุญแจอยู่อย่างนั้น...      นั่นเรียนไปพักหนึ่ง  ฟังอาจารย์พูดราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย  เอ...กำหนดการในเวบเขียนว่าเรียนถึงสัปดาห์หน้านี่นา      รอจนพักจึงไปถามพี่เจ้าหน้าที่ด้านนอก  คำตอบคือ  "วันนี้วันสุดท้ายค่ะ"      เดินเข้าห้องมาอย่างงงๆ  แล้วจึงไลน์ไปบอกเพื่อนซึ่งติดภารกิจเล็กน้อยและจะมาเรียนในช่วงบ่าย...      วันสุดท้ายก็วันสุดท้าย....วะ        พักเที่ยง  หิ้วปิ่นโตไปกินนอกห้อง  จัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย  กลับมานั่งที่เดิม  เห็นว่าโต๊ะด้านหลังซึ่งว่างอยู่มีพี่

เพราะ "หัวใจ" เพียงต้องการ "ที่อยู่"

     แวบเข้าเฟสบุ๊คไปดูเพจเดิมๆของตัวเองมา  แต่มือดันกดไปเข้าเพจที่ชื่อ  "ท่อนนี้แม่งใช่"  แล้วก็ชอบใจกดอ่านไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งเจอรูปหนึ่งซึ่งกล่าวว่า...      "ชีวิตเราไม่จำเป็นต้องมีคนรัก  แต่เราจำเป็นต้องมี 'ความรัก' กับอะไรสักอย่าง"      สะดุดอยู่กับรูปนี้อยู่นานมาก  คือ  เห็นด้วยอย่างยิ่งเลย...      สาเหตุที่เห็นด้วยเพราะเป็นประสบการณ์ตรงที่เรามีมาตลอดชีวิต  ดังที่พอทราบๆกันว่า  เรายังคงอยู่ที่เดิมตามลำพัง  มองเพื่อนสละโสดไปทีละคน  ทีละคน  อย่างสงบนิ่ง      แต่ถึงกระนั้น  หัวใจเรามันกลับไม่เคยหยุดนิ่งเลย  มันยังคงเคลื่อนที่ไปอยู่ข้างๆบางสิ่ง  ไปรับอะไรบางอย่างเข้ามาตลอดเวลา      สิ่งแรกที่รักมากจนจำความได้  คือการ์ตูนเรื่อง ดิจิมอน  ติดถึงขนาดสะเทือนใจไปหลายวันเมื่อถึงตอนที่ตัวละครที่ตัวเองชื่นชอบโดนจับตัวไป  ติดขนาดดื้อไม่ยอมไปเชงเม้งกะที่บ้านจนถูกดุว่าไร้น้ำใจ      เอาเป็นว่า  การ์ตูนเรื่องนี้มีผลต่อการเต้นของหัวใจมากก็แล้วกัน      จากนั้นก็ดูการ์ตูนเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย  แต่ดิจิมอนเนี่ยแหละ  รักที่สุดแล้ว  เพราะเป็นจุดเริ่ม

ไดอารี่จำแลง : วีรเวรของวันนี้

     วันนี้มาเรียนติวเตรียมสอบเช่นเคย....      ก่อนหน้านั้นประมาณสิ้นเดือนกุมภา  ท่านอาจารย์ได้ไปทำบุญปฏิบัติธรรม  ท่านบอกว่าจะช่วยเอาเครื่องเขียนไปสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล  ใครศรัทธาจะฝากมาก็ได้  ยายสองสาวแสนเงียบจึงฝากไปกับเขาด้วย       หลังจากกลับมาอาจารย์กล่าวว่ามารับปากกาคืนไปได้  โดยปากกาทั้งหมดจะอยู่ที่ใครสักคนหนึ่ง....       ในขณะที่ใครหลายคนซึ่งมนุษยสัมพันธ์ดีรับปากกาไปแล้ว  ยังมีอีกสองสาวซึ่งแทบไม่รู้จักใครเลย  ยังคงมะงุมมะงาหราว่าควรไปรับที่ใคร...        หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปก็แล้ว...        สองสัปดาห์ผ่านไปก็แล้ว...        เข้าสัปดาห์ที่สาม...        นั่งปรับทุกข์กันสองคนว่า  แล้วปากกาที่ฝากไปต้องไปเอาที่ไหนล่ะเนี่ย  แล้วก็ดูเหมือนจะถอดใจกันอยู่สองคน        แต่แล้ว....หนึ่งคนก็คิดขึ้นว่า  ฉันจะไม่ปล่อยให้มันผ่านไป  ปะเหมาะเคราะห์ดี  ไปเจอเพื่อนร่วมห้องที่นั่งใกล้ๆกันในห้องน้ำ  จึงลองไถ่ถามว่ารู้หรือไม่...        คุณพี่เธอช่างดีแสนดี  เมื่อรู้ว่ายายเซ่อคนหนึ่งยังเซ่ออยู่เรื่องนี้  จึงพาเดินไปหาคุณพี่ซึ่งรับหน้าที่เก็บปากกาให้กับผู้เรียนทุกคนที่ฝากไป  เมื่อไ

แค่อยากแนะนำ : "Lovesick Library" มาเรียนรู้เรื่องความรักกันเถอะ

       สวัสดีค่ะ  :D        เป็นเวลากว่าหนึ่งไตรมาส(สามเดือน)แล้วที่วิถีชีวิตเดิมๆของเราเปลี่ยนแปลงไป  จากที่วันนึงๆต้องนั่งเฝ้าหน้าเฟสบุ๊คทุกวันเพื่อดูความเป็นไปของเพื่อนแต่ละคนในเฟส  หลังจากที่พบว่าทุกคนเริ่มมีชีวิตที่เข้ารูปเข้ารอยและนำเสนอมันออกมาในเฟสอย่างไม่หยุดหย่อน  ในขณะที่ชีวิตเรายังล่องลอยไม่รู้จุดหมายอยู่  จึงได้หลักการอย่างหนึ่งที่ว่า  "รู้น้อย  ก็เจ็บน้อย"        ว่าแล้วเลยเลิกนั่งเฝ้าเฟส  และคงเลิกไปเรื่อยจนกว่าชีวิตจะได้เรื่องได้ราวแบบชาวบ้านเขา        ก็ดีค่ะ  โล่งดี  เวลาเหลือเยอะ         แต่กระนั้นก็ดี  เรายังคงเข้าเฟสอยู่บ้างเพื่อเข้าไปดูบางเพจโดยเฉพาะที่ตามมาตั้งแต่ยังเสพติดเฟสบุ๊คอยู่  เป็นต้นว่า....เพจของทีมฟุตบอลทีมโปรดของเรา(เป็นยาชูกำลังอย่างหนึ่ง  555)  หรือเพจข่าวสาร  เพจขำขัน  เอาไว้ให้ความบันเทิงแก้เซ็งไปวันๆ        ...และหนึ่งในเพจที่เราเข้าทุกวันเพื่อตามความเป็นไปและอ่านบทความอยู่เสมอก็คือ  เพจที่ชื่อว่า  "Lovesick  Library  แบ่งปันความรู้ดีดีเกี่ยวกับความรัก"        แล้วเพจ  Lovesickฯ  นั่นเกี่ยวกับอะไร  ก็เกี่ยวกับท

สั้นๆ : ภาษาที่เพี้ยนไปกับยัยหัวโบราณ

     ถึงแม้จะยอมรับได้ว่าภาษาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  แต่...ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่า  บางที  การเปลี่ยนแปลงของภาษามันช่างดูเกินจะรับได้      อันที่จริง  การย่นคำพูดบางคำก็ไม่น่าเกลียดเสียทีเดียว  เป็นต้นว่า  จาก  ใช่หรือเปล่า  เป็น  ใช่ป่ะ  อันนี้สั้นดีและใช้ประจำ  โดยเฉพาะเวลาคุยกะเพื่อน  ดูเป็นกันเองดี      หรือพวก  ทำรายยอยู่หรออออออ  อันนี้พอรับได้  แลดูกวนประสาทดี  และแน่นอนว่าใช้กับเพื่อนเช่นกัน        หรือแม้แต่พวกวลีที่สมัยนี้ติดปากกัน  เช่น  "ก็ไม่รู้สินะ"  หรือ  "เอาที่สบายใจ"  เราว่ามันสื่อความหมายดีนะ  หึหึ      แต่ไอ้ที่สุดจะทนนี่คือพวก  "จุงเบย(จังเลย)"  "จิ(จะ)"  หรือพวกพิมพ์ภาษาสก๊อยบนสื่อออนไลน์ที่บางที่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องการจะสื่ออะไรเนี่ย      เป็นอะไรที่หงุดหงิดมากค่ะ!!!      มีอยู่ครั้งหนึ่ง  เพื่อนสนิทแท้กเฟสบุ๊คมาหาเราด้วยข้อความว่า  "คิดถึงจุงเบยย"  เราเลยถามกลับไปว่า  "คิดถึงจูงควายเหรอออ"      เพราะศัพท์ดั้งเดิมนั้น  "จุงเบย"  เป็นภาษาเขมร  แปล

เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ : แนะนำเว็บไซต์ไว้หาความรู้

    สวัสดีค่ะ  เนื่องด้วยคนเขียนมีนิสัยอย่างหนึ่งคือ  ชอบไล่ตามหาความรู้อย่างไม่จบไม่สิ้น  ด้วยข้ออ้างปัญญาอ่อนที่ชอบบอกชาวบ้านว่า  "ไม่ได้  ขืนไม่หาอะไรใส่หัว  เดี๋ยวจะไม่ฉลาด!!!"     แล้วเผอิญ  เมื่อวานนี้  คนเขียนไปเจอข้อมูลในเวบๆนึง  ที่แนะนำเว็บไซต์จากต่างประเทศที่เหมาะแก่ผู้สนใจหาความรู้ใส่ตัวในหลายๆศาสตร์  หลายๆสาขา  และหลายๆเว็บไซต์  เลยตั้งใจว่าจะเอามาฝากไว้ที่นี่  เผื่อว่าใครสนใจจะได้เข้าไปดูกัน  โดยจะเป็นการแนะนำจากประสบการ์ที่เข้าไปสำรวจมา  ว่าเป็นอย่างไร   1.  http://digital-photography-school.com/     :  เว็บนี้เป็นเว็บแนะนำด้านการถ่ายภาพค่ะ  โดยจะมีพวกเทคนิควิธีการถ่ายภาพว่าถ่ายอย่างไรจึงจะออกมาดูดี  มีทั้งบทความ  วีดีโอ  และมีหนังสือขายด้วย  อ่อ  มีให้ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารเกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายภาพด้วย  ใครชอบถ่ายรูปลองเข้าไปดูก็ได้นะคะ               2.  https://www.drawspace.com/     :  เว็บนี้เป็นเว็บสอนศิลปะ  ด้านการวาดรูปค่ะ  จะมีหลักสูตรสอน  โดยแรกๆจะเริ่มตั้งแต่ศัพท์เกี่ยวกับศิลปะตั้งแต่  A-Z  (ไม่ได้ดูจนจบง่ะ  แต่ใครสนใจลองไล่ดูได้นะ)  นอก

อีกมุมหนึ่งของความคิด จากเรื่อง สี่แผ่นดิน

       หากใครจำได้  เราเคยเล่าให้ฟังว่าเราไปย้อนดูเรื่องสี่แผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง  เป็นเวอร์ชั่นที่คุณอุ้ม  สิริยากรเล่นเป็นแม่พลอย...              ตอนนี้ยังดูอยู่ค่ะ  ยังไม่จบ  กำลังดูถึงตอนที่ตาอ๊อด  ลูกชายคนที่สามจบกลับมาจากเมืองนอก        เล่าความหลังหน่อยดีกว่า  สี่แผ่นดินเป็นเรื่องของแม่พลอย  ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่างการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ไทยสี่พระองค์คือ  รัชกาลที่ห้า  รัชกาลที่หก  รัชกาลที่เจ็ด  และรัชกาลที่แปด        เมื่อครั้งเขียนถึงคราวแรก  เราดูสี่แผ่นดินถึงตอนที่แม่พลอยพบกับคุณเปรมครั้งแรก  ตอนนี้  แม่พลอยแต่งงานกับคุณเปรมแล้ว  มีลูกแล้วสี่คน  จริงๆต้องบอกว่ามีสามคน  เป็นลูกแม่พลอยสาม  และลูกติดของคุณเปรมที่เกิดจากคนใช้ก่อนมาเจอแม่พลอยอีกหนึ่ง  แต่แม่พลอยก็เลี้ยงเป็นลูกและรักดังลูกตัวเอง  และตัวลูกเองก็รักแม่พลอยมาก        ตอนนี้ลูกๆโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว  คุณเปรมเอง  แม้จะวีนบางครั้ง  ไม่ค่อยฟังแม่พลอยบางหน  ชอบสมาคมไม่กลับบ้านกลับช่องบางครั้ง  แถมยังเคยมีลูกมาก่อนด้วย  แต่ส่วนดีสองอย่างของคุณเปรมคือตั้งแต่พบแม่พลอยก็รักและซื่อสัตย์กับแม่พลอยคนเดียว  แ

กินให้หมดได้มั้ย

     มีเรื่องๆนึงที่หลายคนอาจจะไม่รู้สึกอะไร  หรือไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับนิสัยส่วนตัวอะไรได้  แต่เรารู้สึกมากว่า........มันส่อแสดงอะไรบางอย่างได้      ก่อนอื่น  ขอถามก่อน  เคยเจอไหม  บุคคลประเภทที่  ซื้ออะไรมาแล้วชอบมาให้คนอื่นกินต่อ  กินไม่หมด  กินไม่สุด  ลงท้ายที่คนอื่นเดือดร้อนทุกที      .......และ  ไม่น่าเชื่อ  ส่วนมากคนพวกนี้  มักเป็นผู้หญิง       อย่างน้อยก็สองคนในครอบครัวเราล่ะ  ที่เป็นผู้หญิงและเป็นแบบนี้!!!       โอเค  เราเป็นผู้หญิง.........อย่างน้อยก็โดยทางกายภาพ  แต่เราเป็นผู้หญิงประเภทซึ่งพยายามกินสิ่งที่ตัวเองต้องกินให้หมดทุกครั้ง  เว้นแต่บางครั้งกินไม่ไหวจริงๆ  และหากเป็นแบบนั้น  เราจะเลือกวิธีเก็บไว้กิน  แทนที่จะยัดเยียดให้คนอื่นกินแทน        ยกเว้นสองประการ  หนึ่งคือส่วนประกอบบางอย่างในอาหารที่เราไม่กินจริงๆ  เช่น  ถั่วงอก  เราจะเหลือไว้  หรือไม่ก็เอาให้คนอื่นไปก่อนเลย        สอง..........อันนี้โหมดเลว  คือต้องการเหลือเพื่อแกล้งใครบางคน.......        .......โชคดีที่เหตุที่สองนี่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก...       ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้แหละ  เราจึงไม่เค