บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2018

งานรื่นเริง...เหรอ

     ในงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่...      ประธานกล่าวเปิดงานและให้โอวาท  แล้วเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง      "จัดงานนี้ขึ้นเพื่อขอบคุณที่ทุกคนเหนื่อยกันมาตลอดทั้งปี..."      ว่าแต่ว่า  แล้วงานเลี้ยงมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการจริงๆรึเปล่า?      ก่อนงานเลี้ยงประมาณหนึ่งอาทิตย์  บุคลากรทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายปฏิบัติงานได้รับคำเชิญชวนแกมบังคับว่า  "เราจัดงานเพื่อทุกคน  หากไปได้  กรุณาไป"      หากไม่มีเหตุจำเป็น  ใครจะกล้าขัดใจเจ้านาย....      ถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเชิงโยนหินถามทางว่าไปรึเปล่า  ได้รับคำตอบพร้อมยิ้มแหยๆว่า      "คงต้องไป"      ผู้ใหญ่ยังไป  ผู้น้อยคงขัดไม่ได้      ด้วยเหตุนี้  ในวันงาน  แทบทุกคนจึงทยอยกันมาอย่าง(เกือบ)พร้อมหน้าพร้อมตา ณ ร้านอาหารที่จัดงาน      พอนั่งเสร็จ  เสียงแรกของโต๊ะที่หลุดรอดออกมาจากปากคือ       "หิวแล้ว  อาหารอยู่ไหน"      พออาหารมาจึงไม่ต้องแปลกใจที่ทุกคนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับ.. เอ่อ  กิจธุระที่อยู่เบื้องหน้าตนเอง      ....ปากท้องต้องมาก่อน          ขณะที่บุคลากรฝ่ายปฏิบัติการหลายท่านกำลั

ของขวัญ

     ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่  "ของขวัญ"  ยังคงมีผลต่อจิตใจของใครหลายๆคน      ตอนเด็กๆ  เราชอบเหลือเกินกับการได้ของขวัญ  ไม่ว่าจะในวันเกิด  วันปีใหม่  หรือแม้แต่การจับสลากแลกของขวัญตามเทศกาลสำคัญ      เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ได้สัมผัสกล่อง  ค่อยๆใช้มือแกะเทป  ลอกกระดาษห่อของขวัญออก  แล้วลุ้นว่า  เปิดกล่องมา  จะพบอะไร      ส่วนได้ของถูกใจหรือไม่เป็นอีกเรื่องนึง  แค่ได้ของขวัญก็ดีใจแล้ว      พอเริ่มโตขึ้น  ของขวัญเริ่มมีความหมายต่อใจต่างออกไป  เราไม่ได้สนใจแค่ว่าเราได้ของขวัญมากเพียงใดหรือได้อะไร  แต่เราเริ่มมองไปถึงว่า  ใครเป็นคนให้  ให้ในโอกาสอะไร  หากเป็นของขวัญที่ได้จากคนที่รัก  ปริมาณความสุขก็จะพุ่งขึ้นสูง  เพราะเราจะรู้สึกถึงความเป็นที่รักและความเป็นคนสำคัญ      ส่วนใครที่ได้ของขวัญจากคนที่ไม่รัก....ไม่ต้องอธิบายความรู้สึกหรอกกระมัง  น่าจะเข้าใจได้      นอกจากนี้  ตัวของขวัญที่ได้นั้นก็สำคัญไปอีกแบบ  คือ  ถ้าในมุมคนให้  เราต้องบรรจงในการเลือกมากขึ้นโดยคำนึงถึงปัจจัยหรือความจำเป็นในหลายมิติขึ้น  ส่วนในมุมของคนรับนั้น  ก็ไม่ใช่ทุกชิ้นที่เราได้รับจะทำให้เราพอใจได้  ต

งานปีใหม่...ที่ไม่อยากร่วม

     จะปีใหม่แล้ว     ด้วยเหตุนี้  ที่ทำงานของแต่ละคนก็จะเริ่มจัดงานปีใหม่ขึ้น  ของเราก็เช่นกัน  โดยที่ทำงานเราเลือกจัดในช่วงกลางคืนของวันกลางสัปดาห์ของสัปดาห์ทำงานวันสุดท้ายของเดือนธันวาคมที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง      และด้วยการลงมติของเพื่อน  สรุปว่าเพื่อนรุ่นเราทุกคนไป  ผลคือ  เราก็ต้องไปด้วยเช่นกัน      เฮ้อออ      เราไม่ชอบไปงานเลี้ยง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  งานเลี้ยงตอนเย็นถึงตอนกลางคืน  เพราะตามความคิด(เองเออเอง)ของเรา  กลางคืนเป็นยามวิกาลที่ควรซุกตัวอยู่กับบ้านมากกว่าออกไปตระเวนหรือเต้นแร้งเต้นกา      เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการนัดเลี้ยง  จัดเลี้ยง  หรือปาร์ตี้ยามราตรี  หรือเล็งเห็นแล้วว่า  ยาวถึงราตรีแน่ๆ  หากเลี่ยงได้  เราจะเลี่ยง  จะคิดเอารางวัลมาล่อเป็นคันรถหรือจัดอาหารที่ดีที่สุดในโลกมาให้เพื่อหวังว่าเราจะไป      เราไม่ไป!! .... ถ้าทำได้      แต่ดูเหมือนคราวนี้  โชคจะไม่ค่อยเข้าข้างเราเท่าไหร่      อันที่จริงโชคเรื่องงานเลี้ยงเนี่ยไม่ค่อยเข้าข้างมานานแล้ว      ที่ทำงานเรามีสองหน่วยใหญ่  ปลายปีที่แล้วเราอยู่หน่วยนึง(ขอเรียกว่า หน่วยหนึ่ง)  ปีนี้อยู่อีกหน่วย(เรียก

ผิดเป็นผิด(วะ)

     คนที่เคยอ่านเรื่อง "ลูกอีช่างถาม"  อาจเข้าใจว่า  เราเป็นคนช่างถาม  และถามทุกเรื่อง      ซึ่งไม่จริง      โหมดถามไม่หยุดของเราจะเปิดต่อเมื่อจำเป็นหรืออยู่กับคนที่สนิทมากๆเท่านั้น      ถ้าเวลาปกติ  หรือทำงานปกติ  บางครั้งจะเป็นอีกโหมดนึง  โหมดที่ว่านี้คือ      "โหมดไม่ถาม"      ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า  เมื่ออยู่โลกภายนอกนั้น  เราค่อนข้างจะเงียบ      มีงานอะไร  บางทีเราไม่ค่อยถามใคร  ทำไปโดยเดาเอาเองแล้วปล่อยให้มันผิดไปเลย  ผิดแล้วโดนแก้ค่อยมาว่ากันอีกที  นี่คือโหมดไม่ถาม      เคยถามตัวเองเหมือนกัน  ว่าทำไมไม่ถาม  คำตอบที่ได้คือ      หนึ่ง  เป็นคนขี้เกรงใจและไม่ค่อยชอบพึ่งใคร  เพราะฉะนั้นพอทำงานอะไรก็จะโซโลไปก่อนเลยคนเดียว  จวนตัวจริงๆ  ค่อยมาว่ากันใหม่      สอง  คิดว่า  น่าจะเอาหลักจากเกมมาใช้ในชีวิตจริง      หลักจากเกม...เนี่ยนะ?      ช่าย  หลักจากเกมเนี่ยแหละ      คือเราเป็นคนเล่นเกมที่มีสไตล์การเล่นเกมว่า  ตะลุยไปก่อนเลย  คู่มงคู่มืออะไรไม่แตะ  ชิบห.....เอ่อ  หมายถึง  ผิดพลาดหรือตายแล้วค่อยมาว่ากันอีกที      แล้วจากประสบการณ์  เกมที

สาระ : การสำรองข้อมูลไลน์สำหรับระบบแอนดรอยด์

     สวัสดีค่ะ      เคยไหม  พอเปลี่ยนมือถือทีไรแทบอยากร้องไห้  เพราะข้อมูลต่างๆ  ทั้งประวัติการคุย  เอกสาร  หรือรูปภาพใดๆที่อยู่ในไลน์เครื่องเก่า      หายเกลี้ยง!      เท่านั้นยังดีหรอก  แย่กว่านั้นคือสติ๊กเกอร์  ธีม และเพื่อนหายไปด้วย  โอ๊ย  จะบ้า     วันนี้เลยจะมานำเสนอวิธีสำรองข้อมูลของไลน์ไว้ก่อนที่จะเปลี่ยนเครื่อง  เพื่อจะได้ไม่ต้องอารมณ์เสียกับการสูญเสียข้อมูลสำคัญ      ก่อนอื่น  ขอออกตัวก่อนเลยว่าเราไม่ได้คิดเอง  แต่เรียนรู้วิธีทำมาจากคลิปของคุณเฟื่องลดา  อีกหนึ่งนางฟ้าแห่งวงการไอที  เธอได้ถ่ายทอดข้อมูลเอาไว้ในวิดีโอที่เผยแพร่ช่องยูทูป  นอกจากเรื่องนี้แล้วก็มีเรื่องอื่นๆ  เช่น  รีวิวกล้อง  มือถือ  หรือจิปาถะอีกเยอะแยะมากมาย      ...ก่อนที่ยัยคนเขียนจะไปดูแล้วเอามาลองทำ      ในที่นี้จะขอนำเสนอเฉพาะระบบแอนดรอยด์(ในวิดีโอคุณเฟื่องลดามีระบบ ios ด้วยค่ะ)  เพราะบ้านคนเขียนไม่มีอุปกรณ์ค่ายผลไม้      มาเริ่มกันเลย      ขั้นตอนมีดังนี้ค่ะ      1. เปิดแอพลิเคชั่นไลน์ขึ้นมา  อ่อ  กรุณาต่อเนตด้วยนะคะ  จะใช้เนตมือถือหรือไวไฟก็แล้วแต่      2. ไปที่ตั้งค่า  โดยที่   - ไ

สงครามกระดาษ

     เป็นคนชอบขีดๆเขียนๆค่ะ      ด้วยความที่ชอบเขียนไปเรื่อย  สิ่งที่ซื้อมาอย่างฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่งนั้นคือ  สมุด  ซื้อถี่ขนาดที่ว่าทั้งที่บ้านทั้งตัวเองต้องคอยพูดกรอกหู(ตัวเอง)อยู่บ่อยๆว่า  ต่อไปนี้ห้ามซื้อสมุดละนะ      ...แต่ก็ไม่วาย...      จุดเริ่มต้นของการเขียนมาจากความต้องการในการบันทึกช่วงเวลาประทับใจ  จากนั้นจึงต่อยอดเป็นการเขียนบันทึกประจำวัน  โดยเริ่มบันทึกข้อความในหัวลงในสมุดริมลวดธรรมดาๆก่อน  เขียนๆไปปรากฏว่า...ความลับรั่วไหล  เพราะมีคนเข้ามาจัดของให้แล้วหยิบไปอ่านโดยถือวิสาสะ      หลังจากนั้นเลยเริ่มยับยั้งชั่งใจในการเขียนมากขึ้น      แรกๆก็ยังฮึดนะ  คือไปซื้อสมุดประเภทที่มีกุญแจล็อคอ่ะ  แล้วบันทึกใส่สมุดแบบนั้น  เขียนเสร็จก็ล็อคกุญแจ  สบายใจ  รู้ตัวอีกที  อ้าว...สมุดหมดไปประมาณสามเล่ม      ....รื้อบ้านแล้วเจอสมุดบันทึกเก่า  กลับไปอ่านทีแทบกุมขมับ  ตูเขียนอะไรลงไป  (ไม่รู้ว่าตัวเราในอนาคตจะกลับมาอ่านงานเขียนในปัจจุบันแล้วมีอาการเดียวกับเราตอนนี้ที่กลับไปอ่านบันทึกสมัยเรียนรึเปล่า)     แต่แล้วความขวนขวายในการเขียนก็หายไปตามกาลเวลา...     จนกระทั่งเทคโนโลยีเข

เพศนั่นแหละ...ต้นเหตุ

     เราได้รับคำสั่งให้ช่วยงานที่หน่วยงานอีกหน่วยงานหนึ่ง      อันที่จริง  ไม่ใช่เราคนเดียว  แต่เราและเพื่อนทั้งรุ่นได้รับคำสั่งให้ทำงานสองที่      เมื่อรับคำสั่งมา  ก็ปฏิบัติไปตามนั้น  ทีนี้  หน่วยงานที่สองนั้นเขาก็จัดผู้ใหญ่มาช่วยอบรมดูแลแก่เราและเพื่อน  ในที่นี้  ขอเรียกผู้ใหญ่เหล่านี้ว่า  ติวเตอร์      และเราได้ติวเตอร์ผู้ชาย...      แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลองของมัน  พร้อมกับสภาพอิดโรยของพวกเราแต่ละคนที่ต้องวิ่งรอกสองที่  เพื่อความสัมฤทธิ์ของผลงาน      ...เขาสั่งก็ต้องทำอ่ะนะ      จนกระทั่ง      ตอนเช้าของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา  ขณะที่เราเข้าไปที่โต๊ะของติวเตอร์เรานั้นเอง  ผู้ใหญ่สามท่านที่อยู่บริเวณนั้น  ก็เข้ามาหาเราแล้วบอกว่า      "อาจารย์หนูน่ะ น็อค ไปแล้ว"      "คะ?!"      แล้วท่านทั้งสามก็ช่วยกันเล่าว่า  เมื่อเย็นวันพุธตอนช่วงเลิกงาน  จู่ๆท่านก็สังเกตว่า  ติวเตอร์เรามีอาการโงนเงน  เหมือนหายใจไม่ออก  แล้วก็วูบไป  ท่านๆจึงช่วยกันพาติวเตอร์เราไปโรงพยาบาล  เป็นเหตุให้วันนี้ติวเตอร์ไม่มาทำงาน ....หนึ่งในนั้นกล่าวทิ้งท้ายว่า  "วัน

แพ้...

     เป็นคนแพ้ที่ไม่แพ้คนหน้าตาดี      ..ไม่สิ..      เป็นคนไม่แพ้ที่แพ้คนหน้าตาดี..      เอ๊ะ  ยังไง      ยังไงดีล่ะ      คือ...อย่างนี้..  เอาเป็นว่า   เราจะแบ่งผู้ชายออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ  "จับต้องไม่ได้"  กับ  "จับต้องได้"      ผู้ชายประเภทจับต้องไม่ได้  คือผู้ชายที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันเอื้อมถึง  เพราะเขาไม่รู้จักเรา  และไม่มีวันจะรู้จักเรา  เช่น  ดารา  นักร้อง  นักการเมือง  และ  ที่เรากรี๊ดที่สุด...นักบอล      ไม่ว่าเราจะดูเขาลงแข่งสักกี่ครั้ง  เขาไม่มีวันจะหันกลับมา  มองทะลุกล้องและทีวี  แล้วเห็นว่ายายผู้หญิงธรรมดาหน้าตาบ้านๆและอ้วนๆคนนี้  กำลังเพลิดเพลินขนาดไหนเวลามองเขาแข่ง      ดังนั้น  เราจะอนุญาตให้ตัวเองเพ้อถึงคนกลุ่มนี้ได้เต็มที่  เพราะรู้เงื่อนไขอยู่แล้วว่า  ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันได้พบเจอในชีวิตจริง      บ้านักก็อาจจะเก็บรูปไว้ดูเล่น  หรือยืมหน้ามาเป็นพระเอกในนิยายตัวเอง      ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น      อีกกลุ่มที่  "จับต้องได้"  นั้นคือ  ผู้ชายที่อยู่ในชีวิตจริงๆ  เป็นเพื่อนกัน  เรียนที่เดียวกัน  ทำงานที่เดียวกัน

Am I good enough for this?

     แพทย์  นักบิน  ผู้พิพากษา  ศาสตราจารย์  ดารา-นักร้อง  อัยการ      อาชีพเหล่านี้นับเป็นอาชีพในฝันของใครหลายๆคน  และคนที่ได้ทำอาชีพนี้มักถูกมองว่าเป็นผู้มีวาสนา...      แต่  ถ้าถาม "คน" ที่ทำอาชีพนี้บางคน  คุณอาจสัมผัสได้ถึงความกดดันในจิตใจ  บ้างตั้งคำถามว่าอาชีพพวกนี้นำความสุขที่แท้ให้จริงหรือ ...และ  บางคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่า  ตัวเองดีพอจะทำอาชีพนี้จริงๆหรือไม่?      เราคือหนึ่งในนั้น...      22 พฤษภาคม 2560      วันนี้  เป็นวันที่เราเข้ารับราชการวันแรกในอาชีพที่หลายๆคนใฝ่ฝัน  เป็นวันคนที่รู้จักแทบทุกคนที่มองมาที่เราจะรู้สึกชื่นชมยินดี  และเป็นวันที่ทำให้ตัวเองและครอบครัวภูมิใจ      ราวกับว่าเรากำลังฝันอยู่      มาตื่นอีกที  ก็ตอนที่งานที่ประสบมันสอนให้เรารู้ว่า  อาชีพนี้  มันไม่ง่ายเลย ...เราถูกสั่งสอนความรู้ต่างๆที่หลายๆอย่างเราไม่เคยรู้มาก่อน ...เราถูกทดสอบความสามารถในด้านต่างๆ ...เราถูกจับตาดูพฤติกรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อให้สมกับอาชีพที่สุด และอื่นๆ  อีกมากมาย      และช่วงนี้  เราถูกทดสอบอีกครั้งด้วยคำสั่งให้ไปช่วยราชการอีกที่หนึ่ง      งานน

้ล้ำเส้น

     เราเชื่อว่า  คนทั่วๆไปมีเพื่อนของตัวเองอยู่จำนวนหนึ่ง  มากน้อยแตกต่างกันไป  และเราก็เชื่ออีกว่า  ในบรรดาเพื่อนที่เรามีอยู่นั้น  เราไม่ได้จัดทุกคนอยู่ในระดับเดียวกัน  บางคนสนิทมาก  บางคนสนิทน้อย  บางคนแค่รู้จักผิวเผิน  และบางคน...ก็แทบไม่มองหน้ากัน      ประเภทสุดท้ายนี่มักถูกปักป้ายว่า  "ศัตรู"  เอาน่า  คิดเสียว่าเป็นเพื่อนร่วมโลก      ปัญหาคือ  บางครั้ง  เราก็ไม่รู้แน่ชัดว่า  เพื่อนแต่ละคนที่คบหากันอยู่นี่  เขาจัดให้เราอยู่ลำดับไหนบ้าง  ในอีกมุมหนึ่ง  เพื่อนเราก็อาจจะไม่แน่ใจว่า  เขายืนอยู่ตรงไหนในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเราเช่นกัน      ...ไอ้เกลียดกันไปเลยนี่ดูไม่ยาก  ที่ยากนี่คือที่เหมือนจะสนิท  แต่ไม่แน่ว่าสนิทแค่ไหนเพียงใด      สิ่งที่ตามมาของการไม่รู้แน่ชัดคือ  บางทีเราก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบไม่ทันดูว่าสนิทหรือไม่สนิท  ซึ่งอาจนำมาสู่ความไม่สนิทใจในภายหลัง      จะว่าไป  สมัยนี้  จะโทษตัวคนอย่างเดียวก็อาจไม่ถูกต้องนัก  เพราะการที่โลกอินเตอร์เนตเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการคบคน  มักทำให้เราเผลอคิดไปว่า  เออ  เราคงสนิทกับเขานะ  คุยกันผ่านโลกออนไลน์ตั้งหลายครั้งแ

เสียเงินแล้วสบายใจ

     วันดีคืนดี  หัวหน้างานของเพื่อนก็เดินมาชวนไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน       แรกๆก็ไม่คิดอะไร  แต่พอเวลาผ่านไปกลับคิดไม่ตก      ทำไมเขาต้องมาชวนเราด้วย?      เป็นเหมือนธรรมเนียมของอาชีพเรา  ที่ใช้หลักเคารพอาวุโส  และด้วยหลักการนี้จึงทำให้เกิดหลักปฏิบัติต่อมาคือ  หากเมื่อใดไปกินข้าวด้วยกัน  ผู้ซึ่งมีอาวุโสมากกว่าจะต้องเป็นฝ่ายออกเงิน      ซึ่งหลักนี้มีทั้งดีและไม่ค่อยจะดี      ข้อดีคือ  หากในขณะนั้นเราเป็นน้องเล็กสุดในที่ทำงาน  แล้วมีการเฮละโลออกไปกินข้างนอกกันเมื่อไหร่แล้วล่ะก็  เก็บกระเป๋าสตางค์ไปเลย  มีคนแย่งออกค่าอาหารแน่นอน      คิดๆไปก็ประหยัดดี       ความไม่ค่อยจะดีจะเกิดขึ้นเมื่อเรากลายเป็นพี่ใหญ่ในที่ทำงานบ้าง  เพราะเราจะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงชาวบ้านเขา      คนใจกว้างอาจจะมองว่าเป็นการทดแทนที่เคยกินฟรีมาก่อน  แถมยังสร้างมิตรก่อให้เกิดความเคารพนับถือ       ส่วนคนใจแคบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเงินแบบเรากลับรู้สึกว่า.....ทำไมเราต้องไปเลี้ยงเขาด้วยวะ??       นั่นข้อเสียเพียงประการเดียวนะ      จริงๆเราก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรกับระบบแบบนี้นักหรอก  โดยเฉพาะหากมัน

ความสวยไม่จีรัง

     โบราณมีสุภาษิตหนึ่งกล่าวไว้ว่า  "นารีมีรูปเป็นทรัพย์"      ซึ่ง  ในยุคที่ยังนิยมให้นารีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน "ทรัพย์" ที่นารีจะหาได้จาก "รูป" ของตัวเอง  ก็คงไม่พ้น  "ว่าที่สามี"  นั่นเอง      จะเห็นได้ว่า  ความนิยมในตัวผู้หญิงรูปงาม  หรือเรียกสั้นๆว่า "สวย" มีมาแต่ไหนแต่ไร  ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า  ผู้ชายนั้นนิยมผู้หญิงสวยจัดมากกว่าผู้หญิง.....สวยน้อย  ด้วยเหตุนี้  เกิดเป็นคนสวยจึงเหมือนมีอภิสิทธิ์พิเศษ  คนนั้นก็เอ็นดู  คนนี้ก็เมตตา(มักเป็นเพศตรงข้ามเสียมาก)  แถมยังมีคนรอต่อคิวให้เลือกไปเป็นแฟนเยอะแยะ      จะว่าไป  สาวๆที่ได้แต่งงานตามที่มองๆอยู่นี่  ก็สวยทั้งนั้น  แต่ว่า....      แล้วความสวยมันมีประโยชน์แก่ชีวิตคู่แค่ไหนกันนะ??      อายุปูนนี้ก็มีคนรู้จักหลายคนที่แต่งงานไปแล้ว  กำลังจะแต่งงาน  ยังไม่แต่งงานแต่มีแฟนแล้ว  ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงพวกที่.....      อยู่มาจนป่านนี้ยังไม่รู้จักเลยว่า  แฟนคืออะไร      พวกที่ไม่มีแฟนก็มักจะมีคำพูดติดปากกันว่า  "ก็ชั้นไม่สวย  จะมีคนมาชอบได้ยังไง" นั่นน่ะสิ  หาข้อเถียงไม

วิธีพิชิตใจคนไม่พูด

     โลกนี้มีคนจำนวนมากที่เป็นบุคคลทรงเสน่ห์  เขาหรือเธอเหล่านั้นมักเป็นบุคคลหน้าตาดี  มีบุคลิกที่ดึงดูดให้คนเข้าใกล้  ยิ้มง่าย  คุยเก่ง  เป็นมิตร  และอีกหลายอย่างที่ทำให้คุณละสายตาจากเขาได้ยาก      ......แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเราในวันนี้      แล้วก็ยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง  ประเภทที่เหมือนจะเป็นส่วนน้อยในสังคม(แบบว่าไม่ค่อยเจอใคร  เลยไม่ค่อยมีโอกาสแพร่พันธ์ุ  อุ๊บส์)  ประเภทที่นั่งเงียบเป็นเป่าสาก  ไม่ค่อยทักหรือคุยกับใครก่อน  เจอใครก็ยิ้มบางๆ  ทำตัวกลมกลืนไปกับกำแพง  และถนัดที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด       ....เป็นพวกที่ชอบทำตัวหายไปจากสายตา       แต่กับบางคนที่ชอบทำตัวแบบนี้  คุณกลับไม่รู้สึกว่าเขาอยู่นอกสายตาเลยสักนิด  อย่างน้อย  ก็ในสายตาของคุณ      ฮั่นแน่....หลงเสน่ห์คนเงียบเข้าแล้วล่ะสิ      มา  มาเรียนรู้วิธีผูกสัมพันธ์กับคนเงียบกัน  ไม่แน่นา  บางที  เขาอาจจะมีอะไรดีๆมากกว่าที่เห็นภายนอกก็ได้      ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า  นี่ไม่ใช่ทฤษฎีที่คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์คนใดหรือสอนเป็นหลักสูตรจากที่ไหน  ข้อความต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นโดยคนเงียบ  เพื่อบอกเล่าเก้าสิ

พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ

     เราเป็นข้าราชการสังกัดหน่วยงานๆหนึ่งของรัฐ      งานของเรามีลักษณะอย่างหนึ่ง  นั่นคือ  อยู่ไม่ติดที่      เริ่มตั้งแต่เข้าทำงาน  เราต้องจากบ้านมาเข้ารับการอบรมที่ทางหน่วยงานจัดไว้เป็นเวลาหนึ่งเดือน       พอพ้นเดือน  เราต้องแยกย้ายกันไปดูการปฏิบัติงานจริงตามหน่วยงานที่ต่างๆอีกหนึ่งเดือน      หลังการดูงานผ่านไป  หน่วยงานเรียกเรากลับเข้าอบรมอีกสี่เดือน       พ้นสี่เดือน  เราและเพื่อนต้องแยกย้ายกันไปฝึกปฏิบัติงานตามสาขาของหน่วยงานต่างๆอีกครั้ง  ซึ่งเอาเข้าจริงก็ฝึกที่เดิมต่อไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งได้รับคำสั่งให้กลับมาอบรมอีกครั้งเป็นเวลา 4-5 สัปดาห์      พอจบห้าสัปดาห์กลับที่เดิมจนเดือนเมษายน 2562 จึงแยกย้ายกันไปลงตามจังหวัดต่างๆต่อไป       สุดท้าย  แต่ละแห่งที่ไปนั้น  รับราชการที่นั่นได้ไม่เกิน 5 ปี  ก็ต้องย้ายไปที่อื่นเรื่อยๆ  จนกว่าจะได้วาระที่สามารถเข้ากรุงเทพฯได้      เป็นงานที่ชีพจรลงเท้าจริงๆ      ผลของลักษณะงานดังกล่าว  ทำให้พวกเราแต่ละคนไม่สามารถทำตัวติดกับเพื่อนร่วมรุ่นได้นานนัก  เนื่องจากเมื่อถึงเวลาก็ต้องแยกย้ายกันไปตามแต่หน่วยงานจะสั่งให้ไป       หน่

ถึงเวลาไป

     ในบรรดาความสัมพันธ์ประเภทต่างๆ  ความสัมพันธ์ในสถานะแฟนหรือคนรัก  มักเป็นความสัมพันธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดสถานะหนึ่ง  แต่กระนั้น  ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ตัดให้ขาดได้ง่ายที่สุดด้วยเช่นกัน      ถ้าเลิก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เลิกแบบไม่ค่อยดี  แนวโน้มคือจบเลย  ไม่มีตอนต่อไป      ส่วนสถานะอื่น  เป็นต้นว่า  เพื่อน  พี่น้องท้องต่างที่(นับกันเป็นพี่เป็นน้องแต่ไม่ใช่พี่น้องจริงๆ)  อาจารย์  ลูกศิษย์  ฯลฯ  หากไม่มีเหตุคอขาดบาดตายจริงๆ  คงจะไม่จบลงง่ายๆ      อาจจะมีบางครั้งหรือหลายๆครั้ง  ที่เรารู้สึกว่าเพื่อนคนเดิมที่เคยสนิทกันมาก  แต่วันนี้กลับไม่ค่อย "คลิก" กันเท่าไหร่เสียแล้ว      นี่คือช่วงหมดโปรโมชั่นของมิตรภาพรึเปล่า?      ความจริงอาจมีว่า  เมื่อเวลาผ่านไป  ทั้งเราและอีกฝ่ายต่างเติบโตขึ้น  เจออะไรหลายๆอย่างที่แตกต่างกัน  ทำให้เส้นทาง  ความคิด  การดำเนินชีวิต  ค่อยๆห่างกันออกไป      ภาษาอังกฤษเรียกว่า  "grow apart"      แต่กระนั้นก็มักไม่ค่อยมีใครติดต่อไปยังอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อบอกว่า  "เราเลิกคบกันเถอะ  เราต่างกันเกินไป"      อาจเพราะเรารู้สึกว่

สถานีไร้เสน่หา

     ใช้ชีวิตมาจนอายุขึ้นเลขสาม  ช่วงอายุซึ่งใครหลายคนบอกว่า...      ...แก่      ...แสลงหู      ...ร้องยี้/ไม่อยากได้ยิน      ...มองว่าเป็นช่วงอายุที่ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง      พอมาถึงจริงๆกลับไม่รู้สึกอะไร ด้วยส่องกระจกทีไรยังเห็นหน้าเป็นหน้าเดิม  ตาก็ยังมองไกลไม่ชัดเหมือนเดิม(แต่จะสั้นเพิ่มมั้ยไม่แน่ใจ)  ส่วนสูงก็เท่าเดิม(อยากเพิ่มเสียจริงๆ)  ทั้งหุ่นก็ยังพองๆอยู่เช่นเดิม  เพิ่มบ้างลดบ้างแล้วแต่ความเพลิดเพลินในการกินของปากและความลำบากของงาน      ...ไม่เห็นเปลี่ยนเลย      อ่อ  อีกอย่าง  เขาบอกว่าวัยนี้ถ้าไม่หาคู่ให้ได้จะต้องอยู่คนเดียว  ขึ้นคาน  เป็นยายแก่แร้งทึ้ง พอมาถึงจริงๆแล้วเลยอยากถามว่า      ขึ้นคานแล้วมันหนักกบาลใคร เอ๊ย  ไม่ใช่  จะถามว่า      ขึ้นคานแล้วมันเสียหายตรงไหนไม่ทราบ???      เราไม่เคยมีความรัก  อาจมีบ้างที่มีคนมาด้อมๆมองๆ  แต่สุดท้ายก็แยกกันไปคนละทิศละทาง  ที่อดทนขายขนมจีบจนเปิดใจคบเป็นแฟนนั้นไม่เคยมี       ถ้าจะมีก็เพียงเข้ามาให้หวั่นไหววูบวาบแล้วก็จากไป           นอกจากปัจจัยภายนอก  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราไม่เคยยอมปล่อยหัวใจให้ความหวั่นไห

เปลือก

    "เราอยู่ในสังคมที่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน.."      นี่คือคำพูดที่ได้ยินกันอยู่ทั่วไป      แต่สำหรับเรา  เราว่ามันไม่ใช่หน้ากาก  เพราะหน้ากากมันสวมพรางได้เพียงส่วนหน้าเท่านั้น  ในขณที่ชีวิตจริง  คนเรามักจะเคลือบตัวเอง  "ทั้งตัว"  ด้วยอะไรสักอย่าง  เพื่อให้คนมองเราอย่างที่เราอยากให้มอง      ดังนั้น  เราจะเรียกสิ่งนี้ว่า      "เปลือก"      ไม่ว่าจะมีใครให้ความเห็นว่ามนุษย์มีสาม  สี่  หรือเท่านั้นเท่านี้เปลือก  เรากลับคิดว่าคนเรามีเปลือกมากกว่านั้น...      เป็นร้อยเป็นพันแบบ      เผลอๆ  มีมากเท่าจำนวนคนที่เราพบเจอในชีวิตเสียด้วยซ้ำ      เคยเห็นมั้ยล่ะ  ผู้ชายที่พอเจอผู้หญิงสวยทำตัวแบบนึง  เจอผู้หญิงหน้าธรรมดาทำตัวแบบนึง  เจอผู้ชายทำตัวอีกแบบนึง      เห็นแล้วให้นึกสงสัยว่า  นี่คนเดียวกันแน่หรือ?      แต่หลักฐานก็ชี้ชัดอยู่บนใบหน้านั้นเอง      ในประเด็นนี้  หากคุณเป็นคนที่มี "เปลือก" ที่ดี  เช่น  หน้าตาดี  รวย  เป็นลูกคนเด่นคนดัง  แถมยังมองโลกในแง่ดี  คุณอาจเห็นมิติของ "เปลือก" ที่คนสวมใส่ได้น้อยลง  เพราะคนที่เข้าหา