เสียเงินแล้วสบายใจ



     วันดีคืนดี  หัวหน้างานของเพื่อนก็เดินมาชวนไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน 

     แรกๆก็ไม่คิดอะไร  แต่พอเวลาผ่านไปกลับคิดไม่ตก

     ทำไมเขาต้องมาชวนเราด้วย?



     เป็นเหมือนธรรมเนียมของอาชีพเรา  ที่ใช้หลักเคารพอาวุโส  และด้วยหลักการนี้จึงทำให้เกิดหลักปฏิบัติต่อมาคือ  หากเมื่อใดไปกินข้าวด้วยกัน  ผู้ซึ่งมีอาวุโสมากกว่าจะต้องเป็นฝ่ายออกเงิน
     ซึ่งหลักนี้มีทั้งดีและไม่ค่อยจะดี

     ข้อดีคือ  หากในขณะนั้นเราเป็นน้องเล็กสุดในที่ทำงาน  แล้วมีการเฮละโลออกไปกินข้างนอกกันเมื่อไหร่แล้วล่ะก็  เก็บกระเป๋าสตางค์ไปเลย  มีคนแย่งออกค่าอาหารแน่นอน
     คิดๆไปก็ประหยัดดี 

     ความไม่ค่อยจะดีจะเกิดขึ้นเมื่อเรากลายเป็นพี่ใหญ่ในที่ทำงานบ้าง  เพราะเราจะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงชาวบ้านเขา
     คนใจกว้างอาจจะมองว่าเป็นการทดแทนที่เคยกินฟรีมาก่อน  แถมยังสร้างมิตรก่อให้เกิดความเคารพนับถือ 
     ส่วนคนใจแคบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเงินแบบเรากลับรู้สึกว่า.....ทำไมเราต้องไปเลี้ยงเขาด้วยวะ?? 

     นั่นข้อเสียเพียงประการเดียวนะ



     จริงๆเราก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรกับระบบแบบนี้นักหรอก  โดยเฉพาะหากมันมาแบบสมเหตุสมผล  จากบุคคลที่เหมาะที่ควร  เป็นต้นว่าเจ้านายของเราโดยตรงเป็นผู้พาไปเลี้ยงข้าวเนื่องในโอกาสที่เพิ่งเข้ามา  กำลังจะจากไป  หรือทำงานหนักจนพักเที่ยงสายด้วยกันทั้งกลุ่ม
     มันดู...มีเหตุผลที่จะเลี้ยง 

     แต่กับการเลี้ยงที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  เช่นว่าเจ้านายเพื่อนเราเขาจะกินข้าวร่วมกับกลุ่มทำงานเขา  แล้วเลยเชิญเราไปด้วย
     ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน  แต่รู้สึกทะแม่งๆยังไงชอบกล

     เพราะการเลี้ยงข้าวน่ะ  มันไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกว่ามันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างเดียว  แต่มันยังก่อให้เกิด...
     ความรู้สึกเป็นบุญคุณ  ต่อผู้ควักกระเป๋าออกสตางค์อีกด้วย

     ไอ้ความรู้สึกว่าเป็นบุญคุณที่พร่ำเพรื่อเกินไปนี่แหละ  คือข้อเสียอีกอย่างหนึ่งที่เราสัมผัสได้



     เวลาที่เลี้ยงกันในสายบังคับบัญชาหรือเลี้ยงเพราะเราทำงานอะไรสักอย่างให้เขา  เราอาจไม่รู้สึกอิหลักอิเหลื่ออะไรมาก  เพราะเราเองก็ช่วยงานและเป็นส่วนหนึ่งของงานแล้วในระดับหนึ่ง
     หรืออย่างน้อย  แม้ไม่ใช่เจ้านายโดยตรง  แต่คุ้นเคยกันระดับหนึ่ง  ก็อาจพอหยวนๆ

     อย่างไรก็ดี  ประสบการณ์บางอย่างสอนเราว่า  หากหาจุดเชื่อมโยงใดๆระหว่างเรากับอีกฝ่ายไม่ได้เลย  เป็นต้นว่าพวก  "...ของเพื่อน"  ทั้งหลาย  ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเลยเหอะ 
     เป็นพวกไม่ชอบติดหนี้บุญคุณอะไรกับใครมากนัก 

     เพราะเรารู้สึกว่าการที่ปล่อยให้ใครมามีบุญคุณกับเรามากไป  มันไม่ค่อยจะเหมาะสมและอาจทำให้วางตัวในวงงานยากขึ้นกว่าเก่า 

     แม้มันจะแลกกับการต้องออกเงินเองในการกินข้าวแต่ละมื้อ  แต่อย่างน้อย  เราก็ไม่เบียดเบียนใครก็แล้วกัน



     สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปกินข้าวกลางวันกับกลุ่มทำงานกลุ่มนั้น 

     เราเลือกที่จะไปหาข้าวกินพร้อมกับเพื่อนที่ทำงานกลุ่มที่ไปด้วยกันทุกวัน  ค่าอาหารและน้ำรวมทั้งสิ้น  50 บาท 

     ธนบัตรในกระเป๋าหายไป ๑ ใบ  แต่สบายใจดีไปอีกแบบ 



     บางคนอาจมองว่าเราโง่  ที่ยอมสละโอกาสในการอิ่มท้องโดยไม่ต้องควักกระเป๋า  และเราก็เห็นว่ายังมีคนอีกหลายคน  ที่ยอมไปกับคนโน้นคนนี้เรื่อยๆเพื่อแลกกับคำว่า  "ได้กินฟรี" 
     ก็ช่างเขา

     คิดอีกที  เราอาจจะโง่ก็ได้นะ  อุตส่าห์จะมีคนออกค่าข้าวให้แท้ๆ  ทำไมต้องถ่อไปกินเองให้เสียเงินด้วย 

     แต่เราก็ว่า  ถ้าการจนลงของเรามันแลกกับการไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณใครได้  50 บาทนี้ก็คุ้มในระดับหนึ่งแหละ


     คนโง่ๆคนหนึ่งคงมีความคิดได้เท่านี้แล
     

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ