บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กันยายน, 2016

เล่าไปเรื่อย : ไปกินข้าวคนเดียว

      เรามีเพื่อนที่มีนิสัยคล้ายๆกันอยู่คนนึง  นิสัยที่คล้ายกันคือ  หล่อนเป็นคนเงียบๆ  ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร      ตอนเข้ามหาฯลัย  เราเคยบอกเธอว่า  ทำกิจกรรมดิ  ชวนคนข้างๆคุยดิ  จะได้มีเพื่อน  และคำตอบที่ได้คือ      "เดี๋ยวปีสองเข้าภาคก็ไม่ได้เจอกันแล้ว  จะรู้จักกันไปทำไม  ไม่มีประโยชน์"      ....ถึงจะไม่เข้าใจว่า  "ประโยชน์"  ที่หล่อนพูดถึงนี้คืออะไร  แต่รู้ว่าลองได้เชื่ออะไรแล้วแม่คุณคงไม่เปลี่ยนใจ  จึงปล่อย      แต่ที่ตลกก็คือ  เพื่อนคนเดียวกันที่ไม่ยอมคุยกับใครเพราะ "ไม่มีประโยชน์"  นี้  ดันเป็นคนๆเดียวกับที่มาเล่าให้เราฟังว่า      "ไม่ค่อยชอบไปกินข้าวที่โรงอาหารเลย"      "อ้าว...ทำไมล่ะ"  คนฟังงง      "ก็ไม่อยากให้คนเขามองว่า  ทำไมผู้หญิงคนนี้มาคนเดียว  ไม่มีเพื่อนรึไง?"  หา...คราวนี้คนฟังงงหนักกว่าเก่าอีก      เออ  แต่จะว่าไป  เราก็รู้สึกจริงๆว่า  การที่ผู้หญิงไปไหนมาไหนคนเดียวนี่  บางครั้งก็โดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาด      เป็นเฉพาะผู้หญิงด้วยนะ  ผู้ชายไปคนเดียวไม่เห็นโดนอะไร  ไม่เข้าใจเล้ยย      ห

โหมดคิดถึงเพื่อน : คนให้ต่างหูคู่นั้น

รูปภาพ
     เราไม่รู้เหมือนกัน  ว่าคนเราได้เพื่อนดีดีมาด้วยวิธีไหนกันบ้าง  แต่สำหรับเพื่อนบางคน  จุดเริ่มต้นนั้นดูงงดีเหลือเกิน...      เรารู้จักกันครั้งแรกตอนปฐมนิเทศน์นักศึกษาใหม่  เรานั่งอยู่กับเพื่อนคนไทยของตัวเอง  ส่วนเธอเป็นคนจีนที่มาเรียนเพียงลำพัง  และมาเจอเพื่อนจีนอีกคนหนึ่งซึ่งเรียนหลักสูตรเดียวกัน      เราเพียงรู้จักชื่อกันหลังจากอาจารย์ให้แต่ละคนแนะนำตัว  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น      จากนั้น  เราจำไม่ใคร่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น  รู้แต่เรารู้สึกไม่ค่อยชอบเธอ  เพราะเธอไม่ยิ้มตอบเรา...      ....แต่โชคชะตาอาจต้องการยืนยันว่าเธอไม่ใช่คนเลวร้าย  เหตุการณ์ต่อแต่นี้จึงเกิดขึ้น      อยู่มาวันหนึ่ง  ในคาบเรียนคาบหนึ่ง  เธอกับเราบังเอิญนั่งใกล้ๆกัน  แล้วจู่ๆ  อาจารย์ก็เริ่มสอนสิ่งซึ่งอยู่ในชีทชุดหนึ่ง  ซึ่งเรานำมา  แต่เธอไม่มี      ขณะนั่งเรียนอยู่นั้นเอง  เราสังเกตเห็นว่าเธอนั่งฟังอย่างงงๆ  คงเพราะไม่มีเอกสาร  เราจึงเลื่อนชีทของตัวเองไปใกล้ๆเธอ  เป็นเชิงบอกว่า...ดูกับเราก็ได้      ...เธอหันมายิ้มให้เราและขอบคุณ  แล้วเราก็นั่งเรียนกันต่อไป      หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น  เรากั

What's behind the gifted?

     อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังเป่าขลุ่ยอย่างสบายอารมณ์  ก็มีคนๆหนึ่งเดินมาบอกกับเราว่า  เขาอิจฉาเรามากเลย  ที่เรามีความสามารถตั้งหลายอย่าง  ส่วนเขาไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย...      (แต่เธอมีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งตั้งสองใบนะจ๊ะ ฉันยังไม่มีเลย/คิดในใจ)      แต่คนๆเดียวกันนี้แหละ  พอเราแนะนำช่องทางหาความรู้เพิ่มเติม  เป็นต้นว่า  เว็บฝึกภาษา  หรือถามว่า  อยากเล่นเครื่องดนตรีโน่นนี่นั่นไหมล่ะ  เราสอนให้  คำตอบที่ได้คือ      "จะหัดไปทำไม  ไม่มีสังคมแล้ว  ไม่ต้องไปออกงานที่ไหน  ไม่มีใครให้โชว์แล้ว.."      นั่นทำให้เรางงหนักกว่าเดิม  ว่าเหตุไฉน      ...ความอยากโอ้อวดจึงกลายเป็นเหตุผลในการสร้างความสามารถพิเศษไปได้???      เราจับขลุ่ยครั้งแรกตอนม.1  เหตุผลคือ  โรงเรียนบังคับ  ใครเล่นไม่ได้สอบตก      ...เอ้า  เล่นก็เล่น      แต่  หนึ่งปีหลังจากนั้น  ที่เราเริ่มหาโน้ตมาเล่นเพิ่มเอง  ที่เราเริ่มเอาเพลงที่รู้จักมาแกะโน้ตเองโดยใช้ขลุ่ย...      เราก็แค่อยากถ่ายทอดเพลงที่เราชอบออกมาเป็นเสียงดนตรีโดยไม่ใช่การขับร้อง  เท่านั้นเอง...      ส่วนหลังจากนั้น  ถ้าใครจะมา

อินเนอร์ของหมอความ

     เธอว่าฉันเจ้าคิดเจ้าแค้น      เธอว่าฉันแก้แค้นเธอ  เพราะทุกครั้งที่เธอหาว่าฉันผิด  ฉันจะต้องทุกวิถีทางเพื่อบอกว่า  ฉันไม่ได้ผิดดังที่เธอเข้าใจ      ใช่  ฉันเจ้าคิดเจ้าแค้น  แต่การกระทำนั้นไม่ใช่การแก้แค้น      ก่อนจะตอบว่ามันคืออะไร  อะไรหน่อย  เชื่อไหมว่า  เวลาคนเราเรียนสาขาไหน  วิชาต่างๆจะหล่อหลอมให้เราเป็นคนอาชีพนั้นโดยไม่ต้องสอน      ฉันเป็นทนาย      หน้าที่ของฉัน  คือแก้ต่างให้ลูกความของตัวเอง      การที่จู่ๆเธอใส่ร้าย  หาว่าฉันผิดอย่างนั้นอย่างนี้  นั่นคือเธอกำลังยัดเยียดให้ฉันเป็นจำเลย  ในควาผิดที่  บางทีฉันก็ไม่รู้เลยว่า  ตัวเองก่อขึ้นรึเปล่า      แล้วฉันจะทำอะไรได้  นอกจากว่าความให้ตัวเอง  หาหลักฐานทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองให้จงได้      ก็ฉันเป็นทนาย      ฉันยังไม่ได้แก้แค้นเธอสักนิด      และรับรองเลยว่า  หากจะแก้แค้นจริง  เธอเจ็บกว่านี้หลายเท่าแน่      แต่กระนั้น  ฉันยังคงตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหา  "เจ้าคิดเจ้าแค้นและกระทำการแก้แค้น"  ในสายตาของเธออยู่ดี      ฉันว่า  คนที่ควรถูกพิพากษาให้ลงโทษ  คือคนที่เอะอะก็ตั้งศ

ข้อความที่หายไปของหัวใจหนึ่งดวง

     (เขียนจากเรื่องจริงของผู้หญิงคนหนึ่ง)       หากถ้อยความสักประโยคจะไม่เคยมีในสารบบของเจ้าหล่อน  หนึ่งในนั้นก็คงเป็น...      "เขาต้องชอบเราแน่ๆเลย"       แม้จะเคยมีคนนำของฝากมาให้แล้ววิ่งหนีไปก็ตาม....      ใช่  นี่เรื่องจริง  หาได้ละเมอเพ้อพกหรือแต่งนิยายอยู่  เหตุเกิดช่วงมัธยมปลายที่มีการแบ่งกลุ่มให้นักเรียนจัดซุ้มเล่นเกมกัน  และในขณะที่หล่อนกำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่นั่นเอง  ของชิ้นหนึ่งก็ถูกวางลงตรงหน้าอย่างจงใจ      "อ่ะ.....ให้................มันเหลือ"  แล้วก็วิ่งจากไป      แต่นอกเหนือจากของชิ้นนั้นและความรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองอยู่เสมอ  ใครคนนั้นก็ไม่เคยเดินเข้ามาผูกมิตรอะไรด้วย...      แหม  ขนาดตอนนี้คุยเก่งขึ้นตั้งเยอะยังยึดคติว่า  "ฉันจะไม่คุยกับใครก่อน" เลย  แล้วสมัยเด็กที่เงียบกว่านี้ร้อยเท่าพันทวี  ความคิดที่ว่า  ฉันจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มต้นผูกมิตรก่อน  ยิ่งฝังรากลึกขึ้นไปอีก      แล้วสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ระหว่างคนสองคน      มานึกๆดู  แม้จะไม่เคยมีแฟน  ไม่เคยถูกจีบตรงๆเลยสักครั้งในชีวิต  แต่เจ้าหล่อนก็พบพฤติก

เป็นผู้บริโภคต้องทำใจ

     สวัสดีค่ะ      เผอิญช่วงนี้เจอเรื่องแนวคล้ายๆกันเกี่ยวกับนโยบายของสินค้าหรือบริการประมาณสามเรื่อง  ซึ่งทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ  ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้บริโภค  หรือผู้ใช้สินค้าและบริการอยู่บ้าง  เล็กน้อยถึงปานกลาง  ว่าแล้วเลยบ่นไว้ตรงนี้เสียเลย  เผื่อไปถึงตาใครเข้า  จะได้มีคนเข้ามาเหนื่อยใจเป็นเพื่อน (เอ๊ะ...ยังไง)      1.  ที่จอดรถในห้าง      เนื่องด้วยตั้งอยู่ ณ ใจกลางเมือง  พูดง่ายๆว่าทำเลดี  ไปมาสะดวก  ติดสถานีรถไฟใต้ดินอะไรงี้  ห้างหลายห้างที่เรารู้จักและใช้บริการบ่อยๆจึงมีนโยบายเก็บค่าที่จอดรถ  ซึ่งถามว่าเข้าใจได้ไหม  ก็เข้าใจได้  เขาคงไม่อยากให้คนมาจอดแช่ทั้งวันจนลูกค้าตัวจริงเดือดร้อน  เออ  อยากเก็บก็เก็บไป      จนประมาณ...ปีนี้ล่ะมั้ง  ห้างหนึ่งแถวรัชดาที่เราใช้บริการอยู่บ่อยๆนั้นเปลี่ยนนโยบายการเก็บค่าที่จอดรถ  จากที่จอดฟรีสามชั่วโมงแรก  หลังจากนั้นหากซื้อของ 300 บาทขึ้นไปจะจอดฟรีอีก...สามชั่วโมงมั้ง  (หากจำไม่ผิด)  เป็น  จอดฟรี 1 ชั่วโมง  แต่ถ้า..      รับประทานอาหารในห้างตั้งแต่ 100 บาท ขึ้นไป(นำใบเสร็จมาแสดง)  จอดฟรีเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง      ถ้าซื้อของตั้งแ