เป็นผู้บริโภคต้องทำใจ




     สวัสดีค่ะ

     เผอิญช่วงนี้เจอเรื่องแนวคล้ายๆกันเกี่ยวกับนโยบายของสินค้าหรือบริการประมาณสามเรื่อง  ซึ่งทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ  ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้บริโภค  หรือผู้ใช้สินค้าและบริการอยู่บ้าง  เล็กน้อยถึงปานกลาง  ว่าแล้วเลยบ่นไว้ตรงนี้เสียเลย  เผื่อไปถึงตาใครเข้า  จะได้มีคนเข้ามาเหนื่อยใจเป็นเพื่อน (เอ๊ะ...ยังไง)




     1.  ที่จอดรถในห้าง

     เนื่องด้วยตั้งอยู่ ณ ใจกลางเมือง  พูดง่ายๆว่าทำเลดี  ไปมาสะดวก  ติดสถานีรถไฟใต้ดินอะไรงี้  ห้างหลายห้างที่เรารู้จักและใช้บริการบ่อยๆจึงมีนโยบายเก็บค่าที่จอดรถ  ซึ่งถามว่าเข้าใจได้ไหม  ก็เข้าใจได้  เขาคงไม่อยากให้คนมาจอดแช่ทั้งวันจนลูกค้าตัวจริงเดือดร้อน  เออ  อยากเก็บก็เก็บไป

     จนประมาณ...ปีนี้ล่ะมั้ง  ห้างหนึ่งแถวรัชดาที่เราใช้บริการอยู่บ่อยๆนั้นเปลี่ยนนโยบายการเก็บค่าที่จอดรถ  จากที่จอดฟรีสามชั่วโมงแรก  หลังจากนั้นหากซื้อของ 300 บาทขึ้นไปจะจอดฟรีอีก...สามชั่วโมงมั้ง  (หากจำไม่ผิด)  เป็น  จอดฟรี 1 ชั่วโมง  แต่ถ้า..
     รับประทานอาหารในห้างตั้งแต่ 100 บาท ขึ้นไป(นำใบเสร็จมาแสดง)  จอดฟรีเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง
     ถ้าซื้อของตั้งแต่ 500 บาท ขึ้นไป  จอดฟรีสามชั่วโมง (รวมชั่วโมงแรกด้วย)
     ......เพื่อที่จะจอดสามชั่วโมงนี่ต้องเสียเงินห้าร้อยเชียวนะ.......

     คนใช้บริการก็บ่นกันไปตามระเบียบว่านโยบายคราวนี้เขี้ยวกว่าเดิมแยะวุ้ย  จนเมื่อวาน  จู่ๆ  แม่เราก็ตั้งประเด็นขึ้นมาว่า

     "นี่เท่ากับเขาบังคับว่า  ให้เลือกทานอาหารที่จัดโดยศูนย์ฯเท่านั้น  เพราะหากเลือกซื้อของกินของพ่อค้าแม่ค้าที่เช่าขาย  มันไม่มีใบเสร็จ"

     เออเนอะ  เพิ่งนึกได้  เขี้ยวจริงอะไรจริง  นอกจากจะให้จอดฟรีน้อยลงแล้ว  ยังบังคับกลายๆให้อุดหนุนสินค้าของผู้เช่าขายของในห้างลดลงด้วย (ผู้เสียประโยชน์เยอะแฮะ)


     แต่นี่ไม่ใช่ที่แรกที่เป็นแบบนี้  ดูห้างใหญ่ใกล้ๆถนนพระรามเก้านั่นป่ะไร  ตึกออกเบ้อเริ่มเทิ่ม  มีร้านขายของเยอะแยะเต็มไปหมด  แต่หมอดันตั้งกฎว่า  ต้องซื้อของที่ซุปเปอร์ของตัวเองเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์จอดฟรีเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมง  จะเข้าห้างไปกินติ่มซำซูชิโน่นนี่นั่นเป็นร้อยเป็นพันแค่ไหน
     ...ไม่นับนะจ๊ะ...
     ...เอ้อ  แต่มีเหมือนกัน  ถ้าไปติดต่อบางบริษัทหรือธุรกิจบางห้อง  เขามีบัตรจอดรถเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมงให้อยู่บ้าง  แต่ถ้าไปเดินเฉยๆล่ะก็  เชิญซื้อของซุปเปอร์ฯเอาเองตามศรัทธาเถิด


     คือ  อย่างที่บอก  เราพอเข้าใจนะว่าถ้าเขาไม่ทำแบบนี้  เขาอาจจะกลายเป็นอู่จอดรถให้กับคนที่จะใช้รถไฟใต้ดิน  จนทำให้ห้างเสียรายได้หากลูกค้าที่แท้จริงมาแล้วไม่มีที่จอด  แต่บางครั้งเรารู้สึกว่านโยบายมันออกจากค้ากำไรเกินควรไปสักหน่อย  ทั้งยังเป็นการเอาเปรียบห้างร้านอื่นโดยเฉพาะผู้ค้ารายย่อยที่ประกอบธุรกิจในห้างอีก

     ...แต่ผู้บริโภคก็ดูเหมือนจะทำได้พยายามใช้บริการให้ลดลงเท่าที่จะทำได้กระมัง...



     2.  Play  Store

     ใครใช้มือถือค่ายแอนดรอยคงจะคุ้นกับเจ้าไอคอนรูปร่างเหมือนถุงชอปปิ้งที่ชื่อ Playstore  ซึ่งแท้จริงแล้วคือแอพลิเคชั่นที่มีไว้โหลดแอพลิเคชั่นอื่นๆตามแต่ต้องการ  ซึ่งก็จะมีการแบ่งหมวดหมู่ไว้ให้เช่น  เกม  การศึกษา  การถ่ายรูป  โซเชี่ยว  ว่ากันไป

     แต่มีใครสังเกตบ้างรึเปล่าว่า  ประมาณสัปดาห์ที่แล้วเป็นต้นมา  Playstore  มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเล็กน้อย  แต่เป็นความเล็กน้อยที่ส่งผลต่อจิตใจเราค่อนข้างมากทีเดียว

     เรามีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง  คือในแต่ละสัปดาห์จะชอบเข้าไปที่  Playstore  แล้วคลิกตรงแอพลิเคชั่น  เลือก "อันดับสูงสุด"  จากนั้นเลือกดูหมวด  "ใหม่ฟรียอดนิยม"  เพื่อจะดูว่าในแต่ละอาทิตย์นั้นมีโปรแกรมอะไรใหม่ๆเข้ามาบ้าง  และมีอะไรน่าโหลดมาเล่นบ้าง

     ความเปลี่ยนแปลงที่เราพูดถึงในแอฯนี้ก็คือ  แอปฯเอาหมวดที่ชื่อ  "ใหม่ฟรียอดนิยม"  ออก  และให้เลือกแค่  "แอปฟรียอดนิยม"  "เกมฟรียอดนิยม" "มาแรง" "แอปเสียเงินยอดนิยม" และ "เกมเสียเงินยอดนิยม"
     ....ผลน่ะหรือ  เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถสำรวจว่าในแต่ละครั้งที่เราเข้าดู  มีแอปฯและเกมใหม่ๆอะไรบ้าง  หากมันไม่ถูกจัดอยู่ในหมวด  "ยอดนิยม"

   
     ต่างจากข้อแรก  คืออันนี้เราไม่เข้าใจเจ้าของโปรแกรมเลยแม้แต่น้อย  ว่าทำไมเขาต้องกีดกันไม่ให้ผู้ใช้แอนดรอยอย่างเราๆท่านๆ  ในการได้รับทราบว่าในแต่ละอาทิตย์มีอะไรใหม่ๆที่น่าสนใจบ้าง

     ข้อดีก็มีนะ  คือหลังจากที่รูปแบบปรับเปลี่ยนเป็นแบบนี้  เรายังไม่ได้โหลดอะไรมาเล่นใหม่ๆแบบจริงจังในแทบเลตเลย  ทั้งที่ปกติเรามักจะชอบหาเกมใหม่ๆมาเล่นเป็นประจำ
     ...ดีค่ะดี  หมกมุ่นน้อยลง

     และถ้าเขาคิดว่าการเน้นแอปที่เสียเงินเพิ่มขึ้นจะทำให้คนหันมาอุดหนุนด้วยเงินมากขึ้น  ขอบอกเลยว่าผิดถนัด  อย่างน้อยก็สำหรับเรา  เพราะลองถ้าเราตั้งเป้าไว้แล้วว่า  จะเล่นฟรีเท่านั้นน่ะ  ต่อให้เอาของเสียตังค์มายื่นให้ตรงหน้าแบบนี้  เราก็ไม่ซื้อหรอก
     ...และถ้าเดาไม่ผิด  เราว่ามีคนไม่น้อยที่คิดแบบเรา


     แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี  เอาเป็นว่า  ขอให้มีความสุขกับรูปแบบใหม่ของ  Playstore  แล้วกันนะคะ  สาวกแอนดรอยทั้งหลาย



     3. Facebook

     ล่าสุดเมื่อวานนี้เลย  เราได้รับข้อความไลน์มาเตือน  ประมาณว่า  เฟสบุ๊คจะบังคับให้เราต้องเปลี่ยนชื่อโปรไฟล์เป็นชื่อจริง นามสกุลจริง พร้อมเบอร์โทรศัพท์  ไม่อย่างนั้นจะระงับการใช้งาน  และเมื่อระงับการใช้งาน  ผู้ใช้จะต้องเข้าไปยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต  หาไม่แล้ว  บัญชีเฟสบุ๊คจะถูกระงับถาวร

     เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าจริงเท็จแค่ไหน  แต่อ่านแล้วปรี๊ดค่ะ  เพราะเรามองว่าการทำแบบนั้นเป็นการบอกเรื่องส่วนตัวมากเกินไป  ซึ่งผู้ได้ประโยชน์ก็ไม่ใช่ใคร  เหล่ามิจฉาชีพและพวกขายสินค้านี่เอง  แล้วมันเรื่องอะไรที่เราจะต้องไปอำนวยความสะดวกให้คนเหล่านั้นขนาดนั้นด้วย


     สิ่งที่เราตอบกลับไปก็คือ

     "เอาเลย  ถ้าเฟสบุ๊คอยากให้จำนวนคนใช้ลดลงด้วยวิธีนี้ก็เอา  อยากปิดก็ปิด  ดีกว่าไปอำนวยความสะดวกให้มิจฉาชีพ"

     
     ไม่ใช่ว่าเราเห็นด้วยทุกครั้งกับการพัฒนานโยบายของเฟสบุ๊คที่ออกมาเรื่อยๆหรอกนะ  แต่บางทีเราก็ว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะปรับปรุงเว็บไปในทิศทางที่เขาต้องการ

     แต่หากถึงขนาดมาล้วงข้อมูลส่วนตัวกันขนาดนี้แล้วล่ะก็.......อยากลบบัญชีฉันออกก็เอาเลยจ้ะ  ทุกวันนี้ก็แทบไม่ได้อะไรกับเว็บนี้อยู่แล้ว(จะเข้าไปทำไมให้อิจฉาชาวบ้าน...อุ๊บส์)
     ส่วนหากเป็นข่าวโคมลอยก็.....ปล่อยมันไป


     วันไหนเฟสบุ๊คปิดบัญชีเราไปด้วยเหตุนี้ล่ะก็  วันนั้นเราจะฉลองแน่!!!





     ทุกวันนี้คนเรารับสินค้าและบริการจากสิ่งรอบตัวมากจนกระทั่งเราอาจหลงลืมไปว่า  เรากำลังเอาตัวเองไปอยู่ในข้อตกลงของผู้ประกอบธุรกิจรอบข้างมากเกินไป

     ยิ่งถ้าเราได้ประโยชน์  เราคงไม่คิดอะไรมาก

   
     แต่หลายครั้ง  ธุรกิจรอบตัวก็ดำเนินนโยบายที่ค่อนข้างจะเอื้อประโยชน์ตัวเองมากไป  และบางครั้งก็เป็นนโยบายเอารัดเอาเปรียบที่ถูกกฎหมายเสียด้วย

     จะดำเนินการตอบโต้อะไรทีก็แสนยุ่งยาก  เลี่ยงได้ก็คงต้องเลี่ยงไป  เว้นแต่ทนไม่ไหวจริงๆ  คงต้องตอบโต้กันบ้างล่ะนะ


     เป็นผู้บริโภคต้องทำใจ...จริงๆ


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ