บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม, 2015

สิ่งที่คนหน้าเด็กมักจะเจอ

    เหล่านี้คือชะตากรรมของคนที่หน้าตาวิ่งตามอายุไม่ทัน.... 1.  บรรดาพนักงานร้านพวกเสริมความงาม  โดยเฉพาะพวกความงามแบบผู้ใหญ่จะเมินเรา  เฮ่ย  มันยังเด็กอยู่  มันยังไม่สนหรอก 2.  เช่นเดียวกะพวกร้านค้าต่างๆ  เช่น  ร้านจิวเวอรี่  หรือของแพงๆทั้งหลายที่จะเมินเรา  หน้าอย่างนี้ไม่มีตังค์หรอก  บางทีคือห้างบางห้างพอเห็นหน้าปุ๊บ  มือที่แจกโบรชัวหดไปทันที  เห้ยย(ก็ดีนะไม่ต้องยื่นมือไปรับ  หุหุ) 3.  ในทางตรงข้าม  เราจะเป็นเป้าหมายชั้นดีของ....  'น้องคะ  สนใจคอร์สเข้มข้นเอนทรานซ์ไหมคะ'(จบตรีมานานแล้วค่ะพี่)  'สนใจเรียนภาษาอังกฤษเตรียมไปเรียนต่อมั้ยเอ่ย'(แบบว่าเพิ่งกลับมาอ่ะค่ะ :P)  ฯลฯ 4.  คนทั่วไปเห็นเราแล้วจะยัดเยียดความเป็น  "น้อง"  หรือไม่ก็  "เพื่อน"  ให้ตลอดเลย  เอ่อ  ถามอายุก่อนนับญาติก็ไม่สายนะคะ  หุหุ 5.  ประโยคนี้  "หน้าแบบนี้เหรอจะเป็น....ได้"  (เชิญเติมอาชีพได้ตามศรัทธา) 6.  (อันนี้สำหรับคนที่ชอบซื้ออะไรที่ต้องโชว์อายุ)  เช็คไรนักหนาว้าา  ก็บอกแล้วไงว่าอายุเกินมาชาตินึงละเนี่ย!!! 7.  (สำหรับคนตัวไม่สูง)  เรามักจะเป็น  ผู้ใหญ่

แด่...ท่านผู้ชอบดูดวงทั้งหลาย

     เดี๋ยวนี้มีนักทำนายทายทักหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า  หมอดู  เยอะเหลือเกิน  เดี๋ยวคนโน้นก็บอกว่าสำนักนี้ดี  เดี๋ยวคนนี้ก็บอกว่าสำนักนั้นแม่น     ยิ่งไปกว่านั้น  อ่านไปอ่านมา  สองสำนักที่ว่าแม่นดันทำนายชีวิตเราแบบไปคนละแนว  เอาไงดีล่ะเนี่ย  บวกกันหารสองมั้ย???  (มึนนะ @_@)     เอางี้ละกัน  วันนี้จะมาแนะนำคร่าวๆว่า  ก่อนจะเชื่อที่ไหนสักที่แบบสุดลิ่มทิ่มประตู  มาพิจารณากันคร่าวๆก่อนดีกว่า  ว่าหมอดูท่านนั้นท่านนี้น่ะ  มีลักษณะอันควรเชื่อหรือควรสงสัยอย่างไรบ้าง    ขอพูดเฉพาะโหราศาสตร์ไทยนะ  เพราะดูลายมือนี่เคยค่อยเห็นอวดอ้างจนเป็นปัญหา  ส่วนศาสตร์อื่น....คนเขียนดูไม่เป็น  :P        หมอดูลักษณะต่อไปนี้  แม้จะมีลักษณะน่าเชื่อถือเพียงใด  หรือถูกชะตาแค่ไหน  ก่อนเชื่อควรติดดิสเบรกเอาไว้บ้าง  -  หมอดูที่ทำนายดีหรือร้ายเกินไปโดยไม่มีเหตุผลรองรับ  -  หมอดูที่กล่าวว่าราศีนั้นราศีนี้จะต้องซวยหรือโชคดีเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ตลอดชีวิต  เพียงเพราะว่าเกิดราศีนั้นๆ  โดยไม่ได้ดูดวงเฉพาะบุคคลอย่างลึกซึ้ง  ท่องไว้ค่ะ  การเกิดราศีใดราศีหนึ่งบอกได้แค่ว่าเรามีลักษณะนิสัยแบบใด  ไม่ได้บอกว่าเรามีกร

อยู่ที่ไหน ดื่มยังไง

          ชอบดื่มน้ำอัดลมกันมั้ยคะ ?           ถ้าชอบ.........ชอบดื่มแบบไหนกันเหรอ ?           ใส่น้ำแข็ง  แช่เย็น  หรือทั้งแช่เย็นแล้วใส่น้ำแข็งด้วย....แค่คิดก็ฟินละเนอะ ^^           เราก็ชอบแบบนั้นเหมือนกัน....           อ้าว.....แล้วถามทำไมเนี่ย????           ก็.....ไม่มีอะไรหรอก  แค่นึกถึงสไตล์การดื่มน้ำอัดลมของตัวเองตอนไปอยู่ต่างแดน  แล้วเลยอยากเล่าลงบล็อคเฉยๆ...           .....ใครหลงเข้ามาแล้วก็อ่านหน่อยนะ           เราเลือกไปเรียนปริญญาโทในประเทศแทบตะวันตกซึ่งได้ชื่อว่าดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน           และด้วยความที่เป็นประเทศแถบตะวันตก  อากาศโดยทั่วไป  ถ้าไม่หนาวก็ฝน  แดดดีดีนี่....ถ้ามีก็จะเป็นอะไรที่สดใสมาก           อากาศหนาวนี่แหละที่เป็นสาเหตุของการดื่มน้ำอัดลมแบบแปลกๆ  อย่างน้อยก็ในสายตาคนไทย           ด้วยความที่อากาศหนาว  คนที่นี่จึงไม่นิยมใส่น้ำแข็งในเครื่องดื่มสักเท่าใดนัก  ลืมเรื่องไปเดินข้างทาง  หิวน้ำ  แล้วโฉบเข้าไปซื้อน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งมาดื่มไปได้           น้ำอัดลมน่ะมี  แต่มีแบบขวดพลาสติกหรือไม่ก็กระป๋องน่ะนะ  (ขวดแก้วไม่ค่อยเห็นค่ะ  ท

โอเคป่ะแก?

            "โอเคป่ะเนี่ย"       ดูเหมือนว่ายิ่งโต  เราจะยิ่งเจอคำถามนี้บ่อยขึ้นทุกวัน  กับสถานการณ์ที่บีบคั้นจิตใจมากขึ้นทุกที       สอบตก  อกหัก  คนที่รักตาย  เพื่อนหายหน้า  หางานทำไม่ได้  ฯลฯ  (ลิสต์มาเถอะ  เจ็บๆทั้งนั้นแหละ)          แล้วมนุษย์คำถามก็จะปรากฎตัวขึ้น....        "เป็นไงบ้างคะ"  "โอเคมั้ยแก"  "ไหวป่ะเนี่ย"         "โอเคคค"  เสียงเนือยๆ  เป็นการบอกกลายๆว่า  ถ้าจะถามแค่นี้...           .....ปล่อยชั้นไปเถอะ!          บางทีเราก็อยากจะพูดมากกว่าคำว่า  "ชั้นโอเค"          บางทีเราก็อยากจะบอกว่า  "หุบปากแล้วไปไกลๆได้ป่ะ  อยากอยู่คนเดียว"          บางทีเราก็อยากใส่อารมณ์กลับไปว่า  "ถ้าเป็นมึง  มึงคิดว่ามึงยังมีความสุขอยู่ได้มั้ยล่ะ"          บางทีเราก็แอบอยากจะอ้อนว่า  "เรากำลังจะร้องไห้แล้ว  กอดเราหน่อยสิ"  (ตาปริบปริบด้วย  ไม่ใช่ละ)                และบางที  ก็อยากจะถามกลับแบบน่าสงสารว่า  "ไม่โอเคได้ด้วยเหรอ?"          แต่ก็นะ  ความจริงในใจที่คิดได้

คุกคาม!

   มีสาวฝากบ่นมา  คนเขียนกำลังสมองตันพอดี  จัดไป      "ไม่ว่าคุณจะหน้าตาดีหรือไม่ดี  แต่ถ้าคุณทำตัวcreepy  คือ  น่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้  เช่น        อยู่ๆก็หันมามองบ่อยๆด้วยสายตาไม่เป็นมิตร        แสดงท่าทางเอาใจใส่ตัวเองโดยไม่แยแสต่อคนรอบข้าง  เป็นต้นว่า  เดินสวนกันก็ไม่หลบ  พอหนาวก็เดินไปปรับแอร์หันออกจากตัวเองโดยไม่แคร์ว่ามันเป่าโดนคนข้างๆโดยตรง       ทำตัวน่ากลัวอื่นๆ  เช่น  เวลาเดินผ่านก็เดินในลักษณะเกือบเฉียด  หรือพออีกฝ่ายเดินผ่านก็หันมามองอย่างน่าเกลียด       คือมันก็สมควรถูกเกลียดป่ะ           ถ้าบังเอิญต้องนั่งใกล้ๆกัน  ถ้าอีกฝ่ายรู้เค้าก็ย่อมอยากปกป้องตัวเองด้วยการย้ายที่ป่ะ       และถ้าเดินสวนแล้วแก  เอ๊ย  คุณเดินอย่างเป็นเจ้าของถนนแบบไม่กลัวชน  ก็ขอเถอะ  ขออนุญาตเดินหลบไปอีกฝั่งแบบไม่ต้องการสมาคมด้วย  สักหน่อยเหอะ"       (เครียดนะเนี่ยเจอคนแบบแก  เอาจริงๆ)       คนบ่นบอกว่า  รู้ว่าถ้าบ่นก็คงเจอ....hater  gonna  hate  แต่ก็ยังแอบหวังว่าจะมีคนเอ็นดู  ช่วยอวยพรให้ปลอดภัยตลอดรอดฝั่งด้วย...       จ๊ะ  โชคดีนะเธอ...

Introvert Problem

      จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ  Introvert       Introvert  ไม่ใช่พวก  Anti-social  หรือต่อต้านสังคมนะ  เพียงแค่ไม่สันทัดเรื่องการเข้าสังคมเท่านั้นเอง       ไม่สันทัดขนาดไหน?   ปานกลางถึงมากเลยล่ะ  - -'            ก็แค่ชอบใช้เวลาปกติไปกับการพูดคนเดียว...        เฮ้ย  ไม่ใช่!  เค้าเรียกว่าอยู่ในโลกของตัวเองตะหาก  (เกือบทำให้โดนลากเข้าศรีธัญญาแล้วมั้ยล่ะ)        หรือ  เวลาต้องไปอยู่รวมกับคนมากๆ  เช่นไปเรียนพิเศษงี้  มันไม่เชิงอึดอัดนะ  ควรใช้คำว่าเคอะเขินจะดีกว่า  แล้วเวลาหันไปเห็นคนข้างๆสองคนใช้เวลาแปบเดียวก็สนิทกันแล้ว  ก็แอบทึ่งปนอิจฉาอยู่เงียบๆ         'เค้าทำได้ไงอ่ะ  เราทำไม่ได้!!!'       หรือหันไปเห็นคนข้างหลัง  'เฮ้  คนนี้ที่มาสมัครเรียนวันเดียวกันนี่'  ก็นั่งเถียงกะตัวเองอยู่ในใจ       'ทักเค้าดีมั้ยอ่ะ  ว่าจำได้ป่าว  เจอกันวันสมัครเรียน'      'เฮ้ย  ถ้าเค้าจำไม่ได้ล่ะ  เหวอนะ'      แอบมองก็เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาอยู่กะมือถือ  แล้วความกลัวเหวอก็ชนะ  หันกลับมานั่งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป       ตอนพัก  คนที่นั่งด้านซ้ายก็หันมาขอ

วันปิยมหาราช

    วันที่ 23  ตุลาคม  ของทุกปี  เป็นวันปิยมหาราช     อันถือเป็นวันสำคัญของมหาวิทยาลัย...     ตอนเข้าปีหนึ่ง  ก็ได้ยินเขาเล่าๆกัน  "เฮ่ย  เขาว่าถ้าในสี่ปีไม่เคยมาถวายพระพรฯหน้าลานพระรูปทรงม้าในวันปิยฯ  จะไม่จบนะ"     'อะไรกัน  แค่ขู่มั้ง'...     ....แต่ก็ไป.....     อย่างนึงที่คิดก็คือ  ไปทำความเคารพเพื่อฝากตัวในฐานะเด็กใหม่  ว่าขณะนี้เราได้เข้ามาอยู่ในความดูแล  เป็นส่วนหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีพระนามของท่านแล้ว      สามปีผ่านไป     ชีวิตในรั้วมหาฯลัยให้อะไรมากมาย  เปิดสังคมให้กว้างขึ้น  ได้รู้จักเพื่อนใหม่  ได้ทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำ  ได้รอยน้ำตาเมื่อเรียนรู้ว่าการได้เกรดสี่ในโรงเรียนไม่ได้การันตีว่าจะได้เกรดเดียวกันตอนโตขึ้น  ฯลฯ      และในปีสุดท้าย  เด็กปีสี่คนนึงก็ลุกขึ้นแต่งตัวไปถวายพระพรพร้อมกับน้องๆในวันที่ยี่สิบสามตุลาของปีนั้น      เป็นการถวายบังคมลา....     เวลาในรั้วสถานศึกษาถือเป็นช่วงต้นของชีวิต  เป็นรากฐานแห่งการเติบโต  เป็นจุดเริ่มต้นแห่งสรรพวิชาทั้งหลาย  ที่อาจนำไปใช้ได้ในวัยทำงานต่อไป     เพราะสถานศึกษาสอนสิ่งที่ควรรู้  สอนสิ่งที่

จะทำหรือไม่ทำ

        "ทำดีแล้วโดนด่า  ดีกว่าไม่ทำห่าแล้วด่าคน"          เคยเห็นในเนตที่ใดสักแห่ง  เคยเห็นกันมั้ยคะ  สำนวนนี้          ที่จะถามก็คือ.....คิดว่ามันเป็นจริงเสมอไปรึเปล่า?          ถ้าถามเรา   เราว่าไม่นะ          ลองนึกภาพว่าเมื่อใครสักคนให้เราทำอะไรสักอย่างให้  แล้วเราก็ทำให้ด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง...          .....แต่ผลมันดันไม่ดีเท่าปริมาณความตั้งใจที่ใส่ลงไป            สิ่งที่ตามมาคือ  เมื่อคนไหว้วานเดินมาถึงแล้วไม่พอใจงานดังกล่าว  และด่าเราอย่างสาดเสียเทเสีย          ............ละเหี่ยใจ.....          ย้อนกลับมาตอนที่ถูกใจ  แล้วเราเกิดไม่ได้ทำ  จะเพราะอะไรก็แล้วแต่          แล้วก็ถูกด่าเท่ากัน.....          ถามว่า  ในกรณีที่รู้ว่า  ถ้าไม่ทำก็โดนตำหนิ  ถ้าทำแต่ไม่ถูกใจก็ถูกตำหนิอยู่ดี          ...........จะทำหรือไม่ทำ ?                ได้คุยกับผู้ชายท่านหนึ่ง  เธอเล่าว่า  เดี๋ยวนี้เธอไปไหนเธอไม่ซื้ออะไรมาฝากคนข้างๆละ  เว้นแต่หล่อนจะระบุเองว่าอยากได้อะไรแล้วให้เขาซื้อ           ก็ถามว่า  อ้าว  ทำไมล่ะ           คำตอบคือ  "เคยไปที่ไห

ต่างกันที่...บอกที่ไหน

      มันต่างกันนะ       ระหว่างการที่โพสต์อะไรสักอย่างบนโลกออนไลน์แล้วมีคนมาอ่าน  กับการบ่นหรือดราม่าอยู่คนเดียวแล้วมีใครมาได้ยิน      เพราะกรณีแรกน่ะ  ถึงแม้เราจะบอกว่าเพจนั้นเพจนี้มันเป็นบัญชีของเรานะ  แต่ยังไงก็ต้องยอมรับว่า  เวลาเผยแพร่อะไรลงไป  ถ้าไม่ได้ตั้งเป็นส่วนตัว  หรือตั้งว่า  ให้เห็นได้คนเดียว  ไว้      ยังไงก็ต้องมีคนเห็น      คล้ายๆกับที่เราเอาเก้าอี้ออกไปนั่งริมรั้ว  เปิดประตูให้มองเข้ามาได้  แล้วก็เริ่มร้องไห้หรือบ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย  แล้วมีคนมาเห็น      บางคนใจดี  ยื่นมือเข้ามาปลอบประโลม  เราก็ขอบคุณเค้า  โอ้  เพื่อนเราช่างดีเหลือเกิน  เป็นห่วงเป็นใยเราด้วย...(เค้าอาจจะคิดว่า  ก็อุตส่าห์มาร้องไห้ให้เห็น  จะเดินผ่านก็กระไร)      บางคนใจร้าย  เดินมาบอก  "สมน้ำหน้า  สมควรแล้ว"  เราก็อาจจะคิดในใจ  เอ๊ะ  นี่มันบ้านเรานะ  นึกยังไงเข้ามาด่าเจ้าของแบบนี้ล่ะ      โธ่  ไม่อยากให้เขาเห็นก็ปิดบ้านร้องไห้ในห้องนอนไปสิคู้ณณณณ      เอ.....หรือจริงๆแล้ว  เราอยากให้คนเห็นกันล่ะ  เราจึงได้แสดงออกในที่ที่มองเห็นได้แบบนั้น  หรือเราอยากให้คนมาปลอบเราหลายคน  เพ

พัฒนาการด้านอูคูเลเล่ของข้าพเจ้า

    จำไม่ได้เหมือนกันว่าอยากเล่นกีตาร์ตั้งแต่เมื่อไหร่  รู้ตัวอีกทีก็อยากเล่นไปแล้ว     ...แต่กว่าจะรู้ตัวก็จบมัธยมมาสักระยะแล้ว      ก็เลยถอดใจว่าคงเล่นไม่ได้หรอก  เพราะฝึกตอนโตน่าจะลำบาก      ล่วงเลยมาถึงช่วงที่อูคูเลเล่เฟื่องฟู  เริ่มคิดว่าลองฝึกจากเครื่องนี้ก่อนน่าจะดีกว่า  อยากเล่นมากเลยขอเงินแม่ไปซื้อ  ไปแบบไม่รู้อะไรทั้งสิ้น  ไม่รู้ว่าไม้แบบไหน  ไม่รู้ว่าเป็นรุ่นอะไร...      รู้อยู่อย่างเดียวว่ามันใหญ่กว่าอูคูฯที่คนทั่วไปเค้าเล่นจนดูเหมือนกีตาร์ตัวเล็กเสียมากกว่า...      พอลองเล่นครั้งแรก  เพลงแรกที่เล่นได้คือเพลงหนูมาลี...      จับสายแล้วดีดเป็นโน้ตนะ  ไม่ใช่เป็นคอร์ด      .....สรุปคือเล่นแบบเป็นคอร์ดไม่ได้  - - '       หลังจากนั้นไม่นาน  น้องสาวก็เริ่มอยากหัดเล่นบ้าง  ก็เลยให้น้องยืมไป  แล้วปล่อยให้ตัวเองเล่นไม่ได้ไปแบบนั้น       ...เป็นเครื่องดนตรีที่ล้มเหลวที่สุดตั้งแต่เคยหัดมา  T_T       เวลาผ่านไป  หลังจากจบปริญญาโท  ก็รู้สึกอยากเล่นขึ้นมาอีก  แต่ช่วงแรกๆยังไม่ว่างเล่นเพราะต้องเตรียมตัวสอบทำงาน       รอจนสอบเสร็จและเริ่มว่าง  เลยไปขออูคูฯคื

สักวันฉันจะเป็นแบบซาโตชิ

  บังเอิญเพิ่งได้อ่านบทความ "เหตุผล  20  ข้อที่อาจทำให้ภาค XY  กลายเป็นยุคทองของซาโตชิ"  จากเวบ  http://pokemonth.com/7872  แล้วก็เลยมองย้อนกลับมาที่ชีวิตของตัวเองดู   ไหนๆก็ไหนๆ  ขออนุญาตเล่าเกี่ยวกับโปเกมอน  ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ซาโตชิเป็นตัวเอกสักเล็กน้อย  :)  ไม่วิชาการมากนะคะ  ขอเล่าในฐานะคนที่เสพการ์ตูนและเกมของเรื่องนี้ก็แล้วกัน    โปเกมอน  หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ  Pokemon  นั้น  ย่อมาจาก  Pocket  Monster  ซึ่งในเรื่องจะเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกะ  Pocket  Monster     อธิบายได้น่าเขกกะโหลกจังเลย....    คือ....งี้  Pocket  Monster  นี่คือสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง  ถ้าให้เปรียบก็คือสัตว์ในโลกธรรมดาเนี่ยแหละ  แต่มันเป็นสัตว์ประหลาด  หรือ  Monster  ที่สามารถอาศัยใน  Pocket  ซึ่งจะแปลเป็นภาชนะเล็กๆหรือกระเป๋าก็แล้วแต่ และ  Pocket  ที่ใช้เก็บเจ้าสัตว์ประหลาดของเรื่องนี้จะมีลักษณะกลมๆเหมือนบอล  จึงเรียกว่า  โปเกบอล(Pokeball)    ทั้งเรื่อง(ไม่ว่าจะเป็นเกม  การ์ตูนจอแก้ว  จอเงิน  หรือแม้แต่ภาคหนังสือการ์ตูน)  จะมีตัวเดินเรื่องที่เรียกว่า  เทรนเนอร์(Trainer)  เทรนเนอร์คือคน

เหวี่ยงเถอะที่รัก

    "เฮ้ย  ผู้ชายทั้งหลาย...       เวลาพวกนายเจอคนข้างๆวีน  เหวี่ยง  แว้ด  หรืออาละวาดใส่  ในช่วงก่อนหรือช่วงวันนั้นของเดือน  พวกนายรู้สึกยังไงบ้าง?       แต่ถ้าถามเรา  เราอยากเจอแบบนั้นมากกว่า...       เหตุผลน่ะเหรอ...       พวกนายรู้รึเปล่า  ว่าอาการก่อนหรือขณะวันนั้นของเดือนในผู้หญิงน่ะ  ไม่ได้มีแค่อารมณ์เสียง่ายหรอกนะ  บางคน...ก็กินเก่งขึ้น  บางคน....ก็สิวขึ้น  บางคน...ก็อ้วนขึ้น       ....และบางคน  ก็อ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษ         ปัญหาก็คือคนข้างๆเราดันเป็นพวกสุดท้าย  ช่วงนั้นในแต่ละเดือน  เธอจะเครียดง่ายเป็นพิเศษ  ดูจิตตก  และร้องไห้ง่ายอย่างไม่มีเหตุผล       ที่แย่ก็คือเราดันเป็นคนๆเดียวที่เห็นภาพนั้นในทุกๆเดือน  ต้องนั่งดูเธอนอยด์  คอยมองเธอร้องไห้  และก็ทำได้แค่...อยู่ข้างๆ       การนั่งดูคนที่เรารักเป็นทุกข์มันไม่สนุกนะเว้ย!!!       นั่นแหละ  เราก็เลยอยากให้เธอวีนหรือเหวี่ยงมากกว่าเป็นอย่างที่เป็นอยู่       เพราะเราว่า  อย่างน้อย  การอารมณ์เสียก็ไม่ทำให้เธอดู....เศร้า  มาก...เท่าที่เป็นอยู่นี่       และไม่ต้องทรมานทั้งคนเป็นและคนมองด้วย      

เมนูคนขี้เกียจฉบับเด็กหอ ^^

  พูดถึงเรื่องการทำอาหารแล้ว  เราเก่งอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ....   ...นั่นคือการจับอาหารเข้าปาก...     แต่  เมื่อต้องไปอยู่หอเองตอนเรียนปริญญาโท  การรับผิดชอบปัญหาปากท้องของตัวเองย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  เป็นต้นว่า  ทุกอาทิตย์  หรืออาทิตย์เว้นอาทิตย์  ก็ต้องไปซื้ออาหารเข้ามาเก็บไว้     ด้วยความที่ไม่ค่อยขยัน  กว่าครึ่งของสิ่งที่ซื้อมามักเป็นพวกอาหารสำเร็จรูป  บะหมี่สำเร็จรูป กับข้าวสำเร็จรูป  ซีเรียล  นมสด     ....และไข่ไก่       อันที่จริงก็เคยทำอาหารทานเองอยู่หรอก  เช่น  หุงข้าว  ไข่เจียว  ไข่ต้ม  การเททุกอย่างลงกระทะ(น่าจะถือเป็นการทำอาหารโดยอนุโลมนะ  แหะๆ)  หมี่ผัดหรือข้าวผัด  ปลาทอด  กุ้งหรือปลาหมึกผัดกระเทียมพริกไทย(เอาผงกระเทียมพริกไทยไปจากบ้านค่ะ  อย่าเข้าใจผิด)  ฯลฯ     แต่ทั่วไปก็จะเน้นสิ่งที่เข้าไมโครเวฟสามนาทีได้เป็นหลัก     เหตุการณ์ก็เป็นดังข้างต้นมาเรื่อยๆ  จนกระทั่งวันหนึ่ง       กำลังจะทานมื้อเย็น  จำได้ว่าหิวมาก  ตอนนั้นเสบียงที่มี  คือข้าวสวย  บะหมี่  ไข่  นอกนั้นไม่มีอะไรเลย     จะเจียวหรือทอดไข่ก็เกรงว่าจะไม่ทัน.....ใจ  จะต้มหม

แอลกอฮอล์ส่วนบุคคล

  "ดื่ม...เพื่อลืมเธอ"    เคยได้ยินเพลงนี้มานานมาก  ไม่เกือบก็เกินสิบปีแล้วกระมัง  ฟังแล้วรู้สึกว่า  แหม  ดีจังเลย  แค่กระดกน้ำอำพันไปสักหน่อยก็สามารถลืมทุกข์โศกไปได้แล้ว    แต่ความเป็นจริงก็รู้ๆกันอยู่ว่า  เหล้าไม่เคยทำให้เราลืมปัญหาตลอดไปหรอก  มันแค่ทำให้เราไม่นึกถึงความเศร้าไปชั่วขณะหนึ่งก็เท่านั้น   ....ใช่ไหมล่ะ?    ไม่ได้จะมาเทศนาเรื่องเหล้าดอก  แค่จะบอกว่า  นอกจากแอลกอฮอล์แล้ว  จริงๆก็มีหลายอย่างนะ  ที่ทำให้เราลืมเรื่องที่ไม่อยากจำไปได้ชั่วขณะ    ........แน่นอนว่า  ไม่ใช่บรรดาสิ่งอันผิดศีลข้อห้าสารพัดสารพันแน่....    แต่ก็ไม่สามารถบอกให้ชัดเจนเลยได้ว่าคืออะไรแน่  เพราะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลเป็นหลัก  เอาเป็นว่า  สามารถให้คำจำกัดความสั้นๆได้ว่าคือ       "การทำสิ่งที่เรารัก"    คนทั่วไปย่อมมีสิ่งที่ตัวเองทำแล้วมีความสุข  ทำแล้วเพลิดเพลิน  และก็ชอบที่จะทำ  และเชื่อมั้ยว่า  แต่ละครั้งที่เราลงมือทำสิ่งเหล่านั้น  มันเหมือนความเครียดหนักๆที่มีอยู่  ถูกกดปุ่มหยุดไปชั่วคราว    กิจกรรมเหล่านี้ก็เช่น  การปลูกต้นไม้  การอ่านหนังสือ  ทำความสะอาด

ถึงคนเก่ง จากคนธรรมดา

   บางที  อยู่กับคนที่เก่งมากไป  ก็น่าเบื่อนะ    ไม่ใช่เพราะเค้าเก่งหรอก  หลายคนก็อยากอยู่ใกล้คนเก่งเพื่อเรียนรู้ทักษะและวิธีใช้ชีวิตของคนเก่ง  เผื่อว่าสักวันตัวเองจะเก่งแบบเขาได้บ้าง...    แต่คนเก่งแบบที่น่าเบื่อคือ  คนเก่งบางคน  ที่เก่งแต่กำเนิด  หรือไม่ก็ลืมไปแล้ว  ว่าครั้งหนึ่งเค้าเคยไม่เก่งมาก่อน    ทำไมน่ะเหรอ?    เพราะคนประเภทนี้บางคน  เวลาสอนอะไรสักอย่างกับคนอื่น  จะใช้ภาษาของคนเก่ง  หรือภาษาที่มีแค่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่เข้าใจ    ประเภท  "ทำอย่างนี้"(อย่างไหน?)  "เลี้ยวทางนั้น  ทางนั้นไง"(นั้นนี่ซ้ายหรือขวา?)  "แล้วก็ทำแบบนี้" (ทำให้ดูอย่างเร็ว....ดูไม่ทัน - -)  ฯลฯ    ปัญหาคือคนฟังโง่ไง  ก็เลยไม่รู้เรื่อง  พอไม่รู้เรื่องก็ถามอีกรอบ  ได้คำตอบแบบเดิม  ที่ถูกใส่เพิ่มเติม....คืออารมณ์ - -''    ว่าแล้วคนไม่เข้าใจเลยลองคลำทางด้วยตัวเองแบบตามมีตามเกิด  ทำแล้วถูกก็ดีไป  ทำผิดก็โดนบ่นอีก...    โธ่   ก็บอกแล้วว่าโง่  ทำไม่เป็น  ฟังคำอธิบายก็ไม่รู้เรื่อง  T_T    แต่...อีกมุมหนึ่ง  บางคนก็ชอบอยู่กับคนเก่งจัดๆนะ    เพราะคนเก่ง

book or e-book

      เป็นคนที่โตมากับกองหนังสือ....       และโตมาก็คุ้นเคยกับการเห็นพ่อกับแม่อ่านหนังสือ.....       โตขึ้นมาจึงเป็นคนติดหนังสือ....        ไม่ว่าจะไปไหน  ถ้าเห็นแล้วว่ามีเวลาว่างแน่ๆ  ก็จะพกหนังสือไปอ่านด้วย         รู้สึกมาตลอดว่าตัวเองชอบการอ่านหนังสือ  จนกระทั่งชีวิตก้าวมาจนถึงจุดที่คอมพิวเตอร์  แทบเลต  หรือโทรศัพท์มือถือสามารถทำหน้าที่เป็นหนังสือได้  ทั้งยังมีสังคมออนไลน์มาดึงความสนใจออกจากหนังสือได้แบบ... super  effective         ยิ่งสองสามปีหลังๆนี่  ข้อมูลทุกอย่างแทบจะหาได้จากปลายนิ้ว  ชนิดที่เกือบลืมไปเลยว่า  กาลครั้งหนึ่งเวลาค้นข้อมูลทำรายงานต้องไปหมกตัวอยู่ห้องสมุด         ไม่ปฏิเสธว่าตัวเองก็หลงใหลได้ปลื้มไปกับเทคโนโลยีทันสมัยเหล่านี้  อ่านทุกอย่างจากอินเตอร์เนต  นั่งแช่หน้าจอคอมเป็นวันๆ  และ......  โหลดหนังสือมาอ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม         ยิ่งช่วงไปเรียนต่างแดนแล้วไปเจอโปรแกรมอ่านไฟล์หนังสือ  หรือที่เรียกกันว่าอีบุ๊ค  ที่มีหนังสือแจกฟรีให้โหลดมากยิ่งเห่อไปกันใหญ่         แต่  หลังจากเห่ออ่านไปสักช่วงหนึ่ง  ก็เริ่มอยากจะวางลง  มันรู้สึก.....หน่วงๆ  ก็ไม่

คืนที่นอนไม่หลับ กับ ฟุตบอล

      ไม่เคยคิดว่าจะได้ดูบอลตอนตีสอง...     อันที่จริงก็รู้แหละ  ว่าทีมโปรดของตัวเองแข่งคืนนี้  แต่ที่ไม่รู้...คือไม่คิดว่า...     "ตัวเองจะนอนไม่หลับ"     หลังจากพลิกตัวไปมาและลุกดื่มน้ำ  ก็เหลือบไปเห็นเข็มนาฬิกาบอกเวลาตีสอง     'ดูบอลดีกว่า'     คิดได้ดังนั้นก็จัดแจงเปิดไฟ  หาที่นั่ง  และหาช่องทางในการดู  แล้วก็เริ่มส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งเป็นที่รำคาญแก่คนใกล้ชิด    "หือ ดูบอลเหรอ"  แม่ซึ่งได้ยินเสียงลุกมาดู  แล้วกลับไปนอนต่อ....     ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนกันรึเปล่า  แต่สิ่งที่คนเขียนตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นเวลาดูบอลก็คือ  มันเป็นไปไม่ได้  ที่จะดูอย่างเงียบๆ.....และนิ่งๆ     มันจะต้องมีเสียงให้ระคายโสตประสาททุกทีสิน่า  ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์...   "ส่งไปข้างหน้าเลย เอ้อ แบบนั้นแหละ.."   "อย่าไปทำฟาวล์หน้าเขตโทษสิเฮ้ย.."   "ยิง ยิง ยิงงงงงงงงงง.."   "โว้ย  ดันไม่มีคนอยู่หน้าประตู  เสียดายของ.."    ฯลฯ       หรือในอารมณ์    " ประตู(คน)ใหม่หล่ออ่ะ..!!"     "Line-man น่ารักแ

คุ้กกี้เสี่ยงทาย

    ตอนไปออสเตรียกับเพื่อนๆ  ก็เดินเที่ยวที่เมืองหลวงกันแบบเจาะลึก  ตอนกลางคืนก่อนกลับ  พวกเรา แวะทานข้าวเย็นกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง  หลังมื้ออาหาร  พนักงานก็นำห่อคุ้กกี้เสี่ยงทายมาให้ คนละหนึ่งชิ้น  พอเราหยิบทานและเปิดคำทำนาย  ก็ได้รับคำทำนายว่า....  " Man loves you because you have a kind-heart. " (มีคนรักคุณเพราะคุณใจดี)     เป็นคำเสี่ยงทายที่กระตุ้นต่อม  "เอ๊ะ"  มากที่สุดเท่าที่เคยได้รับมา  แต่คำทำนายก็เป็นแค่คำทำนาย ถ้าจะถามว่าแม่นรึเปล่า...     ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้     ก็ยังไม่มีใครเข้ามาป้วนเปี้ยนในหัวใจสักคน    แต่.....ในเรื่องความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม  จะบอกว่าไม่แม่นเสียทีเดียวก็คงจะไม่ได้    จากทริปนั้น  เราได้พี่ชายมาสองคน  และน้องชายอีกหนึ่งคน  สองในสามคนนั้นต่อมาก็มีเหตุให้คุยกันและสนิทกันมากขึ้น....   ถามว่าพอใจมั้ยกับสิ่งที่ได้รับ?   .....ก็.....โอเคนะ   เพราะถ้าได้ความรักแบบคู่รักมา  เราไม่อาจมั่นใจได้เลยว่า  มันจะยาวนานแค่ไหน   แต่  ถ้าได้เพื่อน  หรือพี่น้อง  เพิ่มขึ้นมา  สายใยระหว่างกันมีแนวโน้มจะมั่นคงม

อย่าหวัง

 อย่าหวังให้คนที่ละเลยตัวเองสนใจในสิ่งที่คุณอยากจะนำเสนอ  เพราะขนาดตัวเองเขายังเพิกเฉย เขาไม่สนใจรายละเอียดเล็กๆอย่างที่คุณต้องการแน่ๆ  อย่าหวังคำชมจากคนที่คนที่ขาดความเคารพตัวเอง  ขนาดตัวเอง ลึกๆเขายังไม่ยอมรับ  เขาไม่หาข้อสรรเสริญให้คุณแน่  (แต่ถ้าอยากฝึกจิตและหาข้อติไว้พัฒนาเรียกใช้ได้  พอมีประโยชน์อยู่บ้าง)  อย่าหวังจะได้ความรักจากคนไม่รักตัวเอง  แค่ตัวเองยังไม่รัก  เขาจะไปรักคนอื่นเป็นได้อย่างไร  อันที่จริง  ถ้าต้องเกี่ยวข้องกะคน  อย่าหวังอะไรเลยจะดีกว่า  .....เจ็บเปล่าๆ 

โดนตัวเองด่า

   กำลังเตรียมเอกสารที่สำคัญในการสมัครงาน  แล้วก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อม  เมื่อหาเอกสารสำคัญอย่างหนึ่งไม่พบ    เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง  คิดอะไรไม่ออก  มันทึบไปหมด  เครียด  กังวล  สารพัดสารพัน  กำลังคิดว่าชีวิตต้องแย่แน่ๆ  สมัครงานที่ไหนถ้าไม่มีเอกสารสำคัญชิ้นนี้จะทำอย่างไร....    ในช่วงเวลาที่ความคิดยุ่งเหยิงไปหมดและน้ำตาก็กำลังจะไหลออกมา  ก็มีเสียงหนึ่งในใจตะโกนออกมาว่า...   "ประสาท  ถ้าหาไม่เจอจริงๆก็ไปแจ้งหายสิ  แล้วก็แจ้งเค้าว่ามันหายจริงๆ  เราไม่ได้ตั้งใจให้หายสักหน่อย  สำเนาก็มี  เอาสำเนาไปแสดงก่อนก็ได้มั้ย....     โลกไม่ได้แตกพรุ่งนี้สักหน่อย   คนที่โดนไฟไหม้บ้านทั้งหลังเค้ายังรอดมาได้  นี่แค่หาเอกสารไม่เจอชิ้นเดียว  อย่าทำเหมือนจะตายแบบนั้น!!!"    เหมือนคนกำลังจมน้ำถูกกระชากหัวขึ้นมา  เออออเนอะ  ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้เสมอ  และปัญหาของเรามันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรเลยเมื่อเทียบกับคนอื่น    ที่สุดแล้ว  ปัญหาก็อยู่ที่เดิมแหละ  ยังไม่ได้รับการแก้ไข  แต่ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้นเหมือนถูกปลดปล่อยจากการไร้สติและไม่มีเหตุผล....     มีตัวเองเป็นเพื่อนมันก็

มึงไม่เข้าใจกูหรอก

 "มึงไม่เข้าใจกูหรอก" ได้ยินเพื่อนพูดแบบนี้แล้วอยากตบหัวสักป้าบ  เอเซ่ะ  กูจะไปเข้าใจมึงได้ไง... ...ปัญหาที่มึงเจอ  กูก็ไม่ได้เจอ  (แต่ไม่ได้แปลว่ากูไม่มีปัญหานะ  อย่าเข้าใจผิด) ...คนที่มึงรัก  กูก็ไม่ได้รัก  (และถ้าเค้าทำมึงร้องไห้  กูกำลังคิดว่าจะเกลียดเค้าดีมั้ย?) ...คนที่มึงเกลียดและเกลียดมึง  กูก็ไม่ได้เกลียด  (แต่ถ้าสร้างปัญหาให้มากนัก  เดี๋ยวกูเกลียดเป็นเพื่อนก็ได้) ...จะขอคำแนะนำแบบโปรเฟสชั้นนอล  ขอโทษที  กูก็อายุเท่ามึงเนี่ยแหละ  (อาจจะต่างเดือน  แต่ห่างไม่เกินปีหรอกน่า) ...อย่าหวังคำปลอบประโลมหวานหู  เผอิญเพื่อนมึงปลอบคนไม่เป็น ...จะบอกว่าอนาคตจะดีขึ้นหรือเลวลงให้สบายใจก็ไม่ได้  ไม่ใช่ผู้หยั่งรู้อนาคต  (ถึงจะพอดูดวงเป็นก็เถอะนะ) แต่.....ถึงก่อนที่มึงจะด่าว่ากูไร้ประโยชน์  ตอบคำถามกูมาคำนึงก่อน ...มึงระลึกชาติได้ยัง   ว่า.... มึงนั่งบ่นให้ใครฟังอยู่??? *หรือต้องให้ช่วยสักฉาดสองฉาด  เพื่อจะฉลาดขึ้นบ้าง....

พรสวรรค์.....แน่หรือ

   เคยมั้ย  เวลาที่เราแสดงความสามารถอะไรสักอย่างออกไป  แล้วได้รับคำชมกลับมาว่า  "เธอมีพรสวรรค์จัง"    เบื่อมั้ย?     บางทีก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไม่หลายครั้งคนเราถึงยกความดีความชอบให้เป็นของ "พรสวรรค์"  ทั้งหมด  ทั้งๆที่ความจริงมันมีอะไรมากกว่านั้น   เบื้องหลังความชำนาญของนักกีฬาสักคนคือการทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย....   เบื้องหลังเพลงเพราะๆสักเพลงคือการเปิดเพลงนั้นซ้ำๆไม่รู้กี่สิบรอบเพื่อจดจำคำร้องและท่วงทำนองให้ได้  เพื่อจะได้ถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงเพลงหรือเสียงดนตรี....   เบื้องหลังบทกวีดีดีสักบทคือการอ่านและรวบรวมถ้อยคำสวยๆอย่างต่อเนื่อง  ตลอดจนการฝึกฝนในการถ่ายทอดอารมณ์ของกลอนออกมาให้ได้....   และอื่นๆอีกมากมายที่ต้องใช้ทั้งความพยายามและเวลาเพื่อให้ออกมาดี   แล้วพอปรากฎสู่สาธารณะ  คำชมที่ได้รับคือ  "เพราะเธอมีพรสวรรค์"...   ไม่ได้เถียงว่าพรสวรรค์คือส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้งานออกมาน่าชื่นชม  แต่ยังยืนยันว่าพรสวรรค์ไม่ได้คำตอบทุกอย่างของความสำเร็จ  ถ้าเปรียบทักษะอะไรสักอย่างเป็นความสำเร็จ  พรสวรรค์ไม่น่าจะมีส่วนเกิน  50%  ที่เหลือนั้นเก

เรื่องแว่นแว่น

   เมื่อวานไปธุระที่บ้านป้า  เลยได้รับการไหว้วานให้ช่วยน้อง(ลูกสาวเค้า)เลือกแว่นหน่อย  น้องจะตัดแว่นเป็นครั้งแรกในฐานะเด็กสายตาสั้นสมัครเล่น (คนเขียนผ่านโปรมานานแล้ว 555)    ไปก็ไป ทั้งเรา แม่ และป้าจึงเดินตามน้องไปร้านแว่น  เธอพุ่งตรงไปหยิบแว่นสีทึมๆ กรอบบางสีเงินมาให้ดู "อันนี้เป็นไง"    "แก่"  เราให้ความเห็น    น้องผงะเล็กน้อย  ก่อนเริ่มเล็งหาเป้าหมายต่อไป  ขณะที่เราก็ดูเผื่อตัวเองด้วย  จู่ๆ น้องก็ตั้งคำถามว่าควรเลือกแว่นขนาดไหน แม่จึงขอความเห็นเรา เรา : คือ พี่ชอบแว่นขนาดใหญ่  เพราะ(จับกรอบแว่นของตัวเองซึ่งสูงประมาณ4-5เซนติเมตร) แว่นขนาดใหญ่จะทำให้เรามีช่วงการมองชัดเจนที่กว้างขึ้น  ในขณะที่แว่นที่เล็กกว่า(วางนิ้วเลียนขนาดแว่นอันเล็กที่ใกล้ๆ)  จะมีช่วงที่อยู่นอกแว่นซึ่งเรามองไม่ชัดมากขึ้น   น้องพยักหน้าหงึกๆ  แล้วเริ่มมองหาแว่นขนาดปานกลางถึงใหญ่ต่อไป  อีกพักใหญ่ต่อมา น้อง :  พี่(ลองใส่แว่นที่เลือก) อันนี้เป็นไง เรา : ก็ดี.. น้อง :  อันนี้ล่ะ เรา : ..... เอ้อ  อันนี้ดูดี น้องจึงถือแว่นดังกล่าวไว้ แล้วเริ่มหยิบแว่นซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกันมาลองเทียบด

วันประกาศผล

      วันอังคารที่ผ่านมามีการประกาศผลการสอบเข้าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาสมัยที่ 66       ในชีวิตของการศึกษากฎหมาย  เป้าหมายสูงสุดของหลายคนคือการได้เป็นผู้พิพากษาและอัยการ  เมื่อโอกาสมาถึง  พวกเราก็ไม่พลาดที่วิ่งไปสู่เป้าหมาย และตอนนี้  ผลลัพธ์ก็กำลังจะถูกเปิดเผย              ในกลุ่มเราก็มีคนเข้าสอบด้วยเช่นกัน ประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มได้ แต่ไม่มีใครทราบว่าวันนี้จะมีการประกาศผล.....       เว้นแต่เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้พิพากษาแล้ว...      ช่วงบ่ายแก่ๆ เพื่อนก็แจ้งว่าใกล้จะประกาศผลแล้ว วันนี้แน่ๆ แล้วลมปราณของคนในกลุ่มก็เริ่มแปรปรวนขึ้นเรื่อยๆ......        "เฮ้ย ตื่นเต้น!!!!"  ใครคนหนึ่งเริ่มเปิดประเด็น    "ตื่นเต้นด้วย เฝ้าหน้าเว็บอยู่ตอนนี้"     "โอ๊ย ลุ้นๆ"   "โชคดีนะเพื่อนๆ"   แล้วบทสนทนาอย่างไร้สติก็มาอย่างต่อเนื่อง แต่ในความตื่นเต้นนั้นเองก็บังเกิดความอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาด..  ....ไม่ใช่อุ่นใจเพราะทราบว่าจะได้งานทำแน่  .....แต่อุ่นใจ  เพราะรู้ว่ามีใครอีกหลายคน ที่แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้ขนาดเอื้อมมือถึงกันไ

เรื่องของหมา...ข้างบ้าน

 ข้างบ้านเยื้องๆกันเลี้ยงสุนัขอยู่ 2-3 ตัว ขอเรียกสั้นๆว่า แก๊งหมา เป็นสุนัขพันธุ์ทางที่เห่าเก่งมาก  บ้านท้ายซอยของหมู่บ้านเดียวกันก็มีบ้านหนึ่งเลี้ยงสุนัข 1 ตัว เป็นสุนัขโหลดต่ำ สีขาวปลอด หน้าตาดูมีเชื้อพันธุ์ชิวาวา ขอเรียกสั้นๆว่า เจ้าเตี้ย  ตอนสายๆของวัน คุณลุงเจ้าของ "เจ้าเตี้ย" จะเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังหน้าหมู่บ้านผ่านหน้าบ้านของ "แก๊งหมา" ไป (ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปไหน) ซึ่ง  "เจ้าเตี้ย" ก็จะเดินตามเจ้าของมันออกมาด้วย  แต่...แทนที่ "เจ้าเตี้ย" จะเดินตามเจ้าของมันไปตามปกติ มันกลับเดินไปใกล้ๆบ้านของ "แก๊งหมา" อย่างยียวน ผลก็คือ... ...เจ้าเตี้ยถูกเห่าไล่ราวกับโกรธกันมาแต่ปางไหน จนแอบเดาไม่ได้ว่า หาก "แก๊งหมา" ออกนอกรั้วมาได้ งานนี้....... ....มีเละ! และคุณลุงแกก็เดินออกจากบ้านทุกวัน และแม้แกจะหันไปเอ็ดมันว่า "เดินดีดีไม่ได้รึไง ทำไมต้องไปยั่วเค้าด้วย"  เสียงเห่าก็ยังมีอยู่ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ... หมาบางตัวก็กวนประสาทดีแท้...