บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กรกฎาคม, 2017

ต้นแบบที่หายไป

     เราเป็นคนไม่มีสเปค      แต่..ในความไม่มีสเปคนั้น  มี...ลักษณะอันพึงประสงค์(ถ้ามีจะบวกคะแนนให้ ไรงี้)  อยู่เหมือนกัน  หลักๆสองประการคือ  ตัวสูง  กับ  ใส่แว่น      ตัวสูงนั้นเกิดเพราะปมด้อยส่วนตัว  ที่เตี้ย  เลยชอบคนสูงๆ  ดูแล้วเท่ห์ดี      ส่วนใส่แว่นเกิดเพราะตัวเองใส่แว่น....ซะที่ไหนล่ะ      มันมีต้นแบบมาจาก  'ใครบางคน'  ต่างหาก      ย้อนกลับไปสมัยขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่  โรงเรียนได้จัดให้มีการเข้าค่ายปฐมนิเทศน์ที่โรงเรียนขึ้น  มีระยะเวลา 3 วัน 2 คืน โดยให้ทหารจากค่ายไหนสักแห่งมาเป็นครูฝึกให้  และให้รุ่นพี่มาคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับว่าที่เด็กม.ปลายรุ่นเรา  โดยจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆแบบค่ายลูกเสือ      ในคืนแรก  ทหารได้มอบหมายให้จัดกิจกรรมเป็นแบบงานวัด  ให้แต่ละกลุ่มจัดเกมของตัวเอง  พร้อมๆกับเดินไปร่วมเล่นเกมซุ้มอื่นๆได้      นี่ก็ไปกวาดรางวัลฐานปาลูกดอกมา  ชนิดนี่ผู้ชายคนหนึ่งเห็นแล้วเผลออุทานออกมาว่า  "ของจริงนี่หว่า" ;-)      หลังจากจัดซุ้มเกม  เดินเล่นเกมสักพักหนึ่งแล้ว  เรากับเพื่อนก็ไปนั่งดู...น่าจะเป็นการแสดงดนตรีจากทหารอยู่เงียบๆ  

คนขาดแคลนเพื่อนสนิท

     นั่งคุยกับพ่อ  พ่อถามถึงเพื่อนคนหนึ่งซึ่งไปออกพื้นที่ที่เดียวกันว่า  ตอนอบรม เธอมีกลุ่มเพื่อนของตัวเองหรือเปล่า      "มี  เขามีเพื่อนสนิทเหลือเฟือจะตาย"  นั่นคือเรื่องจริง  เพื่อนคนนี้เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี  ไปไหนก็เข้ากับใครง่ายไปหมด     ...ดวงที่มีดาวบริวารกุมลัคน์ก็แบบนี้....อุ๊บส์      "ไม่เหมือนลูกหรอกที่เป็นพวก  เพื่อนสนิทขาดแคลน..."      และนี่ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน      เราเป็นคนเพื่อนสนิทขาดแคลนมานานแล้ว   ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด  ไม่ว่าคนทั่วไปจะมีคู่ซี้กี่ร้อยกี่พันคนแล้วก็ตาม      เพื่อนที่เรากล้าเรียกว่าสนิทจริงๆ  ทุกวันนี้ยังคงมีไม่เกินสิบคนอยู่     ....เผลอๆน้อยกว่าห้าคนด้วยซ้ำ....      "ก็ลูกเป็นคนปิดตัวเองนี่นา"  พ่อว่า  ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน      มันทำไม่ได้อ่ะ  ที่จะเจ๊าะแจ๊ะไปทั่ว  ทำไม่ได้ที่จะพูดเป็นต่อยหอยกับคนที่เพิ่งรู้จักชั่วครู่ชั่วยาม     ...และทำไม่ได้  ที่จะไว้วางใจใคร  ทั้งที่ไม่รู้จักกันดีพอ      "ก็ถูกแหละ"  เราว่า  "แต่มีอีกอย่างหนึ่งด้วยนะ  นั่นคือ..."      &quo

เพราะเป้าหมายในชีวิตเราไม่เหมือนกัน

     วันนี้เพื่อนที่แสนดีคนหนึ่งของเราเพิ่งประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต  นั่นคือ  เธอได้ให้กำเนิดทายาทตัวน้อยๆออกมาลืมตาดูโลกได้สำเร็จ      และคุณแม่คนเก่งก็ดูจะแข็งแรงดี  :D      มีการแสดงความยินดีกับเธออย่างเอิกเกริก  ทั้งในไลน์กลุ่มเพื่อน  และในเฟสบุ๊ค  และจากการสังเกต  มีหลายคนเข้าไปแสดงความยินดีกับเธอถึงที่โรงพยาบาลอีกด้วย      ....ในส่วนของคนเขียนนั้นได้แค่ไปตามไลค์รูปของเพื่อนอยู่เงียบๆ  ตามประสาคนซึ่งพอเห็นเพื่อนมีคนยินดีเยอะแล้วจึงไม่อยากแสดงตัว....      แต่ยินดีกับเพื่อนด้วย  จริงๆนะ      ในที่ทำงานซึ่งมีเพื่อนสถาบันเดียวกันก็มีการคุยกันถึงเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน  และนั่นก็ทำให้เราเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา      หากมองในมุมของผู้หญิงทำงาน  การให้กำเนิดชีวิตใหม่อาจไม่ถือเป็นความสำเร็จอะไรนัก  เพราะบางที  ในสายตาของผู้หญิงที่มุ่งมั่นกับความสำเร็จในชีวิต  การมีห่วงผูกคอนั้นเผลอๆจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานเสียมากกว่า      แต่  ในสายตาของใครหลายคน  ที่มองว่าการมีครอบครัวที่อบอุ่นเปรียบเสมือนรางวัลชิ้นใหญ่ของชีวิต  การมีโซ่ทองคล้องใจคนสอง

จะไม่มีแฟนจริงๆเหรอเพื่อน??

A  :  แก(เอื้อมมือมาโอบไหล่)  ชุดที่ตัดให้ใส่ได้มั้ย B  :  ใส่ได้ดิ(ยิ้ม)  แกอุตส่าห์ลากพวกชั้นไปตัดชุดซะขนาดนั้น  ใส่ไม่ได้ก็แย่ละ A  :  ขอบคุณนะ  ที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ B  :  ทางนี้ต่างหาก  ขอบคุณนะ  ที่ให้เกียรติชั้นในการเป็นเพื่อนเจ้าสาว A  :  ลองไม่เป็นดิ  พวกแกเป็นเพื่อนที่ชั้นสนิทที่สุดและร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน  วันสำคัญของชั้นแกก็ต้องมา B  :  เออ(หัวเราะ)  แน่นอน  งานสำคัญของแกคงกร่อยถ้าไม่มีพวกชั้นไปป่วน A  :  หึหึ  เออ  อย่าให้ถึงคราวชั้นบ้าง B  :  ...คงไม่มีวันนั้นสำหรับชั้น... A  :  เฮ้ย  ไม่เอาน่า  เดี๋ยวแกก็มี B  :  ไม่หรอก  ชั้นไม่คิดว่าชาตินี้จะมีใครมารักชั้นได้ A  :  บ้า  เพื่อนชั้นออกจะน่ารัก B  :   คนน่ารักของแกไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ในโลกกลมๆใบนี้ที่คนมองแต่ภายนอก A  :  เอ่อออ  แต่จริงๆแกก็สวยนา  เพียงแต่แกน้ำหนักเยอะไปนิดนึง  ชอบทำตัวมอซอ  ต่อหน้าคนไม่สนิทเงียบเป็นเป่าสาก  แล้วก็เข้าสังคมไม่เก่งเท่านั้นเอง B  :  ถ้าจะยาวขนาดนั้น  บอกว่าชั้นขาดเสน่ห์ภายนอกที่สังคมคาดหวังไปเลยก็ได้นะ A  :  เอ่อ... แต่ตัวจริงแกนิสัยโออยู่

ส่วนไหน(ควร)ชัด ส่วนไหน(ควร)เบลอ

     ช่วงนี้เทรนด์ถ่ายรูปกำลังมาแรง..      และการถ่ายรูปแบบหนึ่งที่ฮิตกันมากนั้นคือ  การถ่ายให้แต่ละส่วนของภาพ  ชัด-เบลอ  ไม่เท่ากัน      ในฐานะคนที่ไม่ค่อยถ่ายรูปตัวเอง  ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไปทำไม  แต่พอเห็นรูปชาวบ้านแล้วต้องยอมรับว่า...     ....สวยดีเหมือนกัน      ผลของการฮิตถ่ายรูปแบบเบลอไม่เท่ากันนี่  ส่งผลกระทบต่อสิ่งที่ถ่ายรูปได้อยู่ไม่น้อย  เพราะแต่ละผลิตภัณฑ์ต้องงัดกลยุทธ์ออกมาเพื่อให้ตนเป็นที่นิยมในหมู่นักถ่ายภาพให้ได้  ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ  กล้องถ่ายรูปชนิดต่างๆ  แม้แต่บรรดาแทปเลตทั้งหลายก็ไม่เว้น      บ้างก็ว่าตนมีเลนส์ที่สามารถละลายหลัง  หรือทำเบลอหลังเพื่อการหน้าชัดหลังเบลอได้ดี       บ้างมีโปรแกรมที่สามารถถ่ายก่อนแล้วค่อยเบลอทีหลังได้      บ้างก็โฆษณาว่าสามารถเลือกได้ด้วยว่า  จะให้ส่วนไหนเบลอประมาณไหน      หรือแม้แต่  post stack focus photo  หรืออะไรสักอย่างของกล้องยี่ห้อหนึ่ง  ที่ถ่ายปุ๊บสามารถเลือกจุดโฟกัสได้  ที่เหลือจากนั้นกล้องจะทำการเบลอให้      โว้  ไฮเทคแท้  ดูเหมือนเทรนด์การโฟกัสแต่บางส่วนนี่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นทุกทีๆ

ไม่มีแฟนมันน่าห่วงตรงไหน???

     อยู่ดีดีก็มีเรื่องกวนใจตั้งแต่เช้า      คือ  มีคนๆนึงมาบอกแม่เราว่า เขาหมดห่วงกับลูกเขามากกว่าแม่เรา      เมื่อลองมาคิดๆดู  ตอนแรกไม่เห็นความแตกต่าง  งานก็มีทำแล้วทั้งคู่  แม่ก็เลี้ยงแบบประคบประหงมมาทั้งคู่  ดูแล้วโคตรจะคล้ายกัน  แล้วมันต่างกันตรงไหน??      คิดๆไป....อ๋อ  ลูกเขามีแฟนแล้ว  และใกล้จะแต่งงานแล้ว  ส่วนลูกของแม่เรา(ซึ่งก็คือเรา)     ....ยังไม่มีแนวโน้มจะหาแฟนได้      แค่เนี้ย????       แวบแรกที่ได้ยิน  เรานี่แทบอยากแช่งให้ลูกเขาเลิกกับแฟนให้มันรู้แล้วรู้รอดไป  ดูดิ๊จะแขวะอะไรได้อีก     ...อันที่จริงตอนนี้ยังคงอาฆาตอยู่เหมือนกัน  จริงๆตัวลูกไม่มีอะไรหรอก  แต่แม่พูดจาไม่ค่อยรื่นหูเสียเลย      แต่คิดแล้วก็ได้แต่บ่นแบบแค้นๆ  ไม่กล้าลงปากแช่งแบบจริงจัง  รู้ว่าบาป  ท่าทางจะบาปหนักด้วย      ...ประเดี๋ยวเทวดาประจำตัวกริ้ว  ตัดญาติขาดมิตรขึ้้นมา  ชีวิตอาจลำบากกว่าเดิม  ช่วงนี้ยิ่งสามวันดีสี่วันไข้อยู่      แล้วเลยเริ่มเกิดคำถามขึ้้นมาว่า      มีคู่มันดูแกร่งมากกว่าโสดตรงไหน???      ลองมาคิดกันเล่นๆดูนะ      สมมติว่าเราได้เงินเดือนๆละสามหมื่น(จริงๆเ

กามเทพอาสา

     เป็นคนธรรมดา....ที่ชอบทำตัวเป็นกามเทพ       เวลาดูการ์ตูน  ซีรีย์  ละคร  หรืออะไรก็ตามแต่  มักจะชอบจับคู่ให้ตัวละครนั้นนี้อยู่แทบจะตลอดเวลา      ถ้าคู่นั้นเขารักกันตามที่จิ้นก็ลั่ลล้าไป  ถ้าไม่  แม้จะผิดหวังนิดหน่อย  แต่ยังพอรับได้อยู่หากชอบตัวละครนั้นมากพอ      แต่ไม่ใช่แค่ชีวิตในนิยายหรอกนะที่ตกเป็นเหยื่อ  เอ๊ย  ผู้ถูกจับคู่ของผู้เขียน      คนในชีวิตจริงก็ไม่รอดเหมือนกัน      ด้วยความที่เป็นคนนิ่งๆเงียบๆ  หลายครั้งเลยแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้สังเกตการณ์ปฏิกิริยาคนรอบตัวไปเสียเลย      และจากการสังเกตนี่แหละ  ที่ทำให้เห็นอะไรบางอย่าง  เป็นต้นว่า     ..คนนั้นแอบมองคนนี้     ..คนโน้นดูอยากจะใกล้ชิดกับคนนั้น หรือแม้แต่      ..หมอนั่นกับยายนี่ดูสนิทกันมากผิดปกติ...       แล้วสิ่งที่คนสมัยนี้เรียกว่า  "การจิ้น"  ก็เริ่มขึ้น      บางครั้งก็แอบจิ้นของผู้เขียนคนเดียวไปเงียบๆ  และบางครั้ง  หากมีคนร่วมสังเกตด้วย  ก็จะมาร่วมด้วยช่วยกันจิ้น  แต่บางครั้ง  นี่ดันกระโดดไปมีส่วนร่วมด้วยซะงั้น  เป็นต้นว่า      - พอเห็นว่ากำลังจะเดินไปเป็นกขค  ก็ถอยออกมาปล่อยให้เข

ไม่มีใคร(เอา)น่ะ..ดีแล้ว

         คิดๆไป  เราว่าดีแล้วล่ะ  ที่ไม่มีใครมาชอบเรา      เหตุผลของความโชคดีไม่ใช่สำหรับเราหรอกนะ  สำหรับอีกฝ่ายหนึ่งต่างหากล่ะ      ทำไมน่ะเหรอ      เหตุผลแรกเลย  เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก      ด้วยเหตุนี้  เราจึงจำกัดการสุงสิงกับคนรอบข้าง  กล่าวคือ  เราไม่ใช่พวกช่างพูดช่างคุยหรือเจ๊าะแจ๊ะไปได้เรื่อยๆ  เรามักไม่ใช่คนเริ่มสนทนากับใครหรือเข้าหาใครก่อน  และชอบที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่า      เวลาใครมองเราแบบผิวเผิน  เขาเหล่านั้นมักกล่าวว่า  เราเป็นคนพูดน้อยมากๆเลย  ชาวบ้านเขาคุยกันไปไม่รู้กี่ประโยคแล้ว  เรายังคงยิ้ม  พยักพเยิดไปตามเรื่อง     ...และนั่งเงียบๆเช่นเคย      นอกจากนี้  เรามักชอบทำอะไรตามลำพัง  มีความสุขกับการอยู่เงียบๆคนเดียว  ไม่รู้สึกอะไรเวลาไม่มีใครอยู่ข้างๆ  และใช้ชีวิตไปเรื่อยๆอย่างสงบเสงี่ยม      ดังนี้  คงไม่ต้องบอกว่า  จำนวนคนที่จะเข้าใกล้เราชนิดที่เรายอมรับเองว่า  เขาคือคนสนิท  นั้นน่ะ     ....มันน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับคนทั่วไป      คนที่จะเข้ามาในชีวิตเราได้  ไม่ใช่แค่ต้องพิสูจน์ให้เราเห็นว่า  เขารักและจริงใจกับเราจริง(อันเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์อยู่แ