ต้นแบบที่หายไป


     เราเป็นคนไม่มีสเปค

     แต่..ในความไม่มีสเปคนั้น  มี...ลักษณะอันพึงประสงค์(ถ้ามีจะบวกคะแนนให้ ไรงี้)  อยู่เหมือนกัน  หลักๆสองประการคือ  ตัวสูง  กับ  ใส่แว่น

     ตัวสูงนั้นเกิดเพราะปมด้อยส่วนตัว  ที่เตี้ย  เลยชอบคนสูงๆ  ดูแล้วเท่ห์ดี

     ส่วนใส่แว่นเกิดเพราะตัวเองใส่แว่น....ซะที่ไหนล่ะ


     มันมีต้นแบบมาจาก  'ใครบางคน'  ต่างหาก



     ย้อนกลับไปสมัยขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่  โรงเรียนได้จัดให้มีการเข้าค่ายปฐมนิเทศน์ที่โรงเรียนขึ้น  มีระยะเวลา 3 วัน 2 คืน โดยให้ทหารจากค่ายไหนสักแห่งมาเป็นครูฝึกให้  และให้รุ่นพี่มาคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับว่าที่เด็กม.ปลายรุ่นเรา  โดยจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆแบบค่ายลูกเสือ

     ในคืนแรก  ทหารได้มอบหมายให้จัดกิจกรรมเป็นแบบงานวัด  ให้แต่ละกลุ่มจัดเกมของตัวเอง  พร้อมๆกับเดินไปร่วมเล่นเกมซุ้มอื่นๆได้
     นี่ก็ไปกวาดรางวัลฐานปาลูกดอกมา  ชนิดนี่ผู้ชายคนหนึ่งเห็นแล้วเผลออุทานออกมาว่า  "ของจริงนี่หว่า" ;-)

     หลังจากจัดซุ้มเกม  เดินเล่นเกมสักพักหนึ่งแล้ว  เรากับเพื่อนก็ไปนั่งดู...น่าจะเป็นการแสดงดนตรีจากทหารอยู่เงียบๆ
   
     ขณะนั่งอยู่นั้นเอง  กระปุกออมสินลายการ์ตูนขนาดเท่ากระป๋องนมข้นหวานก็ถูกวางลงมาที่หน้าตัก
     "อ่ะ...ให้  มันเหลือ"  ยังไม่ทันมองหน้า  เจ้าของเสียงก็วิ่งไปเสียแล้ว

     แต่เพื่อนเราเห็นทัน  หล่อนระบุชื่อเพื่อนคนหนึ่งออกมา  พร้อมสำทับว่าเพื่อนคนนั้นต้องชอบเราแน่ๆเลย
     "บ้า...ไม่หรอก"  เราตอบออกไปอย่างงงๆปน....เขินๆ


     ตั้งแต่วันนั้น  เรารู้สึกได้ว่า  มีสายตาคู่หนึ่งคอยมองมาที่เราอยู่เป็นประจำ  ไม่ใช่แค่นั้น  มันยังมีเหตุการณ์ประมาณว่า
     -  ตอนเขาแจกชีท  พอเรายื่นมือไปรับ  แทนที่จะให้เฉยๆก็หันมาระบุด้วยว่าเป็นหน้าไหน
     -  มีอยู่ครั้งหรือสองครั้งที่เราโดนแซวอะไรสักอย่าง  มีเสียงๆหนึ่งแหวมาเถียงแทนให้  ใช่  เสียงเขานั่นแหละ
     -  ตอนให้จับคู่เต้นรำ  นี่ก็เดินมาคู่ด้วยแบบเนียนๆ

     อะไรประมาณนี้  แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น  นั่นคือ
    ....การตีเนียนมาขอเป็นเพื่อน....
    เชื่อว่า  ถ้าใช้วิธีนั้น  เราอาจมีแฟนไปนานแล้วก็ได้


     แล้วเวลาก็เลยผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เพราะเขาไม่เขามา  และเราเองก็ไม่เคยเดินเข้าไปเช่นกัน
    ....ทุกวันนี้ยังเงียบอยู่แค่ไหน  ตอนนั้นดิฉันเงียบกว่านี้สิบเท่าอ่ะค่ะคุณ  ไม่ได้บ้าบอลและไม่ใช่แม่หมอ  อันเป็นเหตุหลักให้พูดมากอย่างปัจจุบันด้วย

     และที่ทำให้เราฉุนที่สุดคือ  เรารู้สึกว่าเขาไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับเราเลย  อารมณ์แบบ  เดินผ่านใครคุยกับทุกคน  แต่พอเดินมาถึงเรา  เดินเลยไปเฉยยย
     'เออ  ไม่คุยก็ไม่ต้องคุยกันเลยละกัน'  นี่ก็แค้นฝังหุ่นเหลือเกิน


     เราว่า  ฟางเส้นสุดท้ายของเราสองคน  คงเป็นตอนที่เจอกันในรั้วมหาวิทยาลัย  ซึ่งเรากับเขาสอบติดที่เดียวกันแต่คนละคณะ

     วันรับน้อง  เราเดินสวนกัน  เขาเรียกชื่อเรา  เรานิ่ง  หันกลับมาอีกที  เขาก็เดินไปไกลแล้ว
    ...เออ  เรารู้แหละว่าเราก็เลว...

     แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย  เขาคงเกลียดเราไปแล้ว  แต่เข้าใจนะ  คงคิดว่าเรานี่หยิ่งมาก  ทำตัววิเศษวิเสโสเสียจริง
    ...ว่าอะไรช่วยดูหน้าคนถูกว่านิดนึง  หลงตัวเองน่ะไม่มี  มีแต่คิดว่าตัวเองดีไม่พอเสียมากกว่า



     อ่านมาถึงตรงนี้  คนอ่านอาจสงสัยว่า  แล้วมันเกี่ยวอะไรกะที่จั่วหัวไว้ฟะ?

     เกี่ยวสิคะ  ก็อีตาคนนั้นที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ย

     เธอใส่แว่น!!!


     เราเป็นคนที่ถ้าไม่บอกว่าอยากเปลี่ยนสถานะ  เราจะไม่มองอีกฝ่ายไกลเกินเพื่อนเลย  แต่ถ้าเมื่อไหร่เริ่มแสดงท่าทีแบบนี้  เราจะเริ่มมองอย่างตรวจสอบดูบ้าง

     สอบไปสอบมาเริ่มรู้สึกว่า...

     ผู้ชายใส่แว่นนี่มันดูดีแฮะ



     จริงๆเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วล่ะ  ป่านนี้อีกฝ่ายอาจแต่งงานมีลูกไปแล้วก็ไม่อาจทราบได้

     แล้วจะฝืนฝอยหาตะเข็บอะไรไม่ทราบ???

     อ๋อ  คือ  เมื่อคืนน่ะ  เราฝัน

     ฝันว่าเราไปเที่ยวกับเพื่อนอีกสองคน  คนนึงเป็นผู้ชาย  และทำหน้าที่เป็นคนขับรถ  โดยมีตัวเรานั่งหน้าคู่คนขับ
     ตอนขับรถนี่คุยกันอย่างสนิทสนมมาก  จนตัวเรา(ในฝัน)พูดขึ้นมาว่า  "ถ้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนนั้นคงสนิทกันไปนานแล้วเนอะ"

     พอพูดจบ  ตัวเราในฝันก็เกิดเอะใจ  เลยชะโงกไปดูหน้าคู่สนทนา  แล้วก็เห็นว่า..
        "เขาคือเพื่อนคนนั้น.."

     เท่านั้นแหละ  ตัวเราในฝันเกิดอาการตกใจ  ทำให้เราตัวจริงสะดุ้งตื่นขึ้นมาแบบกรึ่มๆ(ไม่ตื่นเต็มที่  แต่รู้ว่าตื่น)  และเมื่อหลับต่อก็ไม่ฝันเรื่องนั้นแล้ว


     เมื่อตื่นมาก็รู้สึกว่า  ช่างเป็นฝันที่เพ้อเจ้อที่สุดเท่าที่เคยฝันมา  เพราะมันเป็นความฝันที่  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเป็นจริง



     จริงๆพอมองย้อนกลับไป  เราก็อยากเป็นเพื่อนกับเขานะ  แต่คิดว่าเขาคงไม่อยากเป็นเพื่อนกับเราหรอก

     สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถึงกับเรื่องดี  แต่คิดอีกที  มันก็ไม่ได้แย่

     อย่างน้อยเราก็ได้ต้นแบบในการมองว่า  เราชอบมองคนแบบไหน
    ...ถึงแม้จะไม่ใช่คุณสมบัติที่บังคับว่าต้องมี เพราะนักบอลที่กรี๊ดๆอยู่ทุกวันนี้  ก็แทบไม่มีใครใส่แว่น...

     แต่ถามว่ายังชอบคนใส่แว่นมั้ย  ยังชอบอยู่นะ  โดยได้ต้นแบบมาจากคนๆนั้นนั่นแหละ

     ถึงแม้ว่าวันนี้  เขาจะไม่ได้อยู่ในชีวิตเราอีกต่อไปแล้ว..

    ...ก็ตามที...

ความคิดเห็น

  1. ง้อวววววววววววววว 5555555 เห้ย น่ารัก กุ๊กกิ๊กติ๊กชีโร่มากเลยค่าาาา อยากเห็นหน้าหนุ่มแว่นเลยค่าาาา 555555

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ