บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤศจิกายน, 2018

แพ้...

     เป็นคนแพ้ที่ไม่แพ้คนหน้าตาดี      ..ไม่สิ..      เป็นคนไม่แพ้ที่แพ้คนหน้าตาดี..      เอ๊ะ  ยังไง      ยังไงดีล่ะ      คือ...อย่างนี้..  เอาเป็นว่า   เราจะแบ่งผู้ชายออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ  "จับต้องไม่ได้"  กับ  "จับต้องได้"      ผู้ชายประเภทจับต้องไม่ได้  คือผู้ชายที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันเอื้อมถึง  เพราะเขาไม่รู้จักเรา  และไม่มีวันจะรู้จักเรา  เช่น  ดารา  นักร้อง  นักการเมือง  และ  ที่เรากรี๊ดที่สุด...นักบอล      ไม่ว่าเราจะดูเขาลงแข่งสักกี่ครั้ง  เขาไม่มีวันจะหันกลับมา  มองทะลุกล้องและทีวี  แล้วเห็นว่ายายผู้หญิงธรรมดาหน้าตาบ้านๆและอ้วนๆคนนี้  กำลังเพลิดเพลินขนาดไหนเวลามองเขาแข่ง      ดังนั้น  เราจะอนุญาตให้ตัวเองเพ้อถึงคนกลุ่มนี้ได้เต็มที่  เพราะรู้เงื่อนไขอยู่แล้วว่า  ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันได้พบเจอในชีวิตจริง      บ้านักก็อาจจะเก็บรูปไว้ดูเล่น  หรือยืมหน้ามาเป็นพระเอกในนิยายตัวเอง      ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น      อีกกลุ่มที่  "จับต้องได้"  นั้นคือ  ผู้ชายที่อยู่ในชีวิตจริงๆ  เป็นเพื่อนกัน  เรียนที่เดียวกัน  ทำงานที่เดียวกัน

Am I good enough for this?

     แพทย์  นักบิน  ผู้พิพากษา  ศาสตราจารย์  ดารา-นักร้อง  อัยการ      อาชีพเหล่านี้นับเป็นอาชีพในฝันของใครหลายๆคน  และคนที่ได้ทำอาชีพนี้มักถูกมองว่าเป็นผู้มีวาสนา...      แต่  ถ้าถาม "คน" ที่ทำอาชีพนี้บางคน  คุณอาจสัมผัสได้ถึงความกดดันในจิตใจ  บ้างตั้งคำถามว่าอาชีพพวกนี้นำความสุขที่แท้ให้จริงหรือ ...และ  บางคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่า  ตัวเองดีพอจะทำอาชีพนี้จริงๆหรือไม่?      เราคือหนึ่งในนั้น...      22 พฤษภาคม 2560      วันนี้  เป็นวันที่เราเข้ารับราชการวันแรกในอาชีพที่หลายๆคนใฝ่ฝัน  เป็นวันคนที่รู้จักแทบทุกคนที่มองมาที่เราจะรู้สึกชื่นชมยินดี  และเป็นวันที่ทำให้ตัวเองและครอบครัวภูมิใจ      ราวกับว่าเรากำลังฝันอยู่      มาตื่นอีกที  ก็ตอนที่งานที่ประสบมันสอนให้เรารู้ว่า  อาชีพนี้  มันไม่ง่ายเลย ...เราถูกสั่งสอนความรู้ต่างๆที่หลายๆอย่างเราไม่เคยรู้มาก่อน ...เราถูกทดสอบความสามารถในด้านต่างๆ ...เราถูกจับตาดูพฤติกรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อให้สมกับอาชีพที่สุด และอื่นๆ  อีกมากมาย      และช่วงนี้  เราถูกทดสอบอีกครั้งด้วยคำสั่งให้ไปช่วยราชการอีกที่หนึ่ง      งานน

้ล้ำเส้น

     เราเชื่อว่า  คนทั่วๆไปมีเพื่อนของตัวเองอยู่จำนวนหนึ่ง  มากน้อยแตกต่างกันไป  และเราก็เชื่ออีกว่า  ในบรรดาเพื่อนที่เรามีอยู่นั้น  เราไม่ได้จัดทุกคนอยู่ในระดับเดียวกัน  บางคนสนิทมาก  บางคนสนิทน้อย  บางคนแค่รู้จักผิวเผิน  และบางคน...ก็แทบไม่มองหน้ากัน      ประเภทสุดท้ายนี่มักถูกปักป้ายว่า  "ศัตรู"  เอาน่า  คิดเสียว่าเป็นเพื่อนร่วมโลก      ปัญหาคือ  บางครั้ง  เราก็ไม่รู้แน่ชัดว่า  เพื่อนแต่ละคนที่คบหากันอยู่นี่  เขาจัดให้เราอยู่ลำดับไหนบ้าง  ในอีกมุมหนึ่ง  เพื่อนเราก็อาจจะไม่แน่ใจว่า  เขายืนอยู่ตรงไหนในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเราเช่นกัน      ...ไอ้เกลียดกันไปเลยนี่ดูไม่ยาก  ที่ยากนี่คือที่เหมือนจะสนิท  แต่ไม่แน่ว่าสนิทแค่ไหนเพียงใด      สิ่งที่ตามมาของการไม่รู้แน่ชัดคือ  บางทีเราก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบไม่ทันดูว่าสนิทหรือไม่สนิท  ซึ่งอาจนำมาสู่ความไม่สนิทใจในภายหลัง      จะว่าไป  สมัยนี้  จะโทษตัวคนอย่างเดียวก็อาจไม่ถูกต้องนัก  เพราะการที่โลกอินเตอร์เนตเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการคบคน  มักทำให้เราเผลอคิดไปว่า  เออ  เราคงสนิทกับเขานะ  คุยกันผ่านโลกออนไลน์ตั้งหลายครั้งแ

เสียเงินแล้วสบายใจ

     วันดีคืนดี  หัวหน้างานของเพื่อนก็เดินมาชวนไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน       แรกๆก็ไม่คิดอะไร  แต่พอเวลาผ่านไปกลับคิดไม่ตก      ทำไมเขาต้องมาชวนเราด้วย?      เป็นเหมือนธรรมเนียมของอาชีพเรา  ที่ใช้หลักเคารพอาวุโส  และด้วยหลักการนี้จึงทำให้เกิดหลักปฏิบัติต่อมาคือ  หากเมื่อใดไปกินข้าวด้วยกัน  ผู้ซึ่งมีอาวุโสมากกว่าจะต้องเป็นฝ่ายออกเงิน      ซึ่งหลักนี้มีทั้งดีและไม่ค่อยจะดี      ข้อดีคือ  หากในขณะนั้นเราเป็นน้องเล็กสุดในที่ทำงาน  แล้วมีการเฮละโลออกไปกินข้างนอกกันเมื่อไหร่แล้วล่ะก็  เก็บกระเป๋าสตางค์ไปเลย  มีคนแย่งออกค่าอาหารแน่นอน      คิดๆไปก็ประหยัดดี       ความไม่ค่อยจะดีจะเกิดขึ้นเมื่อเรากลายเป็นพี่ใหญ่ในที่ทำงานบ้าง  เพราะเราจะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงชาวบ้านเขา      คนใจกว้างอาจจะมองว่าเป็นการทดแทนที่เคยกินฟรีมาก่อน  แถมยังสร้างมิตรก่อให้เกิดความเคารพนับถือ       ส่วนคนใจแคบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเงินแบบเรากลับรู้สึกว่า.....ทำไมเราต้องไปเลี้ยงเขาด้วยวะ??       นั่นข้อเสียเพียงประการเดียวนะ      จริงๆเราก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรกับระบบแบบนี้นักหรอก  โดยเฉพาะหากมัน

ความสวยไม่จีรัง

     โบราณมีสุภาษิตหนึ่งกล่าวไว้ว่า  "นารีมีรูปเป็นทรัพย์"      ซึ่ง  ในยุคที่ยังนิยมให้นารีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน "ทรัพย์" ที่นารีจะหาได้จาก "รูป" ของตัวเอง  ก็คงไม่พ้น  "ว่าที่สามี"  นั่นเอง      จะเห็นได้ว่า  ความนิยมในตัวผู้หญิงรูปงาม  หรือเรียกสั้นๆว่า "สวย" มีมาแต่ไหนแต่ไร  ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า  ผู้ชายนั้นนิยมผู้หญิงสวยจัดมากกว่าผู้หญิง.....สวยน้อย  ด้วยเหตุนี้  เกิดเป็นคนสวยจึงเหมือนมีอภิสิทธิ์พิเศษ  คนนั้นก็เอ็นดู  คนนี้ก็เมตตา(มักเป็นเพศตรงข้ามเสียมาก)  แถมยังมีคนรอต่อคิวให้เลือกไปเป็นแฟนเยอะแยะ      จะว่าไป  สาวๆที่ได้แต่งงานตามที่มองๆอยู่นี่  ก็สวยทั้งนั้น  แต่ว่า....      แล้วความสวยมันมีประโยชน์แก่ชีวิตคู่แค่ไหนกันนะ??      อายุปูนนี้ก็มีคนรู้จักหลายคนที่แต่งงานไปแล้ว  กำลังจะแต่งงาน  ยังไม่แต่งงานแต่มีแฟนแล้ว  ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงพวกที่.....      อยู่มาจนป่านนี้ยังไม่รู้จักเลยว่า  แฟนคืออะไร      พวกที่ไม่มีแฟนก็มักจะมีคำพูดติดปากกันว่า  "ก็ชั้นไม่สวย  จะมีคนมาชอบได้ยังไง" นั่นน่ะสิ  หาข้อเถียงไม

วิธีพิชิตใจคนไม่พูด

     โลกนี้มีคนจำนวนมากที่เป็นบุคคลทรงเสน่ห์  เขาหรือเธอเหล่านั้นมักเป็นบุคคลหน้าตาดี  มีบุคลิกที่ดึงดูดให้คนเข้าใกล้  ยิ้มง่าย  คุยเก่ง  เป็นมิตร  และอีกหลายอย่างที่ทำให้คุณละสายตาจากเขาได้ยาก      ......แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเราในวันนี้      แล้วก็ยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง  ประเภทที่เหมือนจะเป็นส่วนน้อยในสังคม(แบบว่าไม่ค่อยเจอใคร  เลยไม่ค่อยมีโอกาสแพร่พันธ์ุ  อุ๊บส์)  ประเภทที่นั่งเงียบเป็นเป่าสาก  ไม่ค่อยทักหรือคุยกับใครก่อน  เจอใครก็ยิ้มบางๆ  ทำตัวกลมกลืนไปกับกำแพง  และถนัดที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด       ....เป็นพวกที่ชอบทำตัวหายไปจากสายตา       แต่กับบางคนที่ชอบทำตัวแบบนี้  คุณกลับไม่รู้สึกว่าเขาอยู่นอกสายตาเลยสักนิด  อย่างน้อย  ก็ในสายตาของคุณ      ฮั่นแน่....หลงเสน่ห์คนเงียบเข้าแล้วล่ะสิ      มา  มาเรียนรู้วิธีผูกสัมพันธ์กับคนเงียบกัน  ไม่แน่นา  บางที  เขาอาจจะมีอะไรดีๆมากกว่าที่เห็นภายนอกก็ได้      ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า  นี่ไม่ใช่ทฤษฎีที่คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์คนใดหรือสอนเป็นหลักสูตรจากที่ไหน  ข้อความต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นโดยคนเงียบ  เพื่อบอกเล่าเก้าสิ

พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ

     เราเป็นข้าราชการสังกัดหน่วยงานๆหนึ่งของรัฐ      งานของเรามีลักษณะอย่างหนึ่ง  นั่นคือ  อยู่ไม่ติดที่      เริ่มตั้งแต่เข้าทำงาน  เราต้องจากบ้านมาเข้ารับการอบรมที่ทางหน่วยงานจัดไว้เป็นเวลาหนึ่งเดือน       พอพ้นเดือน  เราต้องแยกย้ายกันไปดูการปฏิบัติงานจริงตามหน่วยงานที่ต่างๆอีกหนึ่งเดือน      หลังการดูงานผ่านไป  หน่วยงานเรียกเรากลับเข้าอบรมอีกสี่เดือน       พ้นสี่เดือน  เราและเพื่อนต้องแยกย้ายกันไปฝึกปฏิบัติงานตามสาขาของหน่วยงานต่างๆอีกครั้ง  ซึ่งเอาเข้าจริงก็ฝึกที่เดิมต่อไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งได้รับคำสั่งให้กลับมาอบรมอีกครั้งเป็นเวลา 4-5 สัปดาห์      พอจบห้าสัปดาห์กลับที่เดิมจนเดือนเมษายน 2562 จึงแยกย้ายกันไปลงตามจังหวัดต่างๆต่อไป       สุดท้าย  แต่ละแห่งที่ไปนั้น  รับราชการที่นั่นได้ไม่เกิน 5 ปี  ก็ต้องย้ายไปที่อื่นเรื่อยๆ  จนกว่าจะได้วาระที่สามารถเข้ากรุงเทพฯได้      เป็นงานที่ชีพจรลงเท้าจริงๆ      ผลของลักษณะงานดังกล่าว  ทำให้พวกเราแต่ละคนไม่สามารถทำตัวติดกับเพื่อนร่วมรุ่นได้นานนัก  เนื่องจากเมื่อถึงเวลาก็ต้องแยกย้ายกันไปตามแต่หน่วยงานจะสั่งให้ไป       หน่