บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤศจิกายน, 2015

เพราะภาพไม่เคยเปลี่ยนไป

        สวัสดีค่ะ :)         วันนี้ยังคงอยู่กับโมเม้นต์เก็บรูปอย่างบ้าคลั่ง  (เผอิญรูปเยอะอ่ะนะ 55)         นั่งมองรูปเก่าไปเรื่อยๆ  แล้วรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์....         มีใครเป็นแบบเราไหม  เวลาไม่มีอะไรทำ  บางครั้งก็ชอบเปิดรูปเก่าๆดู  แล้วดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาเหล่านั้น  'เฮ้ยย  ที่นี่คิดถึงจัง'  'ทำไมตอนนั้นฉันโทรมแบบนี้ล่ะ?'  'เหม่...ตอนนั้น....ยังผอมอยู่เลยเนอะ'  บลาบลาบลา         แล้วก็เกิดอาการที่ฝรั่งเขาเรียกว่า  Nostagia  นั่นคืออารมณ์หวนคิดถึงความหลังครั้งเก่าก่อน  ตอนที่...ตอนที่กลับมาไม่ได้อีกแล้ว        คิดถึงสถานที่นั้น  ที่เคยไปเดินทอดน่องหลงอยู่เป็นชั่วโมง        คิดถึงเวลาตอนนั้น  ตอนที่....ทำบ้าทำบออะไรก็ไม่รู้  (นึกแล้วอดเขกหัวตัวเองเบาๆไม่ได้..)        คิดถึงกิจกรรมนั้นๆ  โห  เหนื่อยเนาะ  ไม่รู้อดตาหลับขับตานอนทำไปได้ไง        ต่างต่างนานา  หรือแม้แต่....        คิดถึง........คนคนนั้น  ที่เคยรู้สึก......แบบนั้น  ในตอนนั้น...        ที่ตอนนี้  บรรดาสิ่ง  "นั้นๆ"  ไม่รู้ไปอยู่ไหนหมดแล้ว...        มันตลก

อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง

      ก่อนเป็นนักเขียนต้องเป็นนักอ่านมาก่อน  ก่อนดูดวงเป็นก็ต้องชอบดูดวงมาก่อน  ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น       ไอ้นิสัยชอบเปิดดูดวงรายวันนี่ล่ะ  ที่มาของเรื่องวันนี้       คือเราจะชอบเปิดดูว่าแต่ละวัน  คำทำนายชีวิตของราศีตัวเองจะเป็นยังไง  และล่าสุด  ก็ไปเจอคำทำนายน่าเจ็บแสบอยู่อันหนึ่ง  ใจความว่า        "ที่ทำดีกับใครก็ไม่ได้ผล  แถมเพื่อนที่น่าจะดีดีกันอยู่  กลับมีแววอมพะนำ  ไม่ยอมบอกในสิ่งที่ควรจะบอก"         โห  แค่อ่านก็เจ็บแล้วอ่ะ         แต่คิดๆไป  นอกจากจะเป็นการทำนายในทางร้ายได้แล้ว  ข้อความนี้ยังสอนใจได้ดีอย่างหนึ่ง  นั่นคือ...          "อย่าไว้ใจใครมากไปกว่าตัวเอง"          อ๊ะ  อ๊ะ  เราไม่ได้บอกให้เชื่อตัวเองร้อยเปอร์เซนต์นะ  อย่าเข้าใจผิด          แค่จะบอกว่า......ขนาดคนในกระจกซึ่งอยู่ด้วยกันตลอดเวลา  บางทียังทำผิดทำพลาด  ไว้ใจไม่ค่อยได้ในบางครั้งเลย...          แล้วจะเอาหัวใจ  ความเชื่อ  หรือความหวัง  ไปฝากไว้กับบุคคลภายนอก  ผู้ซึ่งไม่มีส่วนได้เสียกับความฉิบหายหรือความรุ่งเรืองในชีวิตเราเลย....          ......ดูจะเสี่ยงไปหน่อยนะ

Once friend, always be friend

        เรามีเพื่อนอยู่คนนึง  สนิทกันมาตั้งแต่สมัยปริญญาตรี  คุยกันได้เรื่อยๆ  และก็คงจะสนิทกันต่อไปเรื่อยๆ  ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน         ....เราเนี่ยแหละเป็นคนก่อเรื่อง         เรื่องของเรื่องคือเราไปทำคดีโดยไม่ได้บอกเธอ(ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าทำไมตอนนั้นไม่บอก)  แล้วเธอมารู้ทีหลัง  เธอก็โกรธมาก  เห็นเลยล่ะว่าโกรธจริงจัง  (นึกในใจ...ชิบหายละ)         หลังจากนั้นเธอก็มาบอกว่า  เออ  เธอหายโกรธละ  จริงๆเธอเสียความรู้สึกมากกว่า  ทุกอย่างเหมือนจะเป็นเหมือนเดิม...         ...........แต่เรารู้สึกได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม  รู้สึกได้ว่าเธอเล่าอะไรให้เราฟังน้อยลง  แต่เป็นอันเข้าใจได้  คนเคยเจ็บมาย่อมจะวางใจเท่าเดิมไม่ได้  เราเข้าใจ         แล้วก็มีเหตุให้เราเป็นฝ่ายเคืองเธอบ้าง  เมื่อเราเพิ่งมารู้ว่าเธอได้งานทำแล้วไม่บอกเรา  ที่รู้เพราะคุยกันในไลน์แล้วมีเพื่อนในกลุ่มหลุดปากบอก         ตอนนั้นรู้สึกเฟลทุกอย่างในชีวิต  ทั้งรู้สึกว่าเพื่อนไม่ไว้ใจเราแล้วอีกต่อไป  ทั้งรู้สึกว่ายังหางานไม่ได้อยู่คนเดียว  ทุกสิ่งอย่าง         คิดถึงขนาดเตรียมใจไว้เลยว่า  หากวันนึงต้องออกจากกลุ่ม  

เล่าไปเรื่อย : Degoo

        อันที่จริงวันนี้ก็เป็นวันธรรมดาๆวันนึง  ที่ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร  แต่ดันมีเรื่องจนได้         คือช่วงนี้เราจะเข้าไปอัพเดตไฟล์เอกสารฉบับหนึ่งซึ่งบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำที่ผ่านมา  ซึ่งทุกวันก็ไม่มีปัญหาอะไร  แถมเพิ่งอัพไปเมื่อวานก็ปกติดี         แต่วันนี้มันไม่ปกติ!!!         นั่งทวนหนังสือสักพักก็เปิดไฟล์จะบันทึกเพิ่มเติม.....แต่หาไม่เจอ  หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับมีใครลบก็ไม่ปาน         ใช้ระบบค้นหาของเครื่องคอมฯ  ได้มาเหมือนกัน  แต่ขึ้นว่า....เปิดไม่ได้นะ  อันนี้เป็น shortcut  คือไม่ใช่ฉบับจริง          เวรกรรม  - _ - ''         สรุปคือหายไปทั้งเรื่องเลยค่ะ  ไม่รู้หายไปไหนและหายไปได้ยังไง....         กิจกรรมยามอู้ของวันนี้แทนที่จะเป็นการนั่งเล่นคอมอ่านหนังสืออ่านเล่นธรรมดา  กลายเป็นว่านั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับระบบสำรองข้อมูล(backup)  หรือระบบที่สามารถเก็บข้อมูลแบบออนไลน์ได้         พอกันทีกับการฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่ฮาร์ดดิส(External  Harddisk)         ตอนแรกกำลังคิดว่าจะสมัคร  One  Drive  ซึ่งเป็นบริการเก็บข้อมูลออนไลน์(Cloud)  ของทางไมโครซอฟ(

เล่าไปเรื่อย : ลูกอีช่างถาม

         เรามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง  นั่นคือเราชอบสงสัยในสิ่งที่ชาวบ้านเขาไม่สงสัยกัน          แล้วพอสงสัยก็จะถามคนใกล้ๆตัว  ตอนที่ยังไร้เดียงสาเราก็ถามไปทั่ว  ผลคือ  หลายครั้งเราโดนคนที่ตอบไม่ได้ในสิ่งที่เราสงสัยเหวี่ยงเอา  "ชาวบ้านเขาไม่ถามกันไม่รู้รึไง"  (ก็สงสัยอ่ะ)          เช่นตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ  เราถามแม่ว่า  ทำไมเฉพาะผู้หญิงที่ต้องติดกระดุมมหาฯลัยกับติดเข็ม  ทำไมผู้ชายไม่ต้องติด?          ผลคือแม่ตอบ(แบบแอบเหวี่ยง)ว่า  'แม่ไม่เคยสงสัยเลย  แม่รู้แค่ว่ามันเป็นกฎและแม่ต้องทำ'  (ตอบไม่ตรงคำถามง่ะ)          และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่โดนแม่เหวี่ยงในอะไรแบบนี้(นี่ก็ไม่ค่อยเข็ด)  แต่จำได้ว่าหลังจากนั้น  เราก็ถามอะไรแปลกๆกะแม่น้อยลง          อีกคำถามแปลกๆที่จำได้แม่น  คือตอนเรียนเรื่องกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืม  จำนอง  จำนำ  ในคาบสุดท้าย  ขณะที่คนอื่นถามเกี่ยวกับบทเรียน  ถามว่าออกอะไร  ถามฎีกา  เรายกมือถามว่า          "พันธบัตรรัฐบาลจำนำได้มั้ยคะ?"  (สาบานได้ว่าเราได้ยินคนหัวเราะด้วย)          คำตอบที่ได้รับจากอาจารย์คือ  &

ดวงกับความสัมพันธ์

      คนที่ศึกษาศาสตร์การทำนายจะทราบว่า  หลาายๆศาสตร์การดูดวงล้วนกำหนดให้ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเป็นศัตรูกับอีกตำแหน่งหนึ่งเสมอ         ทำนายตามกรุ๊ปเลือด  เช่น  กรุ๊ปเอจะไม่ถูกกับกรุ๊ปบี  กรุ๊ปเอบีจะไม่ถูกกับกรุ๊ปโอ         ศาสตร์ของจีน  เช่น  ปีเถาะจะไม่ถูกกับปีระกา  ปีมะโรงจะไม่ถูกกับปีจอ        ดูวันเกิด  เช่น  คนวันศุกร์ไม่ถูกกับคนวันเสาร์  คนวันอาทิตย์ไม่ถูกกับคนวันอังคาร        หรือแม้แต่การผูกดวงตามโหราศาสตร์ไทย  ที่ถือว่าราศีซึ่งเป็นภพเสียของกันและกันจะไม่ถูกกัน         ฯลฯ         คำถามคือ  ในความเป็นจริง  จำเป็นเหรอที่เราต้องตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูกับคนทุกคนที่มีกรุ๊ปเลือด  วัน  ปี  หรือราศีไม่ถูกโฉลกกับเรา  ดังที่เขาทำนายไว้จริงๆ          ถ้าถามเรา......เราว่าไม่จำเป็น         ในฐานะคนธรรมดาทั่วไป  ถามว่าเคยรู้สึกมั้ยว่า  คนนั้นพบหน้าแล้วถูกชะตา  คนนี้พบหน้าแล้วรู้สึกอยากมีเรื่องกัน         โอ๊ย  ทำไมจะไม่เคย  คนนะคะ  เกิดมาอสงไขย  ย่อมมีทั้งมิตรและศัตรูมาแต่ชาติปางก่อนไม่ต่างจากคนอื่นๆ         ยิ่งในฐานะหมอดู  พอมาผูกดวงคนนั้นคนนี้แล้วยิ่งเข้าใจเลยว่

status ที่ไม่เคยเอาลงเฟส (1)

   ตามที่จั่วหัวไว้นั่นแหละ  อันที่จริงคิดไว้หลายอย่างมากแต่ไม่เคยลงเฟสเลย  ตั้งกะยังติดเฟสอยู่จนนานๆเข้าทีแล้ว  ก็ยังไม่ได้ลงซะที    แปะมันตรงนี้แหละนะ   -  เห็นเงียบๆ  วิชามารเพียบนะคะ   -  มีคนเคยบอกว่า  "ทุกความสวยงามมีคนมองเห็นเสมอ"  ถ้าข้อความนี้จริง  ก็แปลว่าเราไม่สวย  ถ้าเราสวย  ก็แปลว่าข้อความนี้ไม่จริง       ......น่าจะเป็นอย่างหลัง... :P   -  นั่งรถผ่านร้านทำผม  เห็นผชนั่งรออยู่ที่ม้านั่งก็คิดว่าคงรอแฟนตัดผม  พอหันไป  เอ๊ะ  ลูกค้ามีคนเดียว.....                แถมเป็นผู้ชายด้วย!!!  (เฮ้ย)   -  ไปร้านหนังสือเจอหัวข้อโรคซึมเศร้า  คิดในใจ  "เราก็เป็น"  คิดไปคิดมา  ถ้าเรารู้ว่าเป็นก็แปลว่าเราไม่เป็นดิ  แต่เราก็ซึมเศร้านะ      ........สงสัยไม่หนัก  -  ถาม  :  แกจะเก็บติ๊กเก้อไลน์ไว้เยอะทำไมวะ  คนคุยด้วยก็ไม่ค่อยจะมี     ตอบ  :  แกจะเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนรอโอกาส  หรือแกจะรอให้เกิดโอกาสก่อนแล้วค่อยหาความพร้อม?  (ตรูก็แถหาความชอบธรรมไปเรื่อย)  -  คนบางคนควรตระหนักว่าการที่เขาไม่มีข้อบกพร่องตามธรรมชาติที่คนบางคนมี  ไม่ทำให้เขามีสิทธิ์นำค

บ่นไปเรื่อย : นิยายกับเรื่องจริง

      นั่งดูรัตนาวดีได้ยินท่านดนัยบอกเป็นนัยๆว่า  เดี๋ยวในอนาคตตัวเองจะพาท่านหญิงรัตนาวดีเที่ยวเองโดยไม่ต้องพึ่งเงินของท่านชายพจน์ฯ  แล้วเกิดอาการเพ้ออยากให้ใครมาดูแลเราแบบนั้นบ้าง  พอดูจบก็กลับมาสู่ความจริงที่ว่า  ชีวิตจริงไม่มีใครพูดแบบนั้นหรอก  นอกจากพ่อแม่เรา...        ...เผลอๆ  แม้แต่พ่อแม่เรา  พอถึงจุดนึงก็ยังเดินมาบอกเราว่า........"เลี้ยงตัวเองเถอะ"          มีใครคุ้นๆว่าตัวเองเคยเพ้อแนวนี้มั้ยคะ ?          การเสพนวนิยายหลายครั้งก็ทำให้เราฝันเฟื่อง  คอยเพ้อไปว่า  บางที  ฉันก็อาจจะเป็นนางเอกกับเขาบ้าง  มี....ชาย(เชิญเติมคำในช่องว่างตามศรัทธา  คุณ/ท่าน/เจ้า/ผู้  ฯลฯ)  มาคุกเข่าแล้วบอกเราว่า  เราคือสุดที่รักของเขา....          น้ำเน่าสิ้นดี!!!         ตื่นๆๆ  ลืมตามาดูเถิด  นางเอกนิยายไม่ได้เยอะแยะจนหาได้ตามท้องตลาดขนาดนั้น  โอเค  ถามว่ามีไหม  ก็คงมี  แต่คือต้องเข้าใจว่าพ่อพระในนิยายไม่ได้กระโดดออกมามากพอสำหรับทุกคน...         .........อย่างน้อยๆก็ไม่ได้ออกมาเจอเราละกัน  เหอๆๆ  (เชิญถอนหายใจได้)         เพราะชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน  ไม่สามารถมีทุกอย่างได

ว่าด้วยเรื่องเหรียญฟรีของไลน์

      ว่าด้วยเรื่อง  "ไลน์"  อีกแล้วค่ะ  คราวก่อนเล่าถึง  "สติ๊กเกอร์"  วันนี้  มาเรื่อง  "เหรียญ"  กันบ้าง  .........แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวกับสติ๊กเกอร์เอาเสียเลย....       ไม่สามารถระบุวันที่แน่นอนได้ว่าไลน์เริ่มแจกเหรียญฟรีให้ผู้ใช้โทรศัพท์และแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยตั้งแต่เมื่อไหร่...       ..รู้แต่ว่าครั้งแรกที่ตัวเองโหลดเกมเพื่อเอาเหรียญฟรีคือวันที่  20  กรกฎาคม  2557  ที่จำได้เพราะตัวเองนั่งโหลดเกมก่อนขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ...วันนั้นพอดี         และยังจำได้ด้วยว่าโหลดมาสี่โปรแกรม  ได้เหรียญ  35  เหรียญต่อ  1  โปรแกรม  รวมเป็น...(แปบนะ  เด็กนิติไม่ค่อยเก่งเลข)  ......140         โอ๊ย  ดีใจมาก  ทั้งๆที่ไม่คิดจะใช้เลย        จำได้อีกด้วยว่าแรกที่แจกนั้น  บัญชีไลน์ไม่จำเป็นต้องลงเบอร์ก็เก็บเหรียญฟรีได้  เก็บไปเก็บมาก็.......อีกแล้วค่ะ  ต้องลงเบอร์นะ  ไม่งั้นไม่แจก         จ๊ะ  ครื้มอกครื้มใจก็ยืมเบอร์ชาวบ้านมาลงเอาเหรียญบ้างไรบ้าง  เหม่  หลังๆนี่งก  ให้ที  2  เหรียญ  5  เหรียญ  แค่นั้นเอง          ..............แต่ก็เก็บ  เก็บมาเร

เสียงของคนเงียบ

          มา  วันนี้ขอเป็นกระบอกเสียงให้คนเงียบอีกสักที  อะไรกันนักหนากับคำกล่าวหาว่าร้ายต่างๆ     ถาม  :  คนเงียบเป็นคนหยิ่ง     ตอบ  :  เข้าใจอะไรผิดป่ะคะ  พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้หยิ่ง  เราแค่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างไม่กล้า  ขี้อาย  หรือไม่ไว้ใจ  ข้อใดข้อหนึ่ง  แล้วถ้าถามว่ามันต่างกันอย่างไร...                  หยิ่ง  =  ฉันมีปัญญาทักคุณ  แต่ฉันไม่ทัก  เพราะฉันเห็นว่าคุณไม่คู่ควรแก่การรู้จัก                  ไม่กล้า  =  ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าทักไป  คุณจะตอบมาหรือเปล่า                  ขี้อาย  =  ฉันไม่คุ้นกับคนแปลกหน้าและไม่สันทัดการเข้าสังคม  จึงเขินที่จะทำความรู้จักกับใคร                  ไม่ไว้ใจ  =  ฉันเคยถูกทำร้ายมา  ฉันไม่แน่ใจว่าคุณจะเอาไมตรีฉันมาทำร้ายฉันหรือเปล่า    ถาม  :  ก็แล้วทำไมทำหน้าบึ้งหน้านิ่งได้ทั้งวันแบบนั้น    ตอบ  :  ถ้าคุณเจอคนยิ้มเรี่ยราดไปทั่วทั้งๆที่ไม่รู้จักใครเลย  คุณจะจับเค้าส่งโรง'บาลบ้ามั้ยล่ะคะ  ถึงเราจะ  "เงียบ"  แต่เราไม่  "โง่"  นะคะ                 อีกอย่าง  ยิ้มไปทั่วจะดูเปิดมากไป  เรา(บางคน)ต้องการอยู่ของเราเงียบๆมากกว

ฝากใครซื้อของต้องระวัง...

               มีเรื่องมาเตือนค่ะ                วันนี้วันพุธ  ซึ่งเป็นวันที่ร้านชาร้านหนึ่งมีโปรโมชั่น  1  แถม  1  เราก็บอกพ่อว่ากลับมาบ้านเนี่ยซื้อชามาด้วยนะ  เอาชานมมัทฉะ  กับชานมน้ำผึ้ง  พ่อก็  โอเคๆ                 มาถึงบ้าน  มัทฉะน่ะถูก  ปัญหาคือ  ไอ้คู่ชานมน้ำผึ้งเนี้ย                 หน้าตามันดูเป็นชาน้ำผึ้ง  ที่ไม่ใส่นม!!!                 เราก็แบบ  เฮ้ยพ่อ  ทำไมหน้าตาเงี้ย  แล้วราคาเท่าไหร่เนี่ย  พ่อบอก  "จ่ายไปร้อยยี่สิบ"                 ถูกต้องเลย  มัทฉะหกสิบ  ชานมน้ำผึ้งหกสิบ.........แต่ที่ไม่ถูกคือไอ้คู่หลังนี่มันไม่ใช่ชานมน้ำผึ้งเนี่ยสิ                 ลองสังเกตด้วยตาและจมูกแล้วสรุปได้ว่า......น่าจะเป็นชาเขียวน้ำผึ้งมะนาว                 แล้วพอเปิดเมนูในเนตดูว่าราคาเท่ากันหรือเปล่า  เมนูที่สั่งกะเมนูที่ได้  ผลปรากฎว่า.......                ไม่เท่าค่ะ  !!!                   ชานมน้ำผึ้งราคา  60  บาท  ส่วนชาเขียวน้ำผึ้งมะนาวราคา  50  บาท                 สรุปง่ายๆคือความผิดพลาดพนักงานทำขาดทุนไปสิบบาท                 โมโหไปโมโหมาเลยหันไปว่าค

Read for the Blind มาอู้อย่างได้บุญกันเถอะ

รูปภาพ
     เนื่องด้วยวันนี้ไม่มีอะไรจะเขียน  แต่ด้วยความเป็นคนชอบอู้  ก็เลยจะมาแนะนำโปรแกรมที่ทำให้การอู้นั้นรู้สึกผิดน้อยลง(นิดนึง:P)      แต่วิธีนี้จะเหมาะแก่ขาอู้ผู้มีหนังสือในมือมากกว่าคนไม่ชอบอ่านหนังสือนะ หุหุ        เคยอยากช่วยคนตาบอดด้วยการบันทึกหนังสือเสียงไหมคะ  ?        แต่บางครั้งก็ลำบากนะว่ามั้ย  จะไปอ่านที่  Central  World  ก็ต้องไปจองเวลาไว้ก่อน  แล้วดันอ่านได้แค่ครั้งละสองชั่วโมง  แถมเลือกหนังสือที่จะอ่านเองก็ไม่ได้  (B2S  บอกว่าจะให้คูปองลดก็ไม่ให้...เอ่อ  นั่นคงไม่ใช่ประเด็น)        หรือจะเลือกไปที่บ้านคนตาบอดโดยตรงเลย  วันดีคืนดีไปถึงคนเยอะ  ก็อ่านไม่ได้อีก  และบางครั้งก็เจอข้อจำกัดเรื่องเวลาและภาระหน้าที่ด้วย         งั้น.....ลองแอพลิเคชั่นนี้ดู  ;)           Read  for  the  blind   หน้าตาแบบนี้               ค่ะ  ก็อย่างที่เห็น  แอพลิเคชั่นนี้ดาวน์โหลดได้ฟรีจาก  Play  Store  ส่วนมือถือและแท็บเลตฟากฝั่ง  Apple  จะมีหรือไม่  คงต้องรบกวนให้ลองหาดู               ........เผอิญไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ของ  Apple  เลย             และต้องขออภัยไว้ล

เพราะรัก...คืออารมณ์

      เคยเจอ  "จุดอิ่มตัว"  ของตัวเองกันบ้างมั้ยคะ       เราเคยเจอนะ  ที่จำได้จริงๆ  ก็สองครั้ง  จะเล่าให้ฟัง(อ่าน)       ตั้งแต่ช่วงมัธยมปลาย  เราชอบนิตยสารวัยรุ่นอยู่เล่มนึง  เป็นเรื่องเกี่ยวกะตอบปัญหาวัยรุ่น  กลอน  แฟชั่น  และที่ชอบที่สุด  คือสารพัดสารพันวิธีทำนายดวงชะตาด้วยแบบต่างๆกัน  ชอบมาก  ตามอ่านตลอด       แต่ด้วยความที่มีความงกในกระแสเลือดสูง  การอ่านส่วนใหญ่ของเราจึงมีสามวิธี  ยืมเพื่อนอ่าน  รอซื้อฉบับลดราคา  และยืนอ่านฟรีตามร้านหนังสือ  ซึ่งส่วนใหญ่.........ก็มักใช้วิธีที่สาม       หาเรื่องไปยืนอ่านจนโดนร้านหนังสือด่า(ในใจ)อยู่หลายปี       จนเมื่อไปเรียนต่างถิ่น  จึงร้างเลยการอ่านไป  เพราะร้านหนังสือเมืองนอกไม่ขายเจ้าเล่มนี้  ครั้นเรียนจบกลับมาเมืองไทย  ก็กลับไปยืนอ่านให้ร้านด่าอีก  เพราะรู้สึกคิดถึงที่ไม่ได้อ่านมานาน       เมื่อหยิบอ่านไปสักพัก  ก็ไปเจอกับคำทำนายหนึ่ง  ซึ่งทำนายตัวเราได้อย่างเสียหายมาก  จนรับไม่ได้..       ณ  ตอนนั้น  เหมือนสายใย  เหมือนความลุ่มหลงที่เคยมีต่อหนังสือเล่มนั้นมันขาดลง  เรามองหนังสือในมืออีกครั้งเหมือนมองสิ่งแปลกหน

"รัตนาวดี" กับข้อคิดดีดีที่ค้นพบ

      วันนี้นั่งดู  "รัตนาวดี"  เป็นเพื่อนแม่ค่ะ       "รัตนาวดี"  เป็นนวนิยายเรื่องสุดท้ายของ  "ปริศนา  เดอะ  ซีรีย์"  ของ  ว.  ณ  ประมวลมารค  หรือ  หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต  อันประกอบไปด้วย  ปริศนา  เจ้าสาวของอานนท์  และรัตนาวดี        "รัตนาวดี"  เป็นเรื่องราวของหม่อมเจ้าหญิงรัตนาวดี  พระขนิษฐาของหม่อมเจ้าพจน์ปรีชา  ผู้ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะอักษรศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง  พระเชษฐาจึงให้รางวัลด้วยการให้ไปเที่ยวยุโรป  (คือดี  ชักอยากเป็นนางเอก  สมบูรณ์แบบมาก)  โดยท่านพจน์ตั้งใจให้  หม่อมเจ้าดนัยวัฒนา  ญาติผู้น้องผู้เป็นทูตอยู่ที่ประเทศสหราชอาณาจักร  เป็นผู้ต้อนรับขับสู้ท่านหญิง  แต่เนื่องจากการสื่อสารคลาดเคลื่อน  ท่านดนัยจึงไม่ได้ไปต้อนรับท่านหญิงที่สนามบิน  ท่านหญิงทรงกริ้วและตั้งใจว่าจะไม่พึ่งท่านดนัยแล้วจึงนำจดหมายไปแจ้ง  เมื่อพบหน้ากันครั้งแรกท่านหญิงเข้าใจว่าท่านดนัยคือ  นายเล็ก  มหาดเล็ก  ท่านดนัยจึงรับสมอ้างเป็นนายเล็กและรับอาสาพาท่านหญิงเที่ยวยุโรป  ความมาแตกเมื่อ  นพพร  นักเรียนไทยซึ่ง

วันปกติที่ไม่ปกติ

       วันนี้ไปสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกเข้าทำงานมาค่ะ        ทุกอย่างก็เหมือนจะปกติดี  ตื่นแต่เช้า  ไปนั่งรอ  เข้าห้องสอบ  มั่วบ้าง  รู้บ้าง  แล้วก็ออกมาทานอาหารกลางวันข้างทาง        และทุกอย่างก็ปกติดี  จนกระทั่ง...  คุยไลน์กับเพื่อนและพบว่า  เพื่อนในกลุ่มอีกคนหนึ่งมีงานทำแล้ว  ในขณะที่ตัวเอง  ยังสอบอย่างบ้าคลั่งอยู่เลย  และเหมือนจะรู้สึกอยู่ลึกๆว่า  จะต้องเป็นคนเดียวในกลุ่มแน่ๆที่ยังไม่มีงานทำ  เพราะเพื่อนอีกคนก็กำลังสอบทำงานเหมือนกัน  ซึ่งเราก็คาดว่า  เธอคงสอบติด...        แต่ทำไมไม่รู้สึกว่าตัวเองจะสอบติดบ้างก็ไม่รู้สิ...        เท่านั้นแหละ  ซึมไปเลย  เหมือนที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า  feeling  blue  แบบนั้นเลย  จนแอบไปตั้งสเตตัสดาร์กๆในเฟสตัวเอง        ตอนไปเดินงาน  Commart  ที่ตกลงกะแม่ไว้แต่แรกก็เดินแบบเนือยๆ  แม่เห็นเขาเล่นเกมกันอยู่  จะลากไปเล่นก็ไม่เล่น        .....ไม่มีอารมณ์....        แต่เราก็ซึมของเราไปเงียบๆ  แบบไม่กะให้ใครสังเกตเห็น  คือไม่อยากให้แม่เป็นห่วง  ตอนเดินก็ยิ้มบ้าง  พูดจาเป็นปกติบ้าง  แต่พอได้เงียบๆ  กลับสู่โลกของตัวเองเมื่อใด  ก็รู้สึกเหมือนจ

เลือกคนแบบไหนก็รับไปเองเถอะ

       โอ๊ยย  ทำไมชั้นต้องมารับรู้คำวิจารณ์ที่บุรุษเพศมีต่อคนข้างๆตัวเองด้วยเนี่ย???        "คือแม่ง  งอแงงี่เง่า  เอาแต่ใจ  ไม่มีเหตุผล  บ่นตลอดเวลา  ข้าวปลาไม่ยอมกิน  ชินกะการแต่งหน้า  บ้าช้อปปิ้ง  เอะอะก็จะทิ้งเกมส์ตู  ดูบอลก็งอน  ทีตัวเองติดละครตลอด  ฯลฯ"         แก  คือ  แกจะเชื่อมั้ย  ถ้าชั้นบอกว่า....    มันมีนะเว่ย.......ผญที่ไม่ดูละครอ่ะ  บางคนแค่อ่านเรื่องย่อแล้วขอดูตอนจบพอ  ขี้เกียจตาม    มันมีนะเว่ย.......ผญที่เห็นแกดูบอลแล้วก็ร่วมดูบอลไปกะแกได้  บางคนติดบอลกว่า(ติด)แกอีก  ปัญหามีอยู่ข้อเดียวคือ  ถ้าดูกันคนละหลีก(league)  แย่งทีวีกันเอาเองละกัน    แต่แกก็ต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้นะว่า  ผญที่ดูบอล  ไม่ได้ดูแค่  "บอล"  แต่ยังดูนักบอล  โค้ช  กรรมการ  และคนอื่นๆที่กล้องถ่ายทอดด้วย  ซึ่งส่วนใหญ่ก็เพศเดียวกะแกน่ะแหละ    มันมีนะเว่ย.......ผญที่ไม่อารมณ์เสียเวลาที่แกบอกว่าแกหยุดเกมไม่ได้  เพราะเค้าก็ชอบเล่นเกมและเข้าใจว่าเวลาที่  "ติดพัน"  นี่คือมัน  "ติดพัน"  จริงๆ  ถ้าแกโชคดีแกอาจได้เพื่อนร่วมเล่นเลยนา     แถมบางคนเกรียนขนา

พล่ามอีกแล้ว : บอกว่ารักยังไง

     หลายคนชอบถามกันว่า  ควรจะแสดงออกยังไงดี  ให้คนข้างๆ(ไม่จำกัดสถานะ  จะเป็นคนในครอบครัว  เพื่อน  หรือคนสำคัญใดใดก็ตาม)  รับรู้ว่าเรารักเขา       บางคนบอกว่า  ไม่ต้องเยอะหรอก  เดี๋ยวจะได้ใจ       บ้างก็บอกว่า  ต้องเยอะเข้าไว้  เดี๋ยวเขาไม่เชื่อว่าเรารักจริง       ถ้าถามเรา  เราว่า  แบบ  "พอดีพอดี"  น่าจะดีที่สุด  แต่ปัญหาก็คือ  หลายคนมักหาไม่เจอ  ว่า  "พอดี"  เนี่ย  ต้องทำยังไง       ก็.....ไม่รู้เหมือนกัน(อ้าว)  แต่  แค่  รู้สึกว่า  พอดี  คือไม่ล้นจนเดือดร้อนกันสองฝ่าย  และไม่น้อยจนไม่มีตัวตน      สิ่งสำคัญคือต้องยืนยันความรู้สึกให้อีกฝ่ายเชื่อด้วยการกระทำ  ไม่ใช่สักแต่ว่าพูด     เราจะเชื่อมั้ยถ้าใครสักคนบอกว่าเราสำคัญกับเขา  แต่เจอกันทีไรคุยแต่เรื่องของตัวเอง  หรือไม่ก็เรื่องที่ตัวเองสนใจ  พอเราอยากเล่าอะไรบ้างก็ตัดบท  หรือไม่ก็พยายามเชื่อมโยงกับสิ่งที่ตัวเองรู้  เพื่อครองการพูดต่อตลอดเวลา...     เราจะเชื่อมั้ยถ้าใครบอกว่าเขาใส่ใจเรามาก  แต่มองเราแต่ละครั้งก็พูดแต่  "นี่สิวขึ้นอีกแล้วเหรอ  ไม่ดูแลหน้าล่ะสิ..."     เราจะเชื่อมั้ยถ้าใ

สติ๊กเกอร์ไลน์ฟรี กับ วีรกรรมที่ผ่านมา

   วันอังคารมาแล้ว =D    สำคัญยังไงอ่ะเหรอ  ก็วันนี้เป็นวันโหลดสติ๊กเกอร์ไลน์ฟรีประจำอาทิตย์ไงล่ะ ^-^    รู้จัก  "ไลน์"  ครั้งแรกตอนไปเรียนปริญญาโท  เพื่อนแนะนำว่าให้ใช้แอพฯนี้จะได้ติดต่อกันง่าย  พอใช้ๆไปก็  เออ  ดีนะ  นอกจากจะทำให้คนใกล้กันติดต่อกันสะดวกแล้ว  ยังทำให้คนไกลกันคุยกันได้ง่ายขึ้นด้วย  (คนนึงอยู่อังกฤษ  คนนึงอยู่เมกาไรงี้  เมาท์ได้ประหนึ่งว่าห้องติดกัน)   อีกสิ่งหนึ่งที่สะดุดใจจากบริการ  "ไลน์"  ก็คือบริการที่เรียกว่า  "สติ๊กเกอร์"  ตลกดีนะที่เราสามารถส่งตัวการ์ตูนปากเบ้แทนการบอกว่าเราอารมณ์ไม่ดี  หรือส่งตัวการ์ตูนทำท่าโค้งเคารพแทนการบอกว่า  ขอบคุณ  เออดีจัง  ถูกจริตคนชอบใช้อวัจนภาษา  555  (อวัจนภาษา  คือ  ภาษาที่สื่อความโดยไม่ต้องใช้การพูดหรือตัวอักษรค่ะ)   แรกเริ่มไลน์แจกมาสี่ชุด  ก็วนใช้อยู่แค่นั้น  จนกระทั่งเข้าสู่ยุคการโหลดสติ๊กเกอร์ฟรีต่างๆ  ดังนี้   หลังจากใช้ไลน์สักพัก  หลายคนอาจจำได้ว่าจะมีเพจ(ส่วนใหญ่ในเฟสบุ้ค)บางเพจ  ซึ่งเป็นเพจทำธุรกิจเกี่ยวกะสติ๊กเกอร์ไลน์เนี่ยแหละ  ประกาศว่า  มีประเทศนั้นประเทศนี้แจกสติ๊กเกอร์ฟรี  ถ

พล่ามไปเรื่อย : คนข้างๆ

     ใครบางคนกล่าวไว้ว่า  "เพราะโลกมันกว้าง  คนข้างๆจึงสำคัญ"      นั่นจริงมาก  แต่ความเป็นจริงมีอยู่ว่า  ไม่ใช่ทุกคนที่โชคดี  มีคนข้างข้าง...       คนทั่วไปต่างหวังว่าตนจะมีชีวิตที่เปี่ยมสุข  มีงาน  มีเงิน  มีสุขภาพดี  และได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเรา       ........แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีแบบนั้น       บางคนมีทั้งคนรักและเพื่อนที่แสนดี  ขณะที่คนบางคนไม่มีใครเลย...       บางคนรายล้อมไปด้วยกัลยาณมิตร  ในขณะที่บางคนไม่มีแม้แต่คนเข้ามาทำความรู้จัก  หรือแย่กว่านั้นคือ  เจอคนรอบข้างหลอกหรือทำให้เจ็บช้ำอยู่ร่ำไป        สรุปก็คือใช่ว่าทุกคนจะได้ทุกอย่างดังที่ตัวเองฝัน        ......ชีวิตมันก็ไม่เท่ากันแบบนี้แหละ        แล้วพอไปอ่านนิยาย  ดูละคร  อ่านการ์ตูน  โอ้  ยิ่งทำให้ฝันเฟื่องกันไปใหญ่  โดยเฉพาะ...ผู้หญิง        เรื่องแต่งสอนเราว่า  แค่เป็นตัวของตัวเอง  เป็นคนดี  และมีความสวยอยู่บ้าง....ก็จะมีคนมารักเอง  และถ้าโชคดี  จะได้ทั้งคนที่รักเราจริงและสมบูรณ์แบบ...        .....นี่ก็เป็นตัวของตัวเองสุดๆละนะ  ไหน(วะ)  คนมารัก?        ........หรือยังดีไม่พอ  ก

อยากมีแฟนมั้ยแก?

      เกลียดจังเลย  เวลามีคนถามว่า  ทำไมอายุป่านนี้แล้วยังไม่มีแฟน....       แล้วก็มาถามต่อว่า  แล้วโสดอยู่แบบนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง  ก็...........  (หมายเหตุ  :  แต่ละเหตุการณ์อาจไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน  บางเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นห่างกันมาก  แต่เพื่อความสะดวกในการสาธยาย  เราจะอธิบายเป็น  Timeline  ไปเลยรวดเดียว)     คือ.....มันก็เหงาๆนะ  เวลาไปไหนมาไหนคนเดียวแล้วเห็นชาวบ้านมากันเป็นคู่ๆ....  เฮ้อ  เดินไปทางอื่นดีกว่า  (นี่ก็โรคจิต  ชอบตอกย้ำความเดียวดายด้วยการไปไหนมาไหนตามลำพัง)    แล้วก็...นั่งกินอาหารคนเดียว  เหลือบไปเห็นคู่รักกะลังป้อนข้าวกันอยู่  โอ้  ชาเย็นชักจืด  ก้มหน้าก้มตากินดีกว่า  'เก็บตังค์ด้วยค่ะ!!!'   ยิ่งวันวาเลนไทน์นี่  โห  ชาวบ้านเอากุหลาบมาโปรยเหรอ  เพื่อนด้านขวาได้ตุ๊กตาตัวเบ้อเริ่ม  เพื่อนด้านซ้ายแฟนเอารูปไปสแกนใส่กรอบให้...        อิจฉามั้ยเหรอ.....ก็ไม่รู้สินะ   ....ทำอะไรดี  นั่งดูเค้าจีบก็ได้มั้งเนาะ  ว่าแต่  ช่วงนี้ชอคโกแลตลดราคาใช่มะ  555       เปิดเฟสบุ้ค  เห็นเพื่อนโพสต์  "ขอบคุณมากนะคะที่คอยรับฟังเราเสมอเวลาเราไม่สบายใจ.."