บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กรกฎาคม, 2016

หลังคราบน้ำตาที่ผ่านไป

     เราปิดเฟสบุ๊คไปแล้ว      ค่ะ  อ่านไม่ผิด  เราปิดเฟสบุ๊คไปแล้วจริงๆ     สาเหตุนั้นเนื่องมาจากเพื่อนเราหลายคนเริ่มสอบผ่านไปเรื่อยๆ  จนเรารู้สึกเซ็งที่จะเข้ามาแล้วเห็นการแสดงความยินดีเต็มฟีตไปหมด      "เบื่อชีวิตมาก  ปิดเฟสดีกว่า"  นั่นคือบทสรุป      ถามว่าอิจฉาเหรอ  ก็ไม่เชิงนะ  แค่รู้สึกแย่ที่ยังไม่ถึงวันของตัวเองเสียที      "ถ้าแผลเป็นยังไม่หาย  ก็ควรถอยออกมาดีกว่ายังเข้าไปดูเพื่อทำร้ายตัวเอง"  เห็นไหม  คลับฟรายเดย์ยังบอกไว้เลย      ...อ้างไปเรื่อย...      แล้วผลสอบก็ทำให้อาการซึมเศร้าที่เหมือนจะหายเริ่มจะกำเริบขึ้นมา      ....แต่จะว่าไป  ก็ไม่ได้ย่ำแย่แบบตอนสอบอัยการหรอก  เพราะ      ...กำลังทอดหุ่ยอยู่กับชีวิต  เหมือนจะร้องไห้  จู่ๆดันเหลือบมองรอบด้าน      "อ้าว  ตูอยู่ที่ทำงานนี่หว่า"      ร้องไห้ให้คนอื่นเห็นนี่มันดูเสียชาติเกิดนะ  อย่าเลย      ...กำลังตกอยู่ในภวังค์เหมือนจะสิ้นหวัง      จู่ๆ...เสียงคุยเพื่อนร่วมงานก็ดังขึ้น      หัวเราะ...  ไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะนะ  แต่มันตลกอ่ะ  :P      'เฮ่ย  ทำไมชีวิ

อย่าต้อนคนให้จนตรอก อย่าต้อนหนูให้จนมุม

     มีบ้านใครมีแขกไม่ได้รับเชิญบ้างไหมคะ?      ตอนนี้บ้านที่เราอยู่วันทำงานกำลังประสบปัญหามีผู้ร่วมชายคาโดยเจ้าของบ้านไม่เต็มใจ  มันคือ      ...สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า  "หนู"      และทุกคนดูจะเครียดกันมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น  โดยเฉพาะแม่      ลำดับแรก  พวกเราเริ่มวางกาวดักหนูเพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่เราสงสัยนั้นจริงหรือไม่      ....ซึ่งพวกเราได้ประจักษ์แล้วว่ามันจริง      จากนั้น  แม่จึงเริ่มจำกัดพื้นที่ด้วยการสำรวจว่าหนูน่าจะอยู่ตรงไหน  ซึ่งเมื่อได้พื้นที่ต้องสงสัยแล้ว  พวกเราทุกคนก็จะหลีกเลี่ยงการเยื้องกรายไปที่นั่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้      สมาชิกในบ้านเริ่มขวนขวายหาวิธีกำจัดหนูกันจ้าละหวั่น      แล้วจู่ๆ  แม่ก็ผุดไอเดียขึ้นมาว่า  เราควรปรับพื้นที่ๆเราจำกัดให้หนูอยู่  โดยเริ่มทำให้มันสะอาดเรียบร้อยและคุมเรื่องเศษอาหาร      นั่นเป็นความคิดที่ดี  แต่เราไม่เห็นด้วยเสียทีเดียวนัก  เพราะความทรงจำบางของเราย้ำเตือนว่า  วิธีนี้มีความเสี่ยงพอดู...      ย้อนกลับไปช่วงที่เราเรียนปริญญาโทใบที่สอง  เราเปลี่ยนหอพักจากหอพักห้องน้ำรวมมาอยู่หอพักอีกแห่งที่มีห้อ

เล่าไปเรื่อย : เขียนระบายอารมณ์

     เราไม่รู้เหมือนกันว่าทั่วไปแล้ว  คนเรามีวิธีระบายอารมณ์ตัวเองอย่างไร      แต่สำหรับเรา  หลายครั้ง  เราเลือกที่จะเขียนมันออกมา      ย่อเป็นคำคมสองสามประโยคได้ก็จะย่อ  บางทีก็ลงในเฟสบุ๊คบ้าง  ไลน์บ้าง  แล้วแต่สะดวก      ขยันเขียนเป็นร้อยแก้วได้ก็เขียน      หรือไม่  หากนึกบทแรกออกมาได้  ก็จะแต่งเป็นบทกลอนไปเลย      คนบางคนอาจจะรู้สึกว่าวิธีสุดท้ายมันช่างยุ่งยาก  ทำไมถึงไม่บ่นล้งเล้งไปเลย  ง่ายกว่ากันเยอะ      ใช่  สบถออกมาเลยง่ายกว่ามาก.....แต่มันไม่มีอะไรเก็บไว้อ่านเลยในภายหลัง      .....ซึ่งเราไม่ชอบเลย      แล้วสำหรับเรามันไม่ได้ยากอะไร  ขอแค่คิดบทแรกออกเท่านั้น      ...ที่เหลือปล่อยให้อารมณ์คั้นมันออกมาก็พอ      เช่นตอนอยู่เมืองนอกที่จู่ๆดันคิดถึงบ้านขึ้นมา  ถ้าแค่โพสต์ว่า  คิดถึงบ้าน  ใส่เฟส  มันก็จบ      ....แต่มันไม่เก๋เลยในความรู้สึกเรา  ทันใดนั้นเอง  กลอนท่อนแรกก็ลอยเข้ามาในความคิด      "ฝากรัก  จากใจ  คนไกลบ้าน       ช่วยเจือจาน  การคิดถึง  คนึงหา..."      เท่านี้เราก็มีอะไรเก็บไว้อ่านแล้วว่า ณ ช่วงเวลานั้น  เรารู้สึกอย่างไร  

เมื่อ "ไม้กันหมา" ทำร้ายเจ้าของ

     พอเริ่มเข้ามัธยมปลาย  หลายบ้านมักจะเริ่มปลูกฝังลูกตัวเองว่า  ต้องเข้ามหาวิทยาลัยนั้น  มหาวิทยาลัยนี้ให้ได้นะ  เพราะเมื่อจบออกมาแล้วจะมี "ภาษี" สังคม  ที่ดีกว่าเด็กที่จบมหาวิทยาลัยอื่น  บ้างก็ว่าการเข้ามหาวิทยาลัยนั้นนี้ได้มักจะเป็น "ไม้กันหมา" ที่ดี  เวลาเข้าทำงานในอนาคต      แต่  รู้หรือไม่  จริงๆแล้ว  ในหลายๆครั้ง  "ไม้กันหมา"  ที่ว่าดี  กลับกลายเป็นไม้ที่ทำความเจ็บปวดให้กับผู้คนที่จบจากมหาวิทยาลัยที่สังคมให้การยกย่องเสียเอง  ในบางแง่มุม      วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่า  กระแสแง่ลบที่บัณฑิตซึ่งจบจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆนั้น  มีอะไรบ้าง      ฟาดครั้งที่หนึ่ง  :  ความคาดหวัง      การเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นๆได้มักเป็นสิ่งที่เด็กและผู้ปกครองหลายคนใฝ่ฝัน  นั่นส่งผลให้นิสิตหรือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยดังกล่าวได้รับการมองว่า  "สูงส่งกว่าที่อื่น"  ผลที่ตามมาคือ  พวกเรามักถูกคาดหวังมากกว่าที่ควรจะเป็น      ซึ่งหากทำได้ก็เพียงเสมอตัว  "โหย  เด็กม....ซะอย่าง  ทำไม่ได้สิแปลก"  คือแบบ  บางทีมันใช้ความพยายามมากนะ  ช่วยให้เครดิตเจ้าตั

กรรมอยู่ที่ใจ ไม่ใช่สถานะ

     สวัสดีค่ะ :)      เผอิญเช้าวันนี้เราได้อ่านหนังสือซึ่งมีบทความเกี่ยวกับธรรมะ  แล้วดันไปสะดุดเข้ากับบทความถามตอบหนึ่งเข้า  อันมีใจความสรุปได้ว่า...      "การไม่มีคู่ เกิดจากเวรกรรม.."       ด้วยความเคารพอย่างสูง  แต่เราว่ามันไม่ใช่อ่ะ      จริงอยู่ที่ว่า  การมีคนรักที่ดี  มีความรักที่สุขสันต์  เป็นสิ่งยอดปรารถนาของใครหลายๆคน      ...และเป็นความหวังยอดนิยมสากลตลอดกาลด้วยนะ  เชื่อไหมล่ะ      ใครก็ตามที่ได้อะไรแบบนี้มักได้รับการสรรเสริญว่าเป็นคนมีบุญ  จึงมีชีวิตที่เหมือนฝันได้ขนาดนั้น       ในทางกลับกัน  การเป็นโสดกลับถูกมองว่าเป็นเรื่องอาภัพอับโชค  เป็นปมร้ายที่ถูกหยิบยกมากระแนะกระแหนอย่างออกหน้าออกตา      ...ไม่ว่าจากคนที่มีคู่  หรือตัวคนโสดหลายคนเองก็ตาม      แต่...มันเป็นแบบที่คนเชื่อกัน  ว่าโสดคือกรรมหนักกว่า  จริงๆหรือ?      โลกนี้ไม่ใช่นิยายสิบสตางค์  หรือเทพนิยายปรำปรา  ที่ตอนจบพระเอกกับนางเอกจะครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป  เสมอไป       ....ถูกไหมคะ?      และถ้าใครสักคนจะมาบอกเราว่า  ตลอดชีวิตที่ผ่านมา  เขาพบเห็นแต่คู่รักที่มีแต่ความสุข

เล่าไปเรื่อย : ไม่ถาม..ก็ไม่ตอบ

     เรามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง  นั่นคือ      ถ้าเราถามชื่อใครแล้วเขาไม่ถามกลับและเราสัมผัสได้ถึงการไม่สนใจ...  เราก็จะไม่บอกชื่อตัวเอง  :p      เราไม่รู้ว่ามันคือการหยิ่ง  มนุษยสัมพันธ์ไม่ดีรึเปล่า  เราคิดแค่ว่า      ถ้าเราต้องง้องอนใครสักคนเพียงเพื่อให้เขาอยากรู้จักเรา..ถ้างั้น      เราก็ไม่อยากให้เขารู้จักเราหรอก      โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ถ้าไม่ประจักษ์ชัดว่าในภายภาคหน้าจำเป็นต้องมีไมตรีต่อกันแล้วล่ะก็..      ...งั้นฉันรู้จักเธอแค่ฝ่ายเดียวก็ได้จ้ะ      คือ  โอเค  ถ้าในวงงานที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน  ในวงศาคณาญาติที่ควรต้องฝากเนื้อฝากตัวแก่กันนั้น  การรู้จักมักจี่กันไว้ย่อมเป็นสิ่งจำเป็น      แต่หากเป็นการเจอกันแค่ชั่วครู่ชั่วยามแล้วแยกกันไป....      เราไม่เคยรู้สึกว่าเราต้องเสียอะไร  กับการไม่อ้อนวอนขอไมตรีจากใครสักคน      เพราะอะไรน่ะรึ?      เพราะถ้าแค่ในเรื่องส่วนตัวแล้ว      ....อยากรู้อะไร  เราคิดเองหาเองได้      ....อยากไปไหน  อยากใช้ชีวิตยังไง  เราก็ปรึกษาตัวเองเป็นหลัก      ....อยากฟังดนตรี  เราก็ร้อง/เล่นดนตรีให้ตัวเองฟังเองได้      ..

เมื่อแม่หมอถูกของเข้าเสียเอง

    เคยได้ยินประโยคนี้ไหม     "หมอผีโดนของเข้าตัวเอง  จนกลายเป็นภูติผีปีศาจไปด้วย"     นั่นล่ะ  อาการของเราตอนนี้      คือ  อย่างที่ทราบ  เราเป็นหมอดู  เราดูลายมือได้  จับยามได้ เราผูกดวงและอ่านดวงตามหลักโหราศาสตร์ไทยเป็น      และลูกค้าก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ      พอดูแม่น  จับยามตรงแต่ละครั้ง  คนรอบข้างก็จะเริ่มแวะเวียนมาถามโน่นนี่บ่อยขึ้น     แต่ตอนนี้  แม่หมอกำลังรู้สึกว่าถูกของเข้าตัวเองอยู่      ของเข้าที่ว่านี้ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่ไหนมาสิงร่าง  แต่มันคือความรู้สึกยึดติดว่า  เราควรเช็คดวงตัวเองทุกๆวัน      และนำคำทำนายที่ว่านั้น  มากำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเอง      คือ  ก่อนจะเรียนดูดวง  ยอมรับนะว่าสนใจเรื่องนี้อยู่พอสมควร  เพียงแต่ว่าตอนนั้น      ...มันยังไม่อาการหนักแบบตอนที่เป็นอยู่นี้      ทีนี้  ถ้าคำทำนายออกมาดี  มันคงไม่มีปัญหา ปัญหาคือ  คำทำนายบางวัน  บางช่วงของชีวิต  มันออกมาย่ำแย่มาก...      ...แล้วก็ยังเชื่อเพื่อเอามากดดันตัวเองอีก...      หรือจะเป็นกรรมที่ทำให้เพื่อนต้องใส่ใจเรื่องดวงชะตามากเกินไป???      แล้วจู่ๆ  เราก็รู้สึกขึ้นมาว