บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2017

ได้ทั้งนั้น

     เคยฟังเพลง "ได้ทั้งนั้น" มั้ยคะ      เพลงนี้เป็นผลงานการแต่งของคุณแสตมป์ อภิวัชร์ และขับร้องโดยวง เฟย์-ฟาง-แก้ว (FFK)      ใจความในเพลงคร่าวๆคือ  คนร้องยินดีจะเป็นทุกอย่างเพื่อความสุขของคนที่ตัวเองรัก      โอ้....โห....ซึ้ง      เผอิญเมื่อวาน  เราอารมณ์เสียเนื่องจากเล่นเกมไม่ผ่านสักที  พอสงบอารมณ์สักพัก  จู่ๆ  เราก็ฮัมเพลงนี้ออกมา      ฮัมเนื้อไปแล้วคิดตาม  ชักเริ่มตั้งคำถามว่า      "ทำไมเราไม่มีใครมาทำแบบเพลงนี้ให้บ้าง..."      แต่ก่อนที่ความสงสารตัวเองจะทำหน้าที่ของมัน  จู่ๆก็มีเสียงหนึ่ง  ดังก้องอยู่ในหัว       "ก็เป็นให้ตัวเองซะสิ"       เอออออ  พูดจามีประเด็น      แล้วเลยลองเอาเนื้อเพลงแต่ละท่อนมาลองจับว่า  เราสามารถเป็นแบบนี้ให้ตัวเองตามเพลงได้หรือไม่  นี่คือผล      " เธอต้องการใครสักคนใช่ไหม....ดูแลแต่เธอทุกๆวัน " (เดี๋ยวประเด็น คนรู้ใจ จะเอาไปรวมในท่อนฮุก)      .....เราควรดูแลตัวเองให้ได้  ไม่สิ  เราต้องดูแลตัวเองให้ได้  เพราะเราเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง  ดังนี้  เราจึงเป็นคนเดียวที่น่าจะหาท

introvert ในโลกกว้าง

     เกิดเป็น introvert นี่มันลำบากนะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ในโลกที่มีแต่ extrovert เต็มไปหมดแบบนี้      พวก extrovert ชอบงานสังสรรค์รื่นเริง  พอถึงเทศกาลสำคัญๆ  พวกนี้ก็มาบีบบังคับเราว่า  ต้องอยู่ร่วมงานนะ  ไม่งั้นถือว่ากระด้างกระเดื่อง  ไม่มีมารยาท  ยิ่งเด็กใหม่ๆในที่ทำงานนี่  โอ๊ยยยย  อะไรนักหนา      ไม่เห็นใจคนไม่ชอบเข้าสังคมก็ช่วยเห็นใจคนบ้านไกลนิดหนึ่งไม่ได้เหรอ      แอบบ่น  คือ  เอาอะไรมาวัดว่าการร่วมกิจกรรมพวกนี้คือคุณลักษณะที่พึงประสงค์อ่ะ  อีกะแค่อยู่แปบเดียว  มันเทียบเท่าการตั้งใจทำงานเป็นวันๆได้จริงๆน่ะเหรอ???      พวก extrovert ชอบไปไหนกันเป็นกลุ่มๆ  แล้วพอเรารู้สึกว่าคนมันเยอะไป  แถมบางครั้งไปตั้งไกล  ให้เราเดินตามไปอีกงี้      แล้วพอเราไปคนเดียว  ก็มาเขม่นเราอีก  เอ๊าาาา  อะไร  คนเราก็ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่คนเดียว  ทำไมจะไปคนเดียวไม่ได้ล่ะ      บางคนก็ออกแนวสงสาร  วันหลังบอกดิ  จะไปเป็นเพื่อน  เอ่อ  ก็ขอบคุณที่เป็นห่วง  แต่การกินข้าวคนเดียวมันไม่ได้น่าห่วงอะไรขนาดนั้นสักหน่อย      เพียงแต่ว่า  ถ้าเดินไม่ระวังแล้วหวุดหวิดโดนรถเฉี่ยว  มันก็จะใจหายใจคว่ำนิดหน

หูที่หายไป

    เราเป็นคนที่มีชีวิตอยู่โดยไม่ค่อยมีคนรับฟัง       ตั้งแต่เล็กๆ  ด้วยความที่เราเป็นคนที่เด็กที่สุดในบ้าน  นั่นทำให้ทุกคนรู้สึกว่า  ในการสนทนานั้น  หน้าที่หลักของเรา      ...คือฟัง...      ดีที่สุดที่เรามี  คือคนที่ปล่อยให้เราพูดไปเรื่อยๆจนพอใจ  แล้วค่อยนำสิ่งที่เราพูดมาหาว่ามีอะไรควรจะหาวิธีแก้ปัญหาบ้าง  หรือไม่ก็เล่าเรื่องตัวเองที่คล้ายๆกับเราให้ฟัง  (ที่ใครบอกว่าเวลาผู้ชายฟังปัญหา  เขาจะพยายามหาวิธีแก้ปัญหา  ข้าพเจ้าพิสูจน์แล้วว่า...เป็นความจริง)      บางทีก็ฟังเพลินๆไป  แต่เวลาที่เครียดมากๆ  บางครั้ง  เราก็อยากแค่ระบาย  ไม่ได้อยากฟัง      แย่ลงมาอีกหน่อยคือฟังเราพูดเหมือนกัน  แต่ฟังแล้วเอาไปป่าวประกาศต่อ      ....ถือเป็นการทรยศต่อความไว้ใจอย่างหนึ่ง  ต่อแต่นั้นจึงไม่ได้เล่าอะไรมาก  เว้นแต่มีวัตถุประสงค์เคลือบแฝง...      แย่กว่าคือฟังเราอยู่ประมาณสองสามประโยค  แล้วงัดเรื่องตัวเองมาพูดต่อ  ไม่สนใจฟังเราอีกเลย       นั่นยังดีหรอก  แย่ที่สุดคือฟังแล้วหาเรื่องมาตำหนิเราแทบจะทันทีโดยไม่ได้มารู้อะไรกับเราด้วยเลยว่าเราผ่านอะไรมาบ้างจึงเป็นแบบนั้น      จะว่าไป  บางครั้งเรา

มันถูกกำหนดไว้แล้ว

     ตอนขึ้นปีสอง  เราได้ทำบ้านรับน้องปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัย  ซึ่งในตอนแรกนั้น  เรารับหน้าที่เป็นฝ่ายทะเบียน  ที่คอยประจำอยู่ซุ้มหน้ามหาวิทยาลัย  ไม่ต้องปะหน้าปะตาน้องๆ  โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไปถึงมหาวิทยาลัยตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อเตรียมระบบลงทะเบียน      .......ซึ่งเป็นเจตนารมย์ของข้าพเจ้าเองที่ไม่ต้องการพบหน้าผู้คน      แต่แล้ว  เมื่อวันงานมาถึง      เราตื่นขึ้นเมื่อตอนเจ็ดโมงเช้าและพบว่า  โทรศัพท์ของตัวเองมีสายไม่ได้รับนับครั้งไม่ถ้วน      .............เพื่อนโทรตามว่าทำไมไม่มาสักที................      ท้ายที่สุด  นางคนเขียนเลยต้องประจำอยู่ฐานรับน้อง  มีหน้าที่ดูแลเทคแคร์น้องๆไปตามระเบียบ...      และด้วยความที่คุยไม่เก่ง  นี่ก็ไม่ค่อยจะคลิกกับใครเขาเล้ยยยย  จนกระทั่ง      ช่วงเที่ยง........เราไปนั่งกินข้าวหันหน้าชนกับน้องคนหนึ่ง  น้องคนนั้นแนะนำตัว  และบอกว่าอยู่คณะๆหนึ่ง  ซึ่งอยู่ใกล้กับคณะของเรา      "พี่ชอบไปกินน้ำปั่นที่คณะน้อง"  นั่นคือคำที่เราทักและยิ้มให้น้อง  แล้วเราก็แลกเบอร์และสื่อในการติดต่อของกันและกัน      ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  ทุกวันนี้  น้องคนนั้นเ

เส้นเจอคนถูกใจ

    เวลาดูลายมือ  คำถามท็อปฮิตที่สุดอย่างหนึ่งที่คนจะถามกันคือ...      "เมื่อไหร่จะเจอเนื้อคู่"      ซึ่งไม่สามารถตอบไปว่า  "ไม่รู้สิ  แม่หมอก็ยังไม่เจอเลย"  ได้      เพราะนอกจากลูกค้าจะหายหมดแล้ว  เผลอๆยังอาจโดนลูกค้าตะบันหน้าเอาได้      แต่  ไม่เป็นไร  เราได้รับการสอนมาแล้ว  ว่าจะดูว่าจะเจอคนถูกใจช่วงนี้หรือเปล่านั้น  ต้องดูเส้นไหน     มันคือเส้นที่ลากจากเนินจันทร์  ซึ่งคือพื้นที่บริเวณใต้นิ้วก้อยและเส้นจิต(เส้นแนวนอนยาวๆที่อยู่ใกล้นิ้วก้อยมากสุด) ไปชนกับเส้นวาสนา(เส้นแนวตั้งที่อยู่ประมาณกึ่งกลางฝ่ามือ)          หลักคือ  ต้องลากไปชนเท่านั้น  จึงมีแนวโน้มที่จะเจอ ...ถ้ายังไม่ถึง  แปลว่ายังไม่เจอ ...ส่วนถ้าตัดผ่านเส้นวาสนาไปแล้ว  แปลว่าผ่านไปแล้ว      ไม่น่าเชื่อว่าเส้นๆเดียวเนี่ย  หากินได้หลายงาน  และทำให้แต่ละคนเพ่งดูมือตัวเองกันอย่างเอาจริงเอาจัง ....ที่เส้นยังไม่ชนก็ง้องแง้งว่าทำไมยังไม่ชน  แล้วทำท่ามุ่งมั่นจะเติมเอาเอง(อย่าเชียว...เดี๋ยวเส้นขาดขึ้นมาจะยุ่ง) ....ที่เจอว่าชนแล้วก็ตะโกนอย่างดีใจว่าชนแล้ว  บางส่วนหันมาถามแม่หมอว่า  ไหนล่ะ(หาเองม

หวัดกับความรัก

    หากความรักจะเหมือนโรคภัยไข้เจ็บสักอย่าง  มันคงจะเหมือนโรคหวัด      ...แทบไม่มีใครไม่เคยเป็นหวัด      ...หวัดชอบย่องมาหาเราในยามที่ร่างกายหรือจิตใจอ่อนแอ  รู้ตัวอีกที  ก็เป็นหวัดไปแล้ว       ...ไม่ถึงกับตาย  และหายได้เอง  เว้นแต่เจอเชื้อรุนแรง  หรือมีโรคแทรกซ้อน       ที่สำคัญ      ... ไม่ว่าจะเป็นหวัดมากี่ครั้ง  ดูเหมือนจะไม่มีภูมิคุ้มกันหวัดดีขึ้นมาสักที  ยังคงกลับไปเป็นหวัดได้อยู่เรื่อย       ...ความรุนแรงของเชื้อก็ไม่เท่ากัน  ขึ้นอยู่กับว่า  ไปติดเชื้อตัวไหนมา       หวัดแย่กว่าความรักตรงที่  เราไม่สามารถปิดใครเวลาที่เราเป็นหวัดได้  เพราะอาการมันจะแสดงออกมา      แต่หวัดก็ดีกว่าความรักตรงที่  มันหายได้เองโดยไม่ยุ่งยากวุ่นวายอะไร      ..........ไม่เจ็บตัว  และไม่เจ็บใจ  เท่าใดนัก       เบื่อจังเวลาเป็นหวัด  ไม่สบายตัวเล้ยยยย 

วิถีเกมเมอร์

     กับเรื่องที่คนไม่เล่นเกมอาจไม่เข้าใจ      1. วงจรการเล่นเกม      เจอเกมที่อยากเล่น >>>> หามาเล่น >>>> เล่นจนจบ/สาแก่ใจ >>>> เลิกเล่น/ลบไป      เกมไหนที่เล่นแล้วยังเก็บไว้เล่นอีก  มันต้องสนุกมากหรือพิเศษมาก  ถามว่ามีไหม  มี  แต่ไม่เยอะหรอก      2. เล่นเกมเสียสตางค์/เวลา/สายตา  แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าติดยาละกัน      3. อาจารย์บอกว่าให้หาเวลาเล่นกีฬาเสียบ้าง      อาจารย์คะ  ตอนนี้เกมถือเป็น e-sport แล้วนะคะ  /  หลบหมัด      4. สิ่งที่ผู้ชายไม่เล่นเกม กับ ผู้หญิงเล่นเกม โดนเหมือนกัน  คือโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ      เกมเมอร์ไม่มีเพศค่ะ  มีแต่เล่นกะไม่เล่น      จบมะ!?!      5. นั่งมองยอดเงินในเกมแล้วรู้สึกว่า  ถ้าเอามาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้      รับรองรวยเละ!!!      6. ที่เห็นเก่งๆในเกม  เช่น  โบวลิ่ง  เทนนิส  แต่งตัว  สืบสวน  หาของ  จีบหนุ่ม/สาว  หรือแม้แต่      .......วิ่งตามใครสักคน      ชีวิตจริง  บางอย่างก็ง่อยนะ  -_-      7. ถึงการเล่นเกมให้ชนะด้วยตัวเองได้จะเป็นที่สุดแห่งความสาแก่ใจ  แต่บางครั้ง....สูตรโกงเกม

หน้าที่ของระยะทาง

     ระยะทางมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?      เอาไว้วัด!      ผิด  เอ๊ย  ไม่ผิด  แต่ก็ไม่ถูกนัก  ไม่ถูกต้องตามที่ใจคิด      ถ้าจะกล่าวกันในทางนามธรรมอันมีผลกระทบต่อจิตใจแล้วเนี่ย  เราว่า  ระยะทางมันก็มีประโยชน์ดังต่อไปนี้      1. เป็นเครื่องทดสอบความผูกพัน      ถ้าเลือกได้  คงไม่มีใครอยากอยู่ห่างจากคนที่เรารัก  ไม่ว่าจะเป็นแฟน  เพื่อน  หรือครอบครัวก็ตาม  แต่ความเป็นจริง  ชีวิตก็ไม่สามารถเลือกได้ดังใจเสมอไป  ดังนั้น  การต้องอยู่ห่างไกลคนที่ห่วงใยจึงเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิต      แล้วสถานะไหนจะถูกระยะทางทดสอบมากที่สุด      เราว่า..........แฟน       คือสถานะอื่นมันดูเป็นสถานะที่มั่นคงในตัวของมันเองอยู่แล้วป่ะ  ยิ่งสายเลือดนี่ไม่ต้องพูดถึง  ตัดให้ขาดคงจะยาก      ส่วนเพื่อน  ถ้าไม่ทะเลาะกันให้ตายไปข้างนึง  มึนตึงใส่กัน  หรือทรยศกัน  มันก็ไม่น่าจะเลิกคบกันง่ายๆนะ  มีแต่จะคลายความสนิทลงเท่านั้นเอง      กลับมาที่ประเด็นคนรัก  เราว่า  การอยู่ห่างไกลกันถือเป็นบททดสอบสำคัญเลยว่า  คนสองคนจะมั่นคงในความรักที่มีให้แก่กันเพียงใด      มีหลายคู่นะ  ที่ไม่ผ่านบททดสอบนี้  บางคู่ห่างกันไม่ท

ว่าด้วยเรื่องการคุยกัน

          (เรื่องนี้เขียนขึ้นเนื่องจากคนเขียนคิดงานไม่ออก  อย่าไปหวังสาระอะไรมากนัก)      คนเราจะมาคุยกันได้นั้นน่าจะมีสาเหตุจากอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง  นั่นคือ       "มีเรื่องให้คุย"  และ  "อยากจะคุย"      มาว่ากันทีละข้อ      "มีเรื่องให้คุย"       การคุยกันที่เย็นชาและห้วนที่สุด  นั่นคือการคุยกันที่  เราไม่ได้อยากจะคุยกับอีกฝ่ายเลย  แต่เรามีเรื่องจำเป็นที่ต้องติดต่อ  สื่อสาร  หรือไปรบกวนเขา       ถ้าเป็นการคุยต่อหน้า  เราคงจะมองเขาจากที่ไกลๆ  ถอนใจหนึ่งเฮือก  สูดลมหายใจลึกๆ  แล้วเดินเข้าไปคุย      ถ้าเป็นการคุยผ่านตัวอักษร  เราคงเลื่อนหน้าจอไปยังชื่ออีกฝ่าย  ชั่งใจอยู่แวบนึงว่า  คุยดี...ไม่คุยดีว้า  สุดท้ายก็  เอาวะ  แล้วทักไป      แล้วโดยทั่วไป  หากอีกฝ่ายไม่ค่อยยินดีที่จะคุยกับเราเหมือนกัน  มันก็จะเป็นการคุยที่สั้นมาก  เพราะเราจะพูดในสิ่งที่เราต้องการ  แล้วฟังปฏิกิริยาว่าจะเอาไง  พอรู้เรื่องแล้วก็จบกัน      เสร็จภารกิจ  แยกย้ายได้      ส่วนการคุยกันที่ยาวขึ้นมาอีกหน่อย  น่าจะประมาณว่าฝ่ายหนึ่งทักทายคนที่รู้จักตามมารยาท 

แค่อยากเล่า : ปาร์ตี้แฟนซี

รูปภาพ
     เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา  ที่ทำงานเราจัดงานเลี้ยงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ทุกคนจะย้ายไปราชการต่างที่กัน  และธีมการแต่งตัวของการจัดงานคือ  "อะไรก็ได้แฟนซี"      ตอนแรกกุมขมับมาก  ไม่รู้จะแต่งอะไรดี  คิดไปคิดมา  งั้นแต่งเป็นแม่หมอดีกว่า  ทำตัวเซอร์ๆปนยิปซีติดอยู่ตรงที่.......แม่บอกว่า  เพื่อให้เข้ากันต้องแต่งหน้าเข้มๆหน่อย      .....เวรละ  แต่งหน้าไม่เป็น -_-'      แต่แล้วจู่ๆก็เกิดดวงตาเห็นธรรม  เอ๊ย  ไม่ใช่  เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า  เราน่าจะหาอะไรสักอย่างที่เรามีอยู่แล้ว  จะได้ไม่ต้องไปเดินซื้อให้เสียเวลา      แล้วคำว่า  "โปเกมอนเทรนเนอร์"  ก็แวบขึ้นมาในหัว      ปัญหาต่อไป  แล้วจะแต่งเป็นตัวละครตัวไหนล่ะ??      ตอนแรกตั้งใจว่าจะแต่งเป็นซาโตชิ  แต่คิดๆไป.....       เราไม่ได้อยากเป็นตัวละครตัวใดในเรื่องสักหน่อย  เราแค่อยากยัดตัวเองเข้าไปในการ์ตูนเรื่องนี้ในฐานะเทรนเนอร์คนนึง  ที่มีโปเกมอนเป็นของตัวเอง      ....ถึงจะไม่สามารถสั่งให้มันต่อสู้หรือเดินตามได้แบบในการ์ตูนก็เถอะ....      คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มวางชุดในแบบที่เป

เขาไม่รักเรา

     (บทความนี้ไม่ใช่บทความอกหัก รักคุด แต่เป็นแนวคิดที่เราใช้เตือนตัวเองเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง)      เวลาพบเจอหรือปะทะสัมพันธ์อะไรกับใคร  เรามักตั้งธงในใจไว้ก่อนเลยว่า      "เขาไม่รักเรา"      เพราะเรารู้สึกว่า  การตั้งธงแบบนี้มันดีกว่าในการวางตัว  ดังนี้      1. เราจะระวังตัว      ถ้าพบเจอกันใหม่ๆ  แล้วเราเหมารวมไปเลยว่าทุกคนชอบเราหมดเนี่ย  เราจะลดมาตรการป้องกันตัวเองลง  ยิ่งถ้าเราเป็นคนคุยเก่งอยู่แล้วเป็นทุนเดิมเนี่ย  มันมีโอกาสสูงมากที่เราจะหลุดปากบอกอะไรออกไป      .........อันอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง  หากอีกฝ่ายเขาประสงค์ร้ายต่อเรา  แล้วเอาสิ่งที่เราพูดไปใช้สร้างความเดือดร้อนแก่เรา      แต่ถ้าเราคิดไปก่อนแล้วว่า  "เขาไม่รักเรา"  เราจะเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากเล่าอะไรมากไปกว่าที่จำเป็น  เพราะเขาไม่รักไง  เล่าเรื่องตัวเองไปเขาก็ไม่สนใจหรอก      หรือถ้ามองโลกในแง่ร้ายกว่านั้น  เขาไม่รักไง  เผลอๆเกลียดด้วย  พูดอะไรสุ่มเสี่ยงออกไป          ระวังจะซวยนะเฟ้ยยย      2. เราจะไม่ตั้งความหวัง      ถ้าเรารักใครและคิดว่าเขาก็รักเราเช่นกัน

(ควร)สอน(ไว้) ให้ใช้เป็น

     (หมายเหตุ  บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวจากมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น ต้องขออภัยหากจะไปกระทบต่อบุคคลอื่น หรือทำให้บุคคลอื่นไม่เห็นด้วย)      ถ้าใครได้ดูข่าวบันเทิงวันนี้  เชื่อว่าคงจะเจอข่าวว่านักร้องรุ่นใหญ่คนหนึ่งหัวใจวายตายกลางเวทีขณะกำลังร้องเพลงอยู่      เราก็เห็น  แต่ตอนแรกยังไม่ได้อะไรกับข่าวนั้นมาก      จนกระทั่งช่วงบ่าย  แม่เล่าให้ฟังว่า  ผู้ตายล้มลงไปกลางเวที  เพื่อนคิดว่าหลับ  พอรู้ว่าไม่ใช่จึงตะโกนให้เรียกรถพยาบาล      "เขาบอกว่า  ถ้าปั๊มหัวใจตั้งแต่แรกเลย  คือสี่นาทีแรกที่เกิดเหตุการณ์  ผู้ตายอาจจะไม่ตายก็ได้"      หากเป็นแบบนั้นก็น่าสงสาร  ทั้งที่มีโอกาสรอดแท้ๆ..      "น่าจะมีการสอนอะไรแบบนี้ในโรงเรียนบ้างนะ"  แม่เปรยขึ้น     "โรงเรียนส่วนใหญ่เคยสอนอะไรที่ใช้ได้ในชีวิตจริงด้วยเหรอ?"  นั่นคือคำที่เราหลุดปากออกไป      ยิ่งมาคิดดูแล้ว  ก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่  ดูเหมือนว่าที่เราเรียนๆกันมาในโรงเรียนน่ะ  มันแทบไม่มีอะไรที่เอามาใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้เลย      ถ้าใครตามอ่านงานเรามาสักระยะ  คุณน่าจะเคยได้อ่านบทความที่ชื่อ  &q

ชีวิตกับผีเสื้อ

     ถ้าชีวิตเปรียบดังผีเสื้อ  ปัญหาคงไม่ต่างอะไรกับช่วงเวลาที่เป็นดักแด้      คนทั่วไปน่าจะเคยเห็น  เคยอ่าน  หรือรู้จักผีเสื้อกันมาบ้างไม่มากก็น้อย      ผีเสื้อเป็นสัตว์ในไฟลัมแอนโทรโพดา คลาสอินเซคตา  เป็นสัตว์ลำตัวเป็นข้อปล้องซึ่งไม่มีกระดูกสันหลัง      ผีเสื้อมีวงจรชีวิตที่น่าสนใจ  เมื่อเริ่มต้นแห่งชีวิต  มันจะเป็นหนอนตัวเล็กๆที่กัดกินใบไม้ไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งถึงเวลา  เจ้าหนอนตัวจ้อยจะพ่นใยออกมาคลุมตัวเองแล้วกลายเป็นดักแด้  และเมื่อเป็นดักแด้ไปสักพัก  หนอนตัวน่าเกลียดน่าชังก็จะออกมาจากดักแด้      และกลายมาเป็นผีเสื้อแสนสวย      แต่ช่วงเวลาเป็นดักแด้นี้เป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของผีเสื้อ  เพราะเป็นช่วงซึ่งมันต้องอยู่นิ่งๆ  เคลื่อนไหวตัวเองไม่ได้  จึงง่ายที่จะถูกทำร้าย  เช่น  ดักแด้บางตัวที่ไม่สามารถเป็นผีเสื้อได้เพราะถูกพวกต่อแตนฆ่าตายเพื่อใช้เป็นแหล่งอาหารของตัวอ่อนของตัวเอง      แต่ถึงกระนั้น  ดักแด้ก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ  เพราะหากหนอนไม่ยอมเป็นดักแด้แล้ว  มันจะกลายเป็นผีเสื้อไม่ได้เลย      ก่อนถึงจุดสูงสุดของชีวิตย่อมมีความเสี่ยงเสมอ      แล้วชีวิตคนเล่า

Beauty ? no no

     เป็นคนไม่ค่อยอยากสวย      เอ้า  จริงๆนะ  ไม่ได้ล้อเล่น  ไม่ได้เพี้ยน  และไม่ได้องุ่นเปรี้ยวด้วย      ไม่ค่อยอยากสวยเรี่ยราดไปทั่ว  จริงๆนะ      ทำไมน่ะเหรอ      ประการแรก  ความสวยมักเป็นจุดรวมสายตา      ใครๆก็ชอบมองสิ่งสวยงามและคนรูปงามกันทั้งนั้นแหละ  ยิ่งในสตรีเพศนี่  อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย  ผู้หญิงด้วยกันเองก็มอง      แต่ถึงแม้การมีหน้าตาสะดุดตาจะดึงดูดทุกสายตาได้เหมือนๆกัน  แต่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า  ในสายตาที่มองมาพร้อมๆกันน่ะ  มีเจตนาในทางบวกเหมือนๆกันหรือเปล่า      คนบางคนอาจมองมาที่เราหากเราสวยด้วยสายตาที่ชื่นชมในความสวย  ในขณะที่บางคนมองมา      .......ด้วยสายตาแทะโลมที่อยากจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงในเสื้อ!........      ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำตัวเป็นอาหารตาให้พวกโรคจิตเอาไปจินตนาการเล่น  ดังนั้นแล้ว  ก็ตัดไฟแต่ต้นลม  ทำตัวไม่สวยไปเลยแต่ต้นจะดีกว่า       ประการถัดมา  ความสวยนำมาซึ่งความหมั่นไส้และ/หรือการชิงดีชิงเด่น      เพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่า  ตอนที่เลี้ยงสุนัขอยู่แล้วพากระต่ายมาเลี้ยงด้วย  เวลาสุนัขมองกระต่าย      ตัวผู้จะมองเฉยๆแบบสงสัยว่าตั

Gifted or cursed : ดูดวง

     คุณว่าการดูดวงได้เป็นพรหรือคำสาป?      เราว่า...เป็นทั้งสองอย่างนั่นแหละ      ที่ว่าเป็นพรจากฟ้านั้น  มีเหตุผลดังนี้      1. มนต์เรียกมิตร      สำหรับใครที่เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนฝูงอยู่แล้ว  ความสามารถนี้แทบไม่มีผลอะไรกับข้อนี้เลย      แต่สำหรับคนโลกส่วนตัวสูงคนหนึ่ง  การมีความสามารถนี้ประดับกายนั้นให้ผลด้านเมตตามหานิยมได้อย่างไม่น่าเชื่อ      ลองนึกภาพว่าเราเดินไปเจอเพื่อนในสถานที่สักที่หนึ่ง  ถ้าเจอเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่แล้ว  เราก็จะทักกัน  ยิ้มให้กัน  ถ้าเจอเพื่อนที่คุ้นๆนิดหน่อย  เราอาจแค่ยิ้มให้กันเฉยๆ  แล้วถ้าเจอคนเฉยๆหรือมองเราแง่ลบล่ะ      เขาก็จะมองเหมือนเราเป็นก้อนกรวด  มองเราด้วยหางตา  หรือน่ารำคาญกว่านั้น  คือพยายามค่อนแคะต่างๆนานา  เช่น  เดินคนเดียว(หนักหัวแกรึไง?)  แว่นหนาเตอะ  ผมกระเซิง  กระโปรงเช้ย..เชย  (ว่างมากเนอะ  มาสนใจคนอื่นอยู่ได้)      ทั้งหมดนี่แม่หมอเจอมาหมดแล้ว....      แต่  พอเขารู้ว่าเราดูดวงเป็นเท่านั้นแหละ  คนจากทั่วสารทิศจะเข้ามาเพื่อปะหน้าปะตากับเรา      แม้ในตอนแรกคนเหล่านั้นจะไม่เคยเห็นเราในสายตาเลยก็ตาม      พอดูมือๆหนึ่ง  ก