ว่าด้วยเรื่องการคุยกัน

   
      (เรื่องนี้เขียนขึ้นเนื่องจากคนเขียนคิดงานไม่ออก  อย่าไปหวังสาระอะไรมากนัก)


     คนเราจะมาคุยกันได้นั้นน่าจะมีสาเหตุจากอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง  นั่นคือ 

     "มีเรื่องให้คุย"  และ  "อยากจะคุย"

     มาว่ากันทีละข้อ



     "มีเรื่องให้คุย" 

     การคุยกันที่เย็นชาและห้วนที่สุด  นั่นคือการคุยกันที่  เราไม่ได้อยากจะคุยกับอีกฝ่ายเลย  แต่เรามีเรื่องจำเป็นที่ต้องติดต่อ  สื่อสาร  หรือไปรบกวนเขา 
     ถ้าเป็นการคุยต่อหน้า  เราคงจะมองเขาจากที่ไกลๆ  ถอนใจหนึ่งเฮือก  สูดลมหายใจลึกๆ  แล้วเดินเข้าไปคุย
     ถ้าเป็นการคุยผ่านตัวอักษร  เราคงเลื่อนหน้าจอไปยังชื่ออีกฝ่าย  ชั่งใจอยู่แวบนึงว่า  คุยดี...ไม่คุยดีว้า  สุดท้ายก็  เอาวะ  แล้วทักไป
     แล้วโดยทั่วไป  หากอีกฝ่ายไม่ค่อยยินดีที่จะคุยกับเราเหมือนกัน  มันก็จะเป็นการคุยที่สั้นมาก  เพราะเราจะพูดในสิ่งที่เราต้องการ  แล้วฟังปฏิกิริยาว่าจะเอาไง  พอรู้เรื่องแล้วก็จบกัน
     เสร็จภารกิจ  แยกย้ายได้


     ส่วนการคุยกันที่ยาวขึ้นมาอีกหน่อย  น่าจะประมาณว่าฝ่ายหนึ่งทักทายคนที่รู้จักตามมารยาท  แล้วก็มีการโอภาปราศรัยกันเพิ่มขึ้นมา 
     ภาษาอังกฤษน่าจะเรียก  small talk  กระมัง  คือคุยสัพเพเหระทั่วไปตามประสาคนรู้จักกัน  ส่วนจะลงรายละเอียดลึกเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าคนสองคนคุ้นเคยกันแค่ไหน
    คล้ายอันแรก  แต่มีใจมากกว่า  โอกาสที่บทสนทนาจะยาวกว่าคงมีอ่ะนะ


     ส่วนการคุยกันที่สามารถคุยกันได้ยาวขึ้นไป  คือการคุยแบบที่คนสองคนสนใจในเรื่องเดียวกัน  แล้วเอาความสนใจนั้นน่ะ  เป็นประเด็นในการคุย
     จริงๆนะ  พอคุยเรื่องที่สนใจเนี่ย  มันจะมีประเด็นให้พูดไปเรื่อยๆได้  ยิ่งถ้าคอเดียวกัน  มันจะต่อกันไปได้เรื่อย  และเรื่อยๆ
     คนเขียนเคยเป็น  เช่นตอนที่ทำงานเก่าที่ฝอยเรื่องบอลกับเพื่อนผู้ชายได้เป็นคุ้งเป็นแคว(เอะอะก็วกไปบอล  คิดถึงอ่ะ  ตอนนี้ไม่มีคนชวนคุยเรื่องบอลเลยยย)
     หลายคนน่าจะเคยมีประสบการณ์  ที่เจอคนชอบอะไรคล้ายๆกันเลยจูนกันติดง่าย  ส่วนจะจูนกันได้เฉพาะเรื่องที่ชอบตรงกัน  หรือจะจูนเรื่องอื่นได้ด้วย  อันนี้ต้องไปว่ากันโอกาสหน้า 

     การมีเรื่องคุยมีบทบาทสำคัญนะในการคุยกันน่ะ  เพราะลองหาประเด็นคุยกันไม่ได้แล้ว  เราก็คงได้แต่นั่งยิ้มแห้งๆให้กันไปเรื่อยๆแทน



     "อยากจะคุย" 

     ความ "อยากจะคุย" จะซับซ้อนกว่าการมีเรื่องคุย  เพราะมันไปเกี่ยวข้องกับกระบวนความคิดและจิตใจ  แทนที่จะเกี่ยวกับประเด็นจะคุยซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับความรู้สึกเสมอไป

     คนมนุษยสัมพันธ์ดีจะถนัดมากเรื่องนี้  เพราะไม่ว่าเขาจะเจอใคร  เขาจะรู้สึกอยากคุยไปเสีย(เกือบ)หมด  จึงสามารถที่จะคุยกับใครก็ได้  ในเรื่องอะไรก็ได้  ขอเพียงแค่เจอบุคคลเป้าหมายที่อยากผูกสัมพันธ์ด้วยก็พอ
     ดี๊ดีอ่ะ.....อิจฉาเบาๆ

     ส่วนบางคน  การอยากคุยจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการมีความรู้สึกอะไรบางอย่างในใจกับคนที่เราอยากจะคุยด้วย
     ถ้าเกลียด..........ก็จะหาเรื่องด่า
     ถ้าอิจฉา............ก็จะหาเรื่องแขวะ
     ถ้าอยากรู้อยากเห็น..........ก็จะหาเรื่องสืบความลับ
     ถ้าอยากเป็นเพื่อน............ก็จะหาเรื่องผูกมิตร
     ถ้าเป็นห่วง.........ก็จะหาเรื่องไถ่ถาม
     ถ้ารัก............ก็จะหาเรื่อง....ให้อีกฝ่ายหันมาสนใจตัวเอง
     ฯลฯ
     เหตุผลล้านแปด  มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากเสียจริง 
   
     และความอยากจะคุยก็จะสัมพันธ์กับการมีเรื่องคุยในแง่ที่ว่า  เมื่อเราอยากจะคุยกับใครเรามักจะหาเหตุผลให้ถ้อยคำของตนเองเข้าไปในหูหรือสายตาของอีกฝ่ายให้ได้
     ............สรุปง่ายๆคือ  ถ้าอยากคุย  ก็จะหาเรื่อง(ชวน)คุย
   
     ความน่ารำคาญจะเกิดขึ้นเมื่อการอยากจะคุยนั้นเกิดขึ้นแต่ฝ่ายเดียว  อีกฝ่ายเขาไม่อยากคุยด้วย 
     ....ถ้าอีกฝ่ายยังอยากถนอมน้ำใจหรือเป็นคนละมุนหน่อย  เวลาอีกฝ่ายคุยมาเขาก็จะคุยตอบ  แต่ไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรมาก  เว้นแต่คุยไปคุยมาเกิดคลิ๊กเลยคุยยาว  นั่นก็อีกเรื่อง
     ....แต่ถ้าเจอพวกชัดเจนหน่อยล่ะก็  ปรากฏการณ์ถามคำตอบคำจะเกิดขึ้น  เป็นที่มาของสเตตัสตัดพ้อต่างๆนานาตามโลกออนไลน์ทั่วไป
     ซึ่งก็น่าเห็นใจทั้งสองฝ่าย 

     ส่วนถ้าฝ่ายหนึ่งชวนคุยแล้วอีกฝ่ายหนึ่ง  "คุยไปก็ไม่เสียหายอะไร"  การคุยก็จะเรื่อยๆไปตามทางของมัน
     คิดซะว่า  อย่างน้อยเราก็ได้เพื่อนเพิ่มอีกคน

     และการคุยที่ได้อรรถรสที่สุด  ยาวนานที่สุด  และ(อาจจะ)กระหนุงกระหนิงที่สุด  คือการคุยที่ต่างฝ่ายต่างอยากจะคุยกัน  ทำให้หาเรื่องมาต่อความกันไปได้เรื่อยๆ  จุดเริ่มต้นอาจมาจากความสนใจที่ตรงกันแล้วต่อเนื่องไปสนใจเรื่องอื่นๆร่วมกัน  หรืออาจเริ่มต้นจากคนสองคนอยากหาเรื่องมาคุยกัน  แล้วพบว่าตนเองมีความสนใจบางอย่างร่วมกัน  เลยคุยกันไปได้เรื่อยๆ
 
     อย่าคิดว่าการคุยแบบสุดท้ายนี้เกิดขึ้นได้เฉพาะการเกี้ยวพาราสีเท่านั้น  บางที  เพื่อนกันนี่แหละ  อยู่ในโลกแห่งความจริงไม่เคยคุยกันเลย  เจอในโลกออนไลน์แล้วดันมีความสนใจบางอย่างตรงกัน  เลยคุยกันได้เป็นวรรคเป็นเวร
     .................กลายเป็นสนิทกันมากขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงมีถมไป



     การสื่อสารนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่เชื่อมมนุษย์เข้าหากัน  และการพูดคุยก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักกันและกันมากขึ้น

     คนเขียนเชื่อเสมอว่าคนที่คุยไม่เป็นเลยนั้นไม่มี  มีแต่คุยได้มากน้อยตามเรื่องถนัดของตัวเอง  ถ้าเราเจอคนที่เราคลิ๊กด้วย  และหาเรื่องที่เราสามารถคุยไปยิ้มไปได้  เราจะคุยได้เก่งเองนั่นแหละ 


     ขอให้สนุกกับการสนทนา

                 บาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ