เขาไม่รักเรา

     (บทความนี้ไม่ใช่บทความอกหัก รักคุด แต่เป็นแนวคิดที่เราใช้เตือนตัวเองเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง)


     เวลาพบเจอหรือปะทะสัมพันธ์อะไรกับใคร  เรามักตั้งธงในใจไว้ก่อนเลยว่า

     "เขาไม่รักเรา"

     เพราะเรารู้สึกว่า  การตั้งธงแบบนี้มันดีกว่าในการวางตัว  ดังนี้



     1. เราจะระวังตัว
     ถ้าพบเจอกันใหม่ๆ  แล้วเราเหมารวมไปเลยว่าทุกคนชอบเราหมดเนี่ย  เราจะลดมาตรการป้องกันตัวเองลง  ยิ่งถ้าเราเป็นคนคุยเก่งอยู่แล้วเป็นทุนเดิมเนี่ย  มันมีโอกาสสูงมากที่เราจะหลุดปากบอกอะไรออกไป
     .........อันอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง  หากอีกฝ่ายเขาประสงค์ร้ายต่อเรา  แล้วเอาสิ่งที่เราพูดไปใช้สร้างความเดือดร้อนแก่เรา

     แต่ถ้าเราคิดไปก่อนแล้วว่า  "เขาไม่รักเรา"  เราจะเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากเล่าอะไรมากไปกว่าที่จำเป็น  เพราะเขาไม่รักไง  เล่าเรื่องตัวเองไปเขาก็ไม่สนใจหรอก
     หรือถ้ามองโลกในแง่ร้ายกว่านั้น  เขาไม่รักไง  เผลอๆเกลียดด้วย  พูดอะไรสุ่มเสี่ยงออกไป
   
     ระวังจะซวยนะเฟ้ยยย



     2. เราจะไม่ตั้งความหวัง
     ถ้าเรารักใครและคิดว่าเขาก็รักเราเช่นกัน  เรามักจะหวังให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้  แล้วหากมันไม่เป็นไปตามนั้น  เราก็จะเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเอง  เช่น

     เราหวังว่าเพื่อนจะยิ้มให้เราเมื่อเดินผ่าน  ปรากฏว่าเพื่อนไม่ได้ยิ้มให้เรา(ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาเกลียดเรา  หรือเพราะเขาไม่เห็นเรา  หรืออะไรก็ตาม)  ถ้าเราคิดว่าเขาต้องยิ้มให้เนี่ย  เราก็จะหงุดหงิดว่า  ทำไมเพื่อนไม่ยิ้มให้เราล่ะ
     แล้วเราก็จะเริ่มงอแง
     สถานการณ์เดียวกัน  ถ้าลองคิดว่าเขาไม่รัก  มันจะสมเหตุสมผลมาก 
     อ้าว  ก็เขาไม่รักแกไง  เขาไม่ยิ้มให้น่ะถูกแล้ว  นี่ยังดีนา  เขาไม่ด่าแกก็บุญละ

     หรือตัวอย่างยอดฮิต  วันเกิด  ถ้าเพื่อนไม่มาอวยพรแล้วคิดแบบแรกนี่ทะเลาะกันตาย  ส่วนถ้าคิดแบบหลัง
     ก็เขาไม่รักไง  วันเกิดแกเลยไม่สำคัญสำหรับเขา  แกอยากทำไรก็ทำไปดิ

     โอเค  จบ  แยกย้าย 



     3. เราจะไม่ลืมตัว
     เคยเจอคนๆนึง  เธอชอบคิดถึงเพื่อนกลุ่มเก่าซึ่งเคยชมเธอว่า  เธอน่ารัก  แล้วเธอก็ละเมอเพ้อพกไม่สร่างว่าเธอน่ารัก  และยังคงน่ารักเสมอมา
     ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริงมาก
     ถ้าไปถามคนใกล้ชิดทุกวันนี้  คุณจะได้คำตอบว่า  เธอไม่น่ารัก  เพราะเธอเอาแต่ใจ  เจ้าอารมณ์  ไม่เคยยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองทำ  ขี้บ่น  ขี้โมโห  ฯลฯ

     การเอาแต่คิดว่าตัวเองน่ารักก็ไม่ต่างอะไรกับการละเมอว่าทุกคนรักเรา  อันนำไปสู่การหลงตัวเองว่า  ไม่ว่าเราจะทำอะไร  จะเป็นอย่างไร  ทุกคนก็ยังจะรักเรา
     ซึ่ง.......ขอโทษ.........มันไม่ใช่ 

     เรายังเชื่อเสมอว่าคนเราต้องทำตัวให้ควรค่าแก่ความรัก  ไม่ใช่ร่ำร้องว่าเธอต้องรักฉัน  แต่ไม่ทำอะไรเลย  และเรากลัวมากที่จะกลายเป็นคนแบบนั้น

     เลยต้องเตือนตัวเองอยู่เรื่อยๆว่า  ขอโทษนะ  "อย่าเ_ี้ยนะเว่ย  ทุกวันนี้คนเขายังไม่ค่อยรักแกเลย  ถ้าเ_ี้ยกว่านี้  รับรองมีแต่คนเกลียดแหง"
     ก็จะคอยตรวจตราความประพฤติตัวเองอยู่เรื่อยๆ  แต่บอกตามตรงนะ  ทุกวันนี้ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน  ว่าตัวเองน่ะ
 
     เป็นคนดีพอให้รักหรือยัง 



     4. เราจะไม่เข้าข้างตัวเอง 
     อันนี้ใช้ได้ทั้งกรณีทั่วไปและกรณีพิเศษ  แต่ดูเหมือนกรณีพิเศษจะหาตัวอย่างง่ายกว่า :p

     ถ้าเราเข้าข้างตัวเองว่าใครๆก็รักเรา  เวลาใครทำดีกับเราเข้าหน่อย  เราก็จะตู่ไปเรื่อยว่า  คนนั้นคนนี้ีมีใจให้เรา
     อาการมโนจะบังเกิด
     แล้วถ้าปล่อยใจถลำไปกับใคร  และเริ่มออกตัวแรงเมื่อไหร่  หากมันไม่ใช่อย่างที่คิด 
     ...........จะไปโรงพยาบาลให้หมอเย็บหน้าไม่ทันเอานา  (ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงยิ่งแย่ใหญ่)

     สถานการณ์คล้ายกัน  ถ้าลองคิดแบบที่จั่วหัวเรื่อง
     เขายิ้มให้/คุยด้วย.............เขาอัธยาศัยดี
     เขาช่วยเหลือ.................เขามีน้ำใจ
     เขาเดินไปเป็นเพื่อน.............เขาคงบังเอิญไปทางนั้นพอดี
     ฯลฯ
     เราอาจดูทึ่มไปบ้างในมุมมองของความรัก  แต่อย่างน้อย  ใจเรามันก็จะไม่ปลิวง่ายเกินไป

     เป็นภูมิคุ้มกันการตกหลุมรักพร่ำเพรื่อไปด้วยในตัว

     ส่วนถ้าใครคิดเกินกว่าที่เราคิดไปจริงๆ...................ก็ปล่อยเขาพิสูจน์ให้เห็นก็แล้วกัน



     การคิดไปก่อนว่าคนอื่นไม่รักเรา  ไม่ใช่อาการต่อต้านสังคม  ไม่ใช่อาการของคนที่เกลียดชังมนุษย์

     เราไม่ได้เกลียดใคร  และก็ไม่เคยอยากให้ใครเกลียดเรา  เรายังคงทำตัวเป็นปกติชนของสังคม  ที่ดีบ้าง  แปลกบ้าง  ตามแต่บทบาทและโอกาสของชีวิตจะพัดพาไป 

     มันเป็นเพียงกลไกป้องกันตัวเองของคนที่โลกส่วนตัวสูง  คนที่ไม่อยากมีเรื่องกับใคร  คนที่ไม่คิดว่าถ้าเกิดเรื่องกับคนใกล้ตัวแล้วจะมีใครเข้ามาช่วยเหลือ  หรือแม้แต่
     ........คนที่เคยเชื่อใจใครสักคนแล้วถูกหักหลังมาเจ็บแสบ
     มันยากนะ  ที่จะเปิดใจได้เต็มที่ 

     เวลาคบใคร  เราให้ใจ  แต่ในทางกลับกัน  เราไม่ได้วางใจอย่างร้อยเปอร์เซนต์ว่า  เราจะได้ใจจริงกลัับมา 
   
     เราปล่อยให้อีกฝ่ายมีภาระการพิสูจน์ว่า  เขาก็รักเรา...........อย่างที่เรารักและจริงใจกับเขา  และเขาต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยด้วย  เราถึงจะเชื่อ
     เราเข็ดแล้วกับการถูกหักหลัง


     ในมุมหนึ่ง  การมองโลกแบบนี้คล้ายคนมีปมด้อยที่ว่า  ใครใครก็ไม่รักฉันเลยยยย 
     แต่มันก็ไม่เชิงปมด้อย  เพราะมันจะกลายเป็นปมด้อยจริงๆต่อเมื่อ  เราคิดว่าใครๆก็ไม่รัก  แล้วเราเริ่มแสวงหาความรักโดยไม่สนวิธีการ  และไม่สนว่ามันจะทรมานตัวเองรึเปล่า 
     แต่สำหรับความคิดนี้  เรารู้นะ  ว่าที่บ้านรักเรา  คนในกระจกก็รักเรา  ส่วนคนอื่นๆน่ะ 
     ..............เป็นเรื่องที่ต้องนำสืบให้เห็นกันทีหลัง..................

     ในอีกมุมหนึ่ง  การคิดแบบนี้จะเป็นเกราะป้องกันใจ  ไม่ให้ไปหลงอะไรง่ายๆ  ไม่ให้เพ้อเจ้ออะไรโดยปราศจากหลักฐานที่เชื่อถือได้  และไม่ก่อให้เกิดความหวังจนทำให้ทุกข์เกินควร
     แถมยังช่วยล็อคใจไม่ให้รักใครมากเกินไปหรือง่ายเกินไปจนกว่าจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายคิดตรงกันด้วยนะ 


     ซึ่งเราว่า  มันเหมาะกับคนที่เวลารักแล้วจะรักมาก  และมีแนวโน้มจะเจ็บมาก  แบบเรา  ที่สุดแล้ว 

   
   

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ