(ควร)สอน(ไว้) ให้ใช้เป็น

     (หมายเหตุ  บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวจากมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น ต้องขออภัยหากจะไปกระทบต่อบุคคลอื่น หรือทำให้บุคคลอื่นไม่เห็นด้วย)



     ถ้าใครได้ดูข่าวบันเทิงวันนี้  เชื่อว่าคงจะเจอข่าวว่านักร้องรุ่นใหญ่คนหนึ่งหัวใจวายตายกลางเวทีขณะกำลังร้องเพลงอยู่

     เราก็เห็น  แต่ตอนแรกยังไม่ได้อะไรกับข่าวนั้นมาก

     จนกระทั่งช่วงบ่าย  แม่เล่าให้ฟังว่า  ผู้ตายล้มลงไปกลางเวที  เพื่อนคิดว่าหลับ  พอรู้ว่าไม่ใช่จึงตะโกนให้เรียกรถพยาบาล

     "เขาบอกว่า  ถ้าปั๊มหัวใจตั้งแต่แรกเลย  คือสี่นาทีแรกที่เกิดเหตุการณ์  ผู้ตายอาจจะไม่ตายก็ได้"
     หากเป็นแบบนั้นก็น่าสงสาร  ทั้งที่มีโอกาสรอดแท้ๆ..

     "น่าจะมีการสอนอะไรแบบนี้ในโรงเรียนบ้างนะ"  แม่เปรยขึ้น


    "โรงเรียนส่วนใหญ่เคยสอนอะไรที่ใช้ได้ในชีวิตจริงด้วยเหรอ?"  นั่นคือคำที่เราหลุดปากออกไป

     ยิ่งมาคิดดูแล้ว  ก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่  ดูเหมือนว่าที่เราเรียนๆกันมาในโรงเรียนน่ะ  มันแทบไม่มีอะไรที่เอามาใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้เลย



     ถ้าใครตามอ่านงานเรามาสักระยะ  คุณน่าจะเคยได้อ่านบทความที่ชื่อ  "เรียนภาษาเข้าไป  แต่ใช้ไม่เป็น"  มาแล้ว
     จริงๆมันไม่ใช่แค่เรื่องภาษาหรอกใช่มั้ย  ที่สอนแล้วใช้ไม่ได้จริงน่ะ  ดูเหมือนจะมีหลายเรื่องทีเดียว

     จำกันได้มั้ยว่า  สมัยมัธยม  เรียนอะไรกันมาบ้าง


     ถ้าถามเรา..................คิดก่อน  (เออ...แก่แล้ว  ไม่ข้องเกี่ยวกะโรงเรียนมานานแล้ว)

     รู้สึกว่า.........เรียนเยอะมาก

     ฟิสิกส์  เคมี  ชีวะ  เลขหลัก  เลขเสริม  ไทย  สังคม  อังกฤษ  พละ  บลาๆๆ

     แต่ว่านะ....ทุกวันนี้น่ะ

     - กลศาสตร์ของฟิสิกส์ไม่เคยทำให้ทำกับข้าวอร่อยขึ้น

     - พาลาโบราในตำราเลขก็ไม่เคยเอามาใช้ต่อราคาสินค้าได้สักที

     - รู้ว่าแมลงสาปอยู่ไฟลัมแอนโทรโพดา  คลาสอินเซคตา  แต่เจอทีไรก็หนีไว้ก่อนตลอด

     - และการจำได้ว่านมในไอศกรีมนั้นเป็นโปรตีน  ซึ่งเป็นสารประกอบคาร์บอน  ก็ไม่ได้ทำให้หยุดกินไอติมได้(อ้วนอยู่ดี)

     - แถมชีวิตจริงยังหากระบี่กระบองมารำไม่ได้อีกด้วยนะ

     ....

     ที่ได้ใช้จริงๆจังๆน่าจะเป็นภาษาไทยที่ไว้อ่านและเขียน  ภาษาอังกฤษไว้ต่อยอดตอนไปเรียนเมืองนอก  สังคมที่เอาไว้เตือนว่าวันสำคัญทางศาสนาตรงกับวันไหน
     เพื่อจะได้ดูว่าตัวเองจะได้หยุดเมื่อไหร่  555  (พอทำงานแล้วนี่วันหยุดสำคัญขึ้นมาทันที  หุหุ)
     ส่วนไอ้ e = mcกำลัง 2   หรือ  sin cos tan ที่ท่องกันแทบตายอะไรนั่นน่ะ
     พอย้ายมาเรียนคณะสังคมศาสตร์เหมือนจะหมดประโยชน์ไปเลย



     คิดๆไป  เด็กไทยเรียนอะไรเยอะมากนะ  เราเรียนกันแปดถึงสิบคาบต่อสัปดาห์  บวกเรียนพิเศษตอนเย็น  ตอนค่ำ  เสาร์อาทิตย์
     แต่กว่าครึ่งของสิ่งที่เรียนทั้งหมด
     คืนโรงเรียนเกลี้ยงหลังสอบเอนทรานซ์เสร็จ!!

     มันก็แปลกดี  ที่สิ่งที่เราสอนให้เด็กท่อง  กับสิ่งที่เด็กต้องเจอในชีวิตจริงตอนที่เขาไม่เด็ก  มันกลับไม่ค่อยไปด้วยกันสักเท่าไหร่

     - เราให้เด็กหาขนาดของรูปสามเหลี่ยม  สี่เหลี่ยม  วงกลม  ซึ่งไม่เคยเอามาใช้ในชีวิตจริง  แต่เรากลับไม่เคยจำลองสถานการณ์ให้เด็กลองคิดภาษี  ทั้งที่เรารู้แน่ว่าวันหนึ่งเขาต้องใช้เมื่อมีรายได้เป็นของตัวเอง

     - เราให้เด็กท่องว่าหินมีกี่แบบ  ทะเลมีกี่ประเภท  แต่เราไม่ได้ใส่หลักสูตรเข้าไปเลยว่า  น้ำทะเลเปลี่ยนแปลงไปลักษณะไหนแสดงว่าจะเกิดสึนามิ
       ขอบคุณสึนามิตอนนั้นที่ทำให้หลายโรงเรียนเริ่มสอนแล้ว

     - เราสอนเด็กรำกระบี่กระบอง  สอนให้รู้จักท่ารำไทย  โยนบาสให้ชูส  แต่เราดันไม่สอนเขาเลยว่า  เวลาเกิดภยันตรายต่อตัวเองเนี่ย  เขาควรใช้ทักษะแบบใดในการเอาตัวรอด
       ถ้าจะโปรกระบี่กระบองขนาดนั้น  แจกกริชสั้นให้เด็กไปด้วยเลยมั้ยล่ะ  ไว้ป้องกันตัว  หึหึ

     - เราสอนเรื่องเพศศึกษาแบบแตะๆ  เราสอนเด็กให้ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี  เราปิดหูปิดตาไม่ยอมรับว่าสังคมมันเป็นยังไง  เราเลยไม่สอนให้เด็กรู้จักป้องกันเวลาความรักเข้าตา  แถมเรายังแสดงท่าทางเหยียดคนที่สอบถามเรื่องนี้ด้วย
     ....แล้วทำมาบ่นเรื่องท้องก่อนวัยอันควรเยอะ  (กลอกตามองบน)

     -  เราสอนเรื่องการช่วยชีวิตแต่ในตำรา  แต่เราไม่หัดให้เด็กสามารถช่วยชีวิตคนได้ในความเป็นจริง

     นี่แค่ตัวอย่าง  ยังมีอีกสารพัดสารพันสิ่งที่ในชีวิตจริงต้องใช้  แต่ไม่เคยได้เรียนในสถานศึกษา  และปล่อยให้ทุกคนหาความรู้รอบตัวกันเอาเอง
     คนที่คิดได้แล้วหาก็รู้แหละ  แล้วคนที่นึกไม่ถึงล่ะ  ได้นึกถึงเขาบ้างรึเปล่า?


     จริงๆแล้วน่ะนะ  เรารู้  ว่ามีบางโรงเรียนสอน  แต่มันแค่บางโรงเรียนไง  เช่น  โรงเรียนสอบเข้า  โรงเรียนสาธิต  โรงเรียนเอกชน

     ถามว่า  ถ้าเทียบกับสัดส่วนโรงเรียนทั้งประเทศ

     คนที่ได้เรียนกับคนที่ไม่ได้เรียน  แบบไหนเยอะกว่ากัน?

     เราจะปล่อยให้คนกลุ่มไม่รู้เป็นชนกลุ่มใหญ่ไปอีกนานแค่ไหน?
   


     เห็นด้วยนะที่ว่า  สมัยนี้  อะไรก็หาได้ในอินเตอร์เนต  อยากรู้อะไร  อยากเรียนอะไร  แค่เปิดกูเกิ้ลก็จบ

     แต่การจะผลักภาระทางการศึกษาให้อยู่ที่ความขวนขวายในการศึกษาของแต่ละคน  โดยไม่บรรจุหลักสูตรจำเป็นให้เรียนกันเลยน่ะ
     ..........ก็ดูจะเป็นการ "ดูดาย" ไปสักหน่อย

     อย่าลืมว่าเยาวชนในวันนี้  คืออนาคตของชาติในวันหน้า

     เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิต  มาจากการศึกษาพื้นฐานในโรงเรียน  ดังนั้น  จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากที่โรงเรียนจะให้ความสำคัญกับทักษะที่ต้องใช้จริงๆในชีวิต  มากกว่าจะอัดแต่วิชาการซึ่งมีประโยชน์แค่ตอนสอบเท่านั้น

     เราไม่ได้สอบตลอดชีวิต  แต่เราต้องดำรงตัวเองให้รอดจนกว่าจะจบชีวิต

     อยากให้ประชากรมีคุณภาพ  มันก็ต้องลงทุนกันหน่อย  จะเอาแต่เรียกร้องแต่ไม่ยอมปรับอะไรให้มันเหมาะสมกับการมีคุณภาพของคนเลยนั้น


     มันก็ไม่ไหวนะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ