บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2019

งานต้องเดินไป แม้ใจไม่พร้อม

     ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า "เรายิ้มเราร้องไห้ง่ายดายนัก ในวัยแห่งความรักและความฝัน"  เพื่อเป็นคำอธิบายว่าในยามที่เรายังอยู่วัยแรกรุ่นนั้นน่ะ  เราช่างมีอารมณ์อ่อนไหวไปกับสิ่งรอบตัวได้ง่ายเสียจริง       แล้ววัยทำงานเล่า  เป็นวัยที่เย็นชาไร้หัวใจไปแล้วล่ะหรือ?       อยู่ซี  หัวใจยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ       บางที  มันอาจจะมาจากปัจจัยภายนอกที่ต่างกันก็ได้      วัยรุ่นเป็นวัยที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่านและมีการตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวได้เต็มที่  ผลคือไม่ว่าอารมณ์อะไรจะเข้ามา  วัยรุ่นหลายคนมีแนวโน้มจะ "อิน" ไปกับมันอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน      อีกปัจจัยเสริมนั่นก็คือวัยรุ่นโดยทั่วไปเป็นวัยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก  หน้าที่หลักคือเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนหนังสือ  และถ้าคุณผ่านรั้วมหาวิทยาลัยมาแล้ว  คุณก็คงเข้าใจว่า  ระหว่างเรียนหนังสือนั้นมีช่วงให้ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวมากเพียงใด      บางเทอมเรียนแค่สองวัน  บางเทอมเรียนแค่สามวัน  บางเทอมเรียนทุกวันแต่แค่ช่วงเช้าบ่ายว่าง ฯลฯ  ไอ้ช่วงที่  "ว่าง"  เนี่ยแหละ  เป็นอะไรที่เอื้อต่อการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆเสียเหลือ

โสดสตอรี่ : จีบได้นะ แต่...

     ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด  โลกนี้ก็ยังมีผู้หญิงอยู่กลุ่มหนึ่ง  กลุ่มที่บอกตัวเองว่า  "ฉันจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มจีบใครก่อน..เป็นอันขาด"  หลงเหลืออยู่      ขอโสดอยู่เฉยๆดีกว่า  ว่าแบบนั้น      และไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่  ข้อเท็จจริงก็มีว่า  ยิ่งผู้หญิง "เต็ม"  ในตัวเอง  เท่าไหร่  หล่อนก็มีแนวโน้มจะกระเหี้ยนกระหือรือในการ  "เติม"  สิ่งที่ไม่มี  น้อยลงเท่านั้น      "เต็ม"  คือ  ยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้  มีงานทำ  มีเงินใช้  มีเพื่อนดีๆ  มีความสุข      "เติม"  ในที่นี้คือ  ไขว่คว้าหาความรัก      แล้วเชื่อเถอะว่าในคนกลุ่มนี้  จะต้องมีพวกที่ถ้าหากไม่  "เลือกมาก"  ก็เป็นพวก  "ไม่ฉลาดในเรื่องความรัก"  อยู่บ้าง  ไม่มากก็น้อย      บ้างก็เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง  หรือบางคนอาจจะเป็นทั้งสองอย่างเลยก็ได้      พวกเลือกมากนั้นมีเหตุผลในตัวเอง  ยิ่งเขามีอะไรๆในตัวมากเท่าไหร่  ความเลือกมากก็ยิ่งทับเท่าพันทวี      พวกมีทรัพย์สินมากจะไม่เลือกคนที่จนกว่าตัวเอง..      พวกมีอายุเพิ่มขึ้นบางคนก็จะไม่เลือกคนอายุน้อยกว่า(ไม่ใ

อันนินทากาเล...

       อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ                   ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน   แม้แต่พระปฏิมายังราคิน                           คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา          คงเป็นกลอนที่หลายคนคุ้นตากันดี  พระยาสุนทรโวหาร(สุนทรภู๋)ท่านประพันธ์ไว้นานแล้ว  แต่ดูเหมือนจะยังใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย      เชื่อว่าไม่มีใครไม่เคยถูกนินทา  แล้วก็เชื่อ  ว่าคนทั่วไปก็คงเคยมีส่วนในการนินทาคนอื่นมาบ้างไม่มากก็น้อย  ไม่เป็นคนเริ่มสนทนาเองก็เออออห่อหมกไปกับเขา  หรืออย่างน้อยที่สุด  ก็น่าจะเคยอยู่ร่วมในวงสนทนาที่มีการนินทามาบ้าง      เมื่อประมาณเดือนที่แล้วพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง  เธอบอกไม่ค่อยสบายใจที่มีคนใส่ใจชีวิตของเธอและเอาไปพูดกันต่างๆนานามากเกินไป  เช่น  เธอสนิทกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งก็เอาไปเม้าท์ว่าเป็นแฟนกันทั้งๆที่มันไม่ใช่  หรือการแต่งตัวที่ใส่กางเกงขาสั้นก็มีคนเหล่ว่าทำไมต้องใส่ขาสั้น      นี่คงไม่ใช่เรื่องแรก  และน่าจะไม่ใช่เรื่องสุดท้าย      อ่านที่เธอเล่า(คุยไลน์)มาพักหนึ่ง  ก่อนจะให้ความเห็นไปว่า  "ถ้าเราไม่ได้เป็นจริงดังเขาว่าก็ช่างเถิด  คนเขาก็พูดไปเรื่อย..."      &

แก้กรรม!?

     (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)      ในฐานะแม่หมอ  หน้าที่หนึ่งที่ทำประจำเวลาดูดวงนั่นคือ  เป็นผู้ชี้กรรมให้ลูกค้า  หรือพูดง่ายๆคืออ่านจากดวงที่ผูกได้ว่า  มีจุดดีจุดเสียอย่างไร  ช่วงนี้มีเรื่องอะไรที่อาจเข้ามาบ้าง      -ตามดวงเป็นคนที่ถ้าโมโหจะปากร้ายมากต้องระวัง      -ช่วงนี้มีเกณฑ์ผิดใจกับคนรอบตัวนะ  จะทำอะไรก็ยั้งๆไว้หน่อย      -นี้ดวงความรักไม่ได้ดั่งใจนะ  ต้องทำใจไว้นิดหนึ่ง      -ตั้งแต่วันที่  ถึงวันที่  ให้ระวังอุบัติเหตุ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับ....      ฯลฯ      คำถามที่ตามมาคือ  แล้วมันมีวิธีแก้มั้ยอ่ะแม่หมอ???      มี  และ  ไม่มี      มาเรื่องกรรมที่พอแนะนำวิธีแก้ได้บ้างก่อน  หลักๆเลยก็จะพวกสิ่งที่เป็นผลโดยตรงจากการผิดศีลห้าบางข้อ  ดังนี้      -  มีกรรมประเภทสุขภาพไม่ค่อยแข็ง,  มีเกณฑ์ไม่สบาย,  ตามดวงมีแนวโน้มจะประสบอุบัติเหตุได้ง่าย  อันนี้ที่ตรงที่สุดคือการผิดศีลข้อหนึ่งคือฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแบบตรงๆหรือเฉียดๆ  ตามหลักที่ว่า  ผู้ฆ่าย่อมถูกฆ่า  ผู้ที่ทำให้สุขภาพคนอื่นเสื่อมโทรมย่อมมีสุขภาพน่าซึมเซา  หรือไม่ก็สุขภาพไม่แข็งแรงจากเศษ

เด็กใหม่ในโลกแห่งการทำงาน

      ที่สุดแล้ว  พวกเราทุกคนก็ได้รับคำสั่งให้ออกปฏิบัติงานจริง ณ ต่างจังหวัด  ราวกับลูกนกที่ถูกพ่อแม่นกตะเพิดให้บินออกสู่โลกกว้างเอง      เราไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นเป็นเช่นไร  แต่สำหรับเรา  สามคำสั้นๆคงหนีไม่พ้น      มัน-เละ-มาก      การทำงานจริงไม่มีอะไรง่ายสักอย่าง  แม้จะเคยได้รับการอบรมและฝึกหัดมาอยู่บ้าง  แต่มันแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อพบของจริง     ... ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กฝึกงานระยะรอผ่านโปรช่วงสามเดือน (ซึ่งหากประเมินจริงๆคงไม่ผ่าน)      ไอ้โน่นก็ผิด  ไอ้นี่ก็ลืม  รายละเอียดที่ควรใส่ไม่เขียน  รายละเอียดที่ไม่ต้องเขียนดันไม่ใส่     ...คงต้องมีคนนินทากันบ้างแหละว่า วันนี้ยายเด็กใหม่จะทำพลาดอะไรอีก      สงสารก็แต่คนที่ต้องทำงานกันเราโดยตรง  ที่ต้องคอยสอนงานต่างๆและพบว่า  ยัยนี่ไม่รู้หลายเรื่องมาก      เหนื่อยแทนเขา  ท้อใจกับตัวเอง      จริงๆตอนทำงานบริษัทเอกชนยังไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้นะ      ล่าสุด  เขาเรียกมาสอนว่า  การออกงานเขียนของเรานั้น  หากจะปฏิเสธคำขอใดๆจะต้องให้เหตุผลเสมอ...      ซึ่ง... เราไม่รู้      คือ  รู้อยู่บ้าง  แต่ไม่คิดว่ามันเคร่งครัด

เคมี(ไม่)เข้ากัน

     โลกนี้มันมีจริงๆนะ  ไอ้สิ่งทีเรียกว่า  "เคมีเข้ากัน"      พูดถึง "เคมีเข้ากัน" หลายคนอาจนึกไปถึงแค่การคบหากันเป็นแฟน  ไม่จริง  ความเข้ากันของเคมีมันไม่ได้ส่งผลถึงแค่ความสัมพันธ์ระดับคู่รักหรอก  มันมีผลต่อกับทุกความสัมพันธ์ในชีวิตนั่นแหละ          ทีนี้  ข้อยกเว้นมันก็พอมีอยู่บ้าง      พวกแรก  พวกเป็นมิตรได้กับทุกคน  เคยเห็นไหมล่ะ  คนที่เข้าที่ไหนก็มักจะได้รับการต้อนรับอย่างดีเสมอ  พวกนี้มักมีเสน่ห์  หรือไม่ก็คุยเก่ง  หรือทั้งสองอย่าง  ผลคือคนรอบข้างจะรู้สึกสนิทกับเขาได้ง่ายไปหมด      ส่วนพวกหลังคือพวกตรงกันข้าม  พวกที่เกลียดโลกทั้งใบ  พวกที่ทำตัวแหวกแนวและไม่มีท่าทีที่จะเข้ากับใครให้ได้เลยสักคน  พวกนี้คนรอบข้างจะรู้สึกว่ามันเข้ากับใครไม่ได้เลย...      ...กำลังคิดว่าตัวเองเป็นคนพวกนี้รึเปล่า???      แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัว  คิดว่าอย่างไร  คนประเภทแรกก็คงรู้สึกเหมือนกันว่าเขา "คลิก" กับคนๆหนึ่งง่ายกว่าอีกคน  หรือไม่ก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับบางคนเลย  ทั้งที่เหมือนจะคุยกันได้ด้วยดีก็ตาม      ในทางกลับกัน  ถ้าไม่เกินทน  คนที่ไม่สุงสิงกับใครเลย

คนเงียบแกล้งง่าย?

     (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)      ในสายตาคนขี้แกล้ง  คงไม่มีใครแกล้งสนุกเท่าพวกเรียบร้อยๆ  เพราะพวกนี้ไม่สู้คน  ไม่ตอบโต้  มีเรื่องอะไรก็ร้องไห้แงๆวิ่งไปฟ้องครูอย่างเดียว      ยิ่งถ้าแกล้งแล้วร้องวี้ดว้ายหรือมีปฏิกิริยาตอบกลับเนี่ย  สนุกนัก       ยิ่งแกล้งยิ่งได้ใจ  เมื่อเติบใหญ่  คนขี้แกล้งหลายคนเลยกลายเป็นนักรังแก  ที่เห็นคนมีจุดอ่อนหน่อยไม่ได้  ขวางหูขวางตาใครหน่อยไม่ได้  ต้องหาเรื่องมันสักหน่อย...      แล้วหลายคนมักคิดว่า  กลุ่มที่รังแกง่ายๆยังคงเป็นกลุ่มเดิม  เงียบๆ  หงิมๆ  ไม่ตอบโต้  ไม่มีพิษสงอะไรเลย       เหรอ?       ตอนเด็กน่ะใช่  คนที่มันไม่สู้คนอ่ะนะไม่คอขาดบาดตาย  ยังไงมันก็ไม่สู้คน  ช่างไร้พิษสงเสียจริงๆ       แล้วสู้เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า  เมื่อโตขึ้น  คนนิ่งๆเงียบๆ  ยังคงไร้พิษสงอยู่เช่นเคย      เคยดูซีรีย์พวก CSI หรือ Criminal Mind รึเปล่า  ตอนที่มีฆาตกรโรคจิตออกไล่ล่าฆ่าคนแบบไร้ความปรานีน่ะ       มีหลายตอนเหมือนกันนะ  ที่แสดงปูมหลังให้เห็นว่า  แรกเริ่มเดิมที  ฆาตกรเลือดเย็นเหล่านี้ก็เป็นคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆนี่แหละ  จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยน  เมื่

แม่หมอ story

     แม้ทุกวันนี้  หลายคนก็ยังรู้สึกว่าความสามารถในการทำนายโชคชะตาเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง      ....แม้จะมีคนประกาศตัวว่าดูดวงได้อย่างดาษดื่น      พอรู้ว่าใครสักคนดูดวงเป็น  คนจะแบบ  เก่งจังเลย  พรสวรรค์  โน่นนี่นั่น      ...ใครบอก  พรแสวงต่างหาก  ถ้าไม่อ่าน  ไม่เรียน  ไม่เชื่อเรื่องดวงอยู่ก่อนแล้ว  ที่ไหนจะไปฝึกจนดูเป็น  ส่วนที่เห็นว่าสามารถอธิบายได้เป็นฉากๆ  นั่นเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์และอ่านหนังสือมาเรื่อยๆหรอก      เอาล่ะ  มาดูกันดีกว่า  ว่าการใช้ชีวิตแบบคนดูดวงเป็น  มันยุ่งยากยังไงบ้าง      ตื่นเช้ามา  สิ่งแรกๆเลยที่นึกถึง  คือเปิดอ่านดวงประจำวัน  อย่างว่าน่ะนะ  คนเราถ้าไม่เชื่อเรื่องดวงเสียแล้ว  จะไปดิ้นรนให้ตัวเองดูดวงได้ทำไมกัน      ...น่าโมโหตัวเองอยู่เหมือนกันแหละ  ทำไมดูดวงรายวันเองไม่เป็น  จะได้ไม่ต้องเปิดจากสำนักอื่นให้เสียเวลา      ถ้าเขาทำนายว่าดีก็ไม่เท่าไหร่  แต่ถ้าแย่ขึ้นมา  จิตตกตั้งแต่นั้นไปเป็นชั่วโมง  เป็นวัน  เผลอๆเป็นสัปดาห์ก็มี      ควรโมโหตัวเองอีกสักทีที่เลิกอ่านเลิกเชื่อไม่ได้      จะออกจากบ้านก็เยอะ  ไม่ได้เยอะแบบต้องแต่งหน้าทำ

ก็เลยต้องอยู่คนเดียว

     คนบางคนเหมือนถูกรังสรรค์มาเพื่อให้อยู่คนเดียว      ไม่มีแฟน  ไม่มีเพื่อน  ไม่มีพี่น้อง(ลูกคนเดียว)  และ  สักวัน  ก็จะไม่มีพ่อไม่มีแม่ด้วย      แล้วใช้ชีวิตได้เหรอ?      ทำไมจะไม่ได้ล่ะ???      เริ่มที่ไม่มีแฟนก่อน  มันไม่ใช่ทุกคนดอกหนา  ที่เกิดมาเพื่อที่จะรักและรับความรักจากใครอีกคนอย่างหมดหัวใจ      มีหัวใจและความรู้สึกกับเขารึเปล่า  แน่นอนมี  หากแต่มันไม่ตกลงปลงใจที่จะเริ่มต้นไปรักใครหรืออะไรทำนองนั้น      มันก็แค่ชอบๆ  ปลื้มๆ  แต่มันไม่ได้คิดอยากครอบครอง  ไม่ได้จองเป็นของตัวเองให้วุ่นวาย      พี่ไม่สู้คน  ของตัวเองพี่ไม่ให้  แต่ถ้าไม่ใช่พี่ไม่ยุ่ง      นอกจากจะไม่เริ่มต้นไปรักใครแล้ว  คนเริ่มต้นมารักก็ไม่ยักกะมีด้วยล่ะ  อาจจะมีที่มาด้อมๆมองๆอยู่เหมือนกัน  แต่ทำแค่นั้นแล้วก็หายไปไหนไม่รู้      ฝรั่งเขาเรียก  gone with the wind  เก๋เนอะ      ไม่เคยรู้  ไม่เคยเข้าใจ  ไม่อินเลยอ่ะกับไอ้ฉากหวานๆในละครทั้งหลาย      ....กับฉากเอื้อมหยิบหนังสือจากชั้น  แล้วมีมือมาหยิบให้      มันไม่เคยมีอยู่จริง!!!  สิงในห้องสมุดมาจะครึ่งชีวิต  อ่านหนังสือมาเป็นสิบเป็นร้อยเล่ม

ปรับวันนี้ เปลี่ยนฟรีวันหน้า

         เราเป็นคนชอบแต่งนิยาย...อยู่ในหัวเงียบๆ       แต่งมาหลายเรื่องแล้ว  แล้วแต่ว่าตอนนั้นกำลัง "อิน" กับอะไร  เช่น  กำลังบ้าเกมโปเกมอนก็แต่งเรื่องว่าตัวเองเป็นเทรนเนอร์  กำลังชอบนิยายสืบสวนก็สร้างนิยายโรงเรียนนักสืบขึ้นมา  เป็นต้น      เรื่องที่แต่งๆนี่ไม่เคยเผยแพร่ออกสู่โลกภายนอกค่ะ  จึงเป็นธรรมดาที่จะลืมเรื่องที่แต่งจบไปนานแล้วบางเรื่อง      วันดีคืนดี  นี่ก็หยิบเรื่องที่แต่งมาเล่นใหม่  หากเป็นละครทีวี  ต้องเรียกว่า  หยิบมา  "รีรัน" (Rerun)      และการ "Rerun"  ครั้งนี้  ให้อะไรมากกว่าที่คิด      จริงๆแล้วเนี่ย  เรากะจะแค่รีรันอย่างเดียวแหละ  ปัญหาคือ  พอนึกไปนึกมามันดันลืมว่าบางส่วนที่แต่งไปแล้วน่ะ  แต่งว่าอะไร       งานนี้เลยรีรันอย่างเดียวไม่ได้  ต้องเขียนใหม่  หรือ  รีไรท์ (Rewrite)  ด้วย  หลายส่วนเลย       ตัวละครหลักยังคงเดิม  เนื้อเรื่องยังสไตล์เดิม  แค่เพิ่มตัวละครสำคัญบางตัวเข้ามา  เพื่อชดเชยบางสิ่งที่หายไปในใจ  รวมไปถึงเพิ่มเหตุการณ์บางเหตุการณ์ขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องหลัก      ....นี่ยังไม่รวมการใส่รายละเอียดลงไ

ชะตากรรมเดียวกัน : Single & Introvert

     รู้สึกมั้ยว่าการเป็นโสดกับการมีโลกส่วนตัวสูงนั้นมักโดนเขม่นจากโลกรอบตัวพอๆกัน      นึกไม่ออกเหรอ..ไม่เป็นไร  เดี๋ยวจะสาธยายให้อ่านว่า  ที่โดนๆมาน่ะ  มีอะไรบ้าง       "พยายามไม่เพียงพอ"      หลายครั้งที่คนโสดถูกกล่าวหาว่าโสดด้วยเหตุผลข้างต้น  ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนเงียบๆที่ชอบถูกกระตุกว่า  ควรพยายามพูดมากกว่านี้เพื่อผูกมิตรกับคนรอบข้าง           อะไรคือพยายามไม่มากพอ  ก่อนที่คุณจะกล่าวหาคำนี้  คุณเคยแจงรายละเอียดมั้ย      สำหรับคนโสด  มันอาจหมายถึงเราไม่ดูแลตัวเองมากพอ  แต่  ขอโทษเถอะนะ  เราก็เป็นของเรามาแบบนี้นานแล้ว  แล้วเพื่อนเรามันก็เป็นของมันแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน  ต่างกันแค่ว่า  "แบบนี้"  ของมัน  ดันต้องตาเพศตรงข้ามมากกว่า  หรือไม่  มันหน้าตาดีกว่า  ถามว่า  เราผิดเหรอ?       อย่าบอกว่าให้ทำแบบเพื่อน  เพราะเราทำไม่ได้       ดีไม่ดี  เพื่อนบางคนก็เป็นแบบเราเลย  แต่ดันมีคนชอบ  อันนี้แสดงว่า  มันไม่ได้อยู่ที่การกระทำอย่างเดียวแล้วล่ะ  บางที  เพื่อนอาจมีคู่ที่ตามกันมาแต่ปางก่อน  แต่เราไม่มีก็ได้      คนโลกส่วนตัวสูงก็เหมือนกัน  ชอบโดนเค้นให้หาเร