แม่หมอ story



     แม้ทุกวันนี้  หลายคนก็ยังรู้สึกว่าความสามารถในการทำนายโชคชะตาเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
     ....แม้จะมีคนประกาศตัวว่าดูดวงได้อย่างดาษดื่น

     พอรู้ว่าใครสักคนดูดวงเป็น  คนจะแบบ  เก่งจังเลย  พรสวรรค์  โน่นนี่นั่น

     ...ใครบอก  พรแสวงต่างหาก  ถ้าไม่อ่าน  ไม่เรียน  ไม่เชื่อเรื่องดวงอยู่ก่อนแล้ว  ที่ไหนจะไปฝึกจนดูเป็น  ส่วนที่เห็นว่าสามารถอธิบายได้เป็นฉากๆ  นั่นเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์และอ่านหนังสือมาเรื่อยๆหรอก


     เอาล่ะ  มาดูกันดีกว่า  ว่าการใช้ชีวิตแบบคนดูดวงเป็น  มันยุ่งยากยังไงบ้าง



     ตื่นเช้ามา  สิ่งแรกๆเลยที่นึกถึง  คือเปิดอ่านดวงประจำวัน  อย่างว่าน่ะนะ  คนเราถ้าไม่เชื่อเรื่องดวงเสียแล้ว  จะไปดิ้นรนให้ตัวเองดูดวงได้ทำไมกัน
     ...น่าโมโหตัวเองอยู่เหมือนกันแหละ  ทำไมดูดวงรายวันเองไม่เป็น  จะได้ไม่ต้องเปิดจากสำนักอื่นให้เสียเวลา
     ถ้าเขาทำนายว่าดีก็ไม่เท่าไหร่  แต่ถ้าแย่ขึ้นมา  จิตตกตั้งแต่นั้นไปเป็นชั่วโมง  เป็นวัน  เผลอๆเป็นสัปดาห์ก็มี
     ควรโมโหตัวเองอีกสักทีที่เลิกอ่านเลิกเชื่อไม่ได้


     จะออกจากบ้านก็เยอะ  ไม่ได้เยอะแบบต้องแต่งหน้าทำผม  แต่เยอะในแง่ที่ว่า  จะต้องดูว่าวันนี้ใส่สีอะไรได้  ใส่ของใหม่ได้มั้ย
     .....ห้ามใส่สีกาลกิณีเว้นแต่ไม่อยากสุงสิงกับใคร
     .....ไม่ใส่มุกวันพฤหัสฯกะศุกร์หรอกถ้าไม่จำเป็น
     .....สีอายุใส่แล้วจะไม่สบาย
     .....วันเสาร์กะอังคารห้ามใส่ของใหม่
     ฯลฯ 

     ไอ้เรื่องตัดเล็บก็เหมือนกัน  วันนี้ตัดได้  วันนั้นตัดไม่ได้นะ  เผลอๆไม่พูดเอง  ยังไปห้ามคนอื่นเขาอีก

     แม่เคยบ่นว่า   "มีหมอดูในบ้านนี่น่ารำคาญจริงๆ!!!"



     พอออกนอกบ้านไปเจอผู้คน  มันก็จะได้อีก  feeling  นึง

     เอาเรื่องหน้ามือเป็นหลังมือก่อน  กับบางคนเนี่ยนะ  เจอกันตอนแรกไม่เค้ยย  ไม่เคยจะชายตามอง  พอรู้ว่าดูดวงเป็นเท่านั้นแหละ
     ..........ปรี่เข้ามาเป็นมิตรเลยทันที  ขอดูดวงฟรีไว้ก่อน  เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
     ....บางทีก็ควรให้เวลาแม่หมอปรับตัวปรับใจบ้าง.....


     จริงๆการทำนายทายทักได้มีข้อดี  เพราะมันทำให้ได้เพื่อนมากขึ้น  ยิ่งถ้าดูให้ฟรีเนี่ย  คนชอบ  ผลคือ  เพื่อนก็จะแวะเวียนกันมาหา  อาจจะไม่ได้มากมาย  แต่ก็ไม่ได้เงียบเสียทีเดียวนัก

     แต่การรับดูดวงให้...นั่นคืองานที่เพิ่มขึ้น  เพราะต้องเอาข้อมูลเพื่อนกลับไปผูกดวงให้ที่บ้าน  ซึ่งถ้าว่างก็ไม่เท่าไหร่  ถ้าตอนนั้นงานยุ่งขึ้นมา  จะเหนื่อยเพิ่ม
     แล้วพอยังไม่ทำ  คนให้ก็ไม่กล้าทวง  นี่เลยลืมๆไป  พอเปิดสมุดมาอีกที  อ้าว  ยังไม่ดูให้เขาเลยว่ะ(รู้สึกผิดเบาๆ)
     นอกจากนี้การรับงานมากเกินไปส่งผลต่อระบบความจำ  เปิดสมุดมาอีกที  นี่มันใครวะเนี่ย???

     อย่าคาดหวังว่าแม่หมอจะจำวันเกิดคุณได้  ส่วนใหญ่จะจำได้ว่าคุณราศีอะไรเสียมากกว่า  เผลอๆอาจจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ  กรุณาเข้าใจหน่อยเถอะ  ที่ผูกๆไปมันเยอะจริงๆ

     นอกจากแรง  ทรัพยากรก็เสีย  คือเนต(ดูปฏิทินดาวออนไลน์)  หมึกปากกาและสมุด(จดดวงใส่สมุด)  แต่ ณ วันนี้ยังไม่คิดอะไร  เพราะสมุดปากกามีเหลือเฟือ  แถมยังสามารถเอาดวงของลูกค้ามาเป็นแบบฝึกหัดในการขัดเกลาทักษะในการดูดวงได้
     อะไรที่ทำให้เก่งขึ้นได้  ก็ควรจะขอบคุณ  ไม่ใช่เหรอ? 
     แถมการจดดวงเอาไว้ก็ทำให้ง่ายเวลาเพื่อนกลับมาให้อัพเดตดวงชะตา  ก็แค่เปิดสมุดแล้วเอาไปเทียบกะดาวจรในปัจจุบัน  ฟังดูยุ่ง  แต่ไม่ยากหรอก  แป๊บเดียวเอง  ชิวๆ

     จะว่าไป  พออายุมากขึ้นนี่  ดูนานๆก็เริ่มมึนเหมือนกันนะ...


     หรือบางที  การดูดวงได้คนเดียวในกลุ่มเพื่อน  มันก็จะกินเวลาส่วนตัวหน่อยๆ

     นึกภาพ  ไปซื้อข้าวมานั่งกิน  กำลังจะตักข้าวเข้าปาก  มือจากไหนไม่รู้ยื่นมาตรงหน้า  "ดูลายมือค่ะแม่หมออออ"
      .....ขอแม่หมอหม่ำข้าวก่อนนะ  ไหว้ล่ะ

     หรือนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดแล้วจู่ๆมีเพื่อนมานั่งข้างๆ  ขอปรึกษาปัญหาชีวิต(แต่อิงหลักดวงชะตา)หน่อยค่ะ  คืองี้ๆๆๆ
     ....บางทีก็สงสัยว่าทำไมปัญหาต่างๆถึงแก้ด้วยการดูดวงได้  ปัญหาแม่หมอไม่เห็นแก้ได้ด้วยการดูดวงเลยวุ้ย
     แต่ก็ยินดีช่วยทุกคนที่มาถามล่ะนะ  พอเข้าใจอยู่ว่าการมีใครสักคนรับฟังเวลาเกิดอะไรขึ้น  อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้


     "เมื่อเรามีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี  เราก็ควรใช้ทักษะที่เรามีให้เป็นประโยชน์แก่คนรอบข้าง"

     นั่นคือสิ่งที่แม่หมอบอกกับตัวเอง



     การดูดวงเป็นยังมีผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างในอีกแง่มุมหนึ่ง

     จริงๆไม่ต้องดูดวงได้  แม่หมอก็พอรู้ได้เองแหละ  ว่าเข้ากับเพื่อนคนไหนได้ดีมากกว่ากัน  ทีนี้  พอรู้จักไปพักนึงแล้วเขาเอาดวงให้ผูก  คราวนี้ชัด
     ....นั่นไง  ราศีเข้ากันได้  ถึงว่าคุ้นเคยกันได้เร็วนัก
     ....ว่าแล้วเชียว  ราศีเข้ากันไม่ค่อยได้  คบๆไปถึงรู้สึกเหมือนว่าเหมือนน้ำกับน้ำมัน

     ส่วนใหญ่ก็ตรงตามที่คิดไว้แต่ต้น  มีบ้างเหมือนกันที่  เอ๊ะ....ถ้าดวงแบบนี้ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ  แล้วค่อยมานั่งหาคำตอบเป็นฉากๆกันต่อไป
     แม่หมอหาอยู่คนเดียว  คนอื่นเขาหาหรือเปล่าไม่รู้

     จริงๆการเป็นเพื่อนกันไม่ต้องคำนึงถึงราศีหรอก  เพราะตราบใดที่ไม่คิดอยากมีศัตรู  จะราศีไหนก็คบได้หมด
     ...แค่รู้ไว้เป็นแนวทางในการระแวดระวังเฉยๆ  ซึ่งจริงๆก็ไม่ควรไว้ใจใครมากอยู่แล้ว  เพราะทุกคนสามารถทำร้ายคนอื่นได้ทั้งสิ้นหากมีเหตุผลเพียงพอ  แล้วใครจะไปรู้ว่าเหตุผลมันจะมาวันไหน

     แต่ถ้าคบเป็นแฟนน่ะ  อีกเรื่อง 


     เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า  ท่านจะสอนลูกสาวว่า  ถ้าชอบใครก็ไปบอกเขาเลย  ไม่ต้องรอให้ผู้ชายมาจีบแค่ฝ่ายเดียว  ผู้หญิงควรมีสิทธิเลือกบ้าง

     แม่หมอตอบอาจารย์ไปว่า  แม่หมอจะไม่ทำอย่างนั้นจนกว่าจะรู้ว่าราศีเข้ากันได้  พร้อมวงเล็บในใจว่า  ดวงต้องดีพอๆกันด้วย
     ปกติก็หาคนเข้ามายากอยู่แล้ว  นี่ยังจะเพิ่มเงื่อนไขมากเข้าไปอีก!

     อาจารย์เลยบอกว่า  งั้นจับเขาผูกดวงก่อนเลยแล้วค่อยจีบ
     พุทโธ่  ท่านอาจารย์คะ  ใครเขาเอาดวงให้คนอื่นผูกง่ายๆกันล่ะคะ  คิดอยู่ในใจ

     การดูดวงเป็นหมายความถึงการรู้ว่าตัวเองเข้ากับราศีไหนได้มากกว่าราศีไหน  และรู้ด้วยว่าไม่ควรคบกับราศีอะไร  เพราะฉะนั้น  ราศีของอีกฝ่ายจึงเป็นคุณสมบัติต้นๆที่ต้องพิจารณาก่อนที่จะเปิดใจ

     ถ้าคนที่คุณแอบชอบดูดวงเป็น  สิ่งที่ควรทำประการแรกคือเอาดวงไปให้เขาผูก  เพื่ออีกฝ่ายจะได้ทราบว่ามีแนวโน้มเข้ากันได้มากน้อยเพียงใด

     และ  หากราศีเข้ากันไม่ได้  คำแนะนำมีประการเดียวคือ  ตัดใจซะ  คุณไม่ผ่านตั้งแต่คุณสมบัติข้อแรกแล้วล่ะ


     เนี่ย  ดูดวงเป็นแล้วเรื่องมาก  แต่เรื่องมากก็ยังดีกว่าเลือกมาแล้วไม่ดี  หรือมิใช่?



     แล้วการเป็นแม่หมอเนี่ยบางครั้งก็รู้สึกว่ามันมี  "ราคาที่ต้องจ่าย"  นอกเหนือจากที่เล่าไปเหมือนกัน  เช่น  ต้องระลึกไว้เสมอว่าการดูดวงได้ไม่ใช่สิทธิที่จะก้าวล่วงคนอื่นโดยการเอาดวงเขามาดูโดยที่เจ้าของไม่อนุญาตได้
     ลองแล้ว  ป่วยมาแล้ว  เล่าได้

     หรือตระหนักว่าการล่วงรู้ดวงชะตาใครก็ไม่ใช่อำนาจที่จะคว้าเขาออกมาให้พ้นจากผลกรรมแต่ปางก่อนได้  หากมันเป็นสิ่งที่เจ้าตัวต้องเผชิญในขณะนั้นจริงๆ
     ดีไม่ดี  เจ้ากรรมนายเวรเขาจะมาเล่นแม่หมอแทน

     แล้วบางทีก็ยังไม่แน่ใจตัวเองว่า  การเป็นคนป่วยบ่อยๆแบบนี้  ไม่รู้เพราะดูดวงได้ด้วยรึเปล่า

     หรือแม้แต่ความรู้สึกทางใจที่อิจฉาคนอื่นด้วยเหตุผลว่า  ดวงก็ไม่ดีเท่าเรา  ทำไมชีวิตดีกว่าเรา  เชื่อสิ  คุณไม่มีทางสัมผัสอารมณ์นี้ได้หากคุณดูดวงไม่เป็น

     และยังมีจรรยาบรรณอีกหลายข้อที่ไม่ต้องสอนแต่รู้ได้ด้วยตัวเองในขณะทำนายว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดแบบนี้  ไม่เช่นนั้นอาจเกิดผลนี่ๆๆได้

     ท้ายที่สุด  การรู้ในสิ่งที่หลายคนไม่รู้นั่นคือการรู้มาก  และการรู้มากก็นำมาสู่การ  "คิดมาก"  อันก่อให้เกิดความเครียดต่างๆตามมา  จนบางทีรู้สึกว่า  หากไม่รู้ถึงเพียงนี้ก็คงไม่คิดมากขนาดนี้หรอก

     อย่างว่า  การได้มาซึ่งสิ่งหนึ่งย่อมต้องเสียอีกสิ่งหนึ่งไปเสมอ



     สุดท้าย

     หากคุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ดูดวงไม่เป็น  ไม่ต้องเศร้าใจไป  คุณไม่ใช่คนเดียวในโลก  และการดูดวงเป็นมันก็ไม่ได้เป็นดั่งมนต์วิเศษที่บันดาลได้ทุกอย่างขนาดนั้น
     ดูซิเนี่ย  แม่หมอยังนั่งทำงานกินเงินเดือนอยู่เลย

     แต่ถึงแม้คุณจะไม่ค่อยรู้เรื่องการดูดวงนัก  มันคงไม่เสียหายอะไรหากคุณจะหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูดวงอย่างน้อยสักศาสตร์เอาไว้บ้าง  เคราะห์หามยามไม่ค่อยดี  มีหมอดูไร้จรรยาบรรณจะเอาเรื่องการดูดวงมาหลอกจะได้พอรู้ทันบ้าง
     ........อย่างน้อยๆนะ  ถ้าเห็นว่าจะเรียกทรัพย์สินล่ะก็  ปฏิเสธไปเลย  และจำไว้  ไม่มีกรรมได้แก้ได้ด้วยการเสียเงินให้หมอดู ค่ะ  กรรมดำต้องแก้ด้วยกรรมขาวเท่านั้น
     มาถามนี่ก็ได้  จะหาวิธีแก้แบบพุทธให้

     แล้วก็คงพอเห็นๆแล้วว่า  การดูดวงได้เนี่ย  มันมีความยุ่งยากของมันอยู่  (นี่แค่ส่วนหนึ่งนะ  ยังเล่าไม่หมดด้วยซ้ำ) 


     ยังคงยืนยันที่จะทิ้งท้ายเหมือนๆทุกครั้ง  นั่นคือ  แม่หมอเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญกว่าดวงชะตานั่นคือความคิดและการกระทำของตัวคุณเอง  การมีหรือไม่มีอะไรซึ่งเป็นผลแต่ชาติปางก่อนนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ก็จริง  แต่ชีวิต ณ ตอนนี้  เราเลือกได้ว่าจะผลักดันมันไปทางใด

     คุณเท่านั้นเป็นผู้กำหนดชีวิตของคุณ  หาใช่การเดินของดาวที่อยู่แสนไกล...แต่อย่างใด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ