ก็เลยต้องอยู่คนเดียว



     คนบางคนเหมือนถูกรังสรรค์มาเพื่อให้อยู่คนเดียว

     ไม่มีแฟน  ไม่มีเพื่อน  ไม่มีพี่น้อง(ลูกคนเดียว)  และ  สักวัน  ก็จะไม่มีพ่อไม่มีแม่ด้วย


     แล้วใช้ชีวิตได้เหรอ?

     ทำไมจะไม่ได้ล่ะ???



     เริ่มที่ไม่มีแฟนก่อน  มันไม่ใช่ทุกคนดอกหนา  ที่เกิดมาเพื่อที่จะรักและรับความรักจากใครอีกคนอย่างหมดหัวใจ

     มีหัวใจและความรู้สึกกับเขารึเปล่า  แน่นอนมี  หากแต่มันไม่ตกลงปลงใจที่จะเริ่มต้นไปรักใครหรืออะไรทำนองนั้น
     มันก็แค่ชอบๆ  ปลื้มๆ  แต่มันไม่ได้คิดอยากครอบครอง  ไม่ได้จองเป็นของตัวเองให้วุ่นวาย
     พี่ไม่สู้คน  ของตัวเองพี่ไม่ให้  แต่ถ้าไม่ใช่พี่ไม่ยุ่ง

     นอกจากจะไม่เริ่มต้นไปรักใครแล้ว  คนเริ่มต้นมารักก็ไม่ยักกะมีด้วยล่ะ  อาจจะมีที่มาด้อมๆมองๆอยู่เหมือนกัน  แต่ทำแค่นั้นแล้วก็หายไปไหนไม่รู้
     ฝรั่งเขาเรียก  gone with the wind  เก๋เนอะ


     ไม่เคยรู้  ไม่เคยเข้าใจ  ไม่อินเลยอ่ะกับไอ้ฉากหวานๆในละครทั้งหลาย

     ....กับฉากเอื้อมหยิบหนังสือจากชั้น  แล้วมีมือมาหยิบให้
     มันไม่เคยมีอยู่จริง!!!  สิงในห้องสมุดมาจะครึ่งชีวิต  อ่านหนังสือมาเป็นสิบเป็นร้อยเล่ม  ก็ยังต้องยืนเขย่งหยิบเองเหมือนเดิม  ไหนอ่ะมือมาช่วย?
     ดีไม่ดีตอนลงดันผิดท่า  เท้าพลิกอีก  โอ๊ย

     .....กับฉากข้ามถนนแล้วมีคนมาจับมือข้าม
     มันก็ไม่มีอีกเหมือนกัน  ยืนอยู่ริมฟุตบาท  มองซ้าย  มองขวา  มองซ้าย  มองขวา  นอกจากรถจะไม่หยุดแล้ว  เพื่อนข้ามก็ไม่มี  (หรือถ้าจะมีมันก็ข้ามไปนู่นละไม่รอเพื่อน)  ต้องรอจนรถทิ้งช่วงแล้วถึงกลั้นใจข้ามมาได้เนี่ย
     เคราะห์ดีที่มอเตอร์ไซต์คันนั้นยังมาไม่ถึง  ไม่งั้นอาจตายได้...

     .....กับพล็อตยอดฮิตที่เข้าทำงานที่ไหนได้เป็นสะใภ้ที่นั่น
     หัวหน้าก็แก่แล้ว  รองหัวหน้าก็แก่แล้ว  เลขานั่นลูกสอง  ที่เหลือ  ถ้าไม่หน้าม่อก็ขี้เหล้า  ส่วนคนที่หล่อที่สุดก็ดั๊นนน  ไม่ชอบผู้หญิง
     คบเกย์เป็นเพื่อนสาวก็ได้  สบายใจ 

     อะไรที่เป๊ะๆแบบนิยายหวานแหววอ่ะไม่มี  ที่แย่กว่าคือบางที  ดันรู้สึกเหมือนอยู่ในนิยายสืบสวนซะอย่างนั้น
     สวดมนต์ดีกว่า


     ก็เลยต้องอยู่คนเดียว...



     ส่วนเพื่อน  จริงๆก็พอมีเพื่อนหรอกนะ  แต่ไม่ได้มีเพื่อนอยู่ตลอดเวลาไง

     เคยเห็นไหม  เคยเห็นใช่มั้ย  ประเภทที่เหมือนจูงมือกันออกมาแต่ชาติปางก่อนน่ะ  ไปไหนก็ไปด้วยกัน  เรียนที่เดียวกัน  ทำงานใกล้กัน  เป็นเงาของกันและกัน
     ...คนบางคนก็เกิดมาแบบไม่มีเงา (หัว เอ๊ย  ไม่ใช่)

     อยู่ตรงนี้ก็มีเพื่อนตรงนี้  อยู่อีกตรงนึงก็มีเพื่อนอีกตรงนึง  พอให้กล้อมแกล้มไปกินข้าวด้วยอยู่บางวัน  แต่ก็แค่บางวันไง  วันดีคืนดีไปชวนกินข้าว
     อ้าว....เพื่อนหาย

     คนบางคนก็เป็นประเภทมีเชื้อไก่  จะโทรหรือไลน์จิกๆๆๆ  ว่าเพื่อนอยู่ไหน  แล้วแทรกตัวไปพร้อมกับเพื่อนให้ได้
     บางคนไม่ใช่แบบนั้นไง  อ้าว  ไม่อยู่  เออ  หิวแล้ว  ไปกินข้าวคนเดียวก็ได้
     สบายใจดีไปอีกแบบ  แค่กังวลว่าเพื่อนจะโกรธรึเปล่า  แต่ช่างเถอะ  เขาอยู่กันหลายคน  ไม่ได้ไปตามลำพังแบบทางนี้สักหน่อย

     เคยเข้าใจไปเองว่าเป็นคนดวงถูกเพื่อนทิ้งตั้งแต่ไหนแต่ไร  คือเพื่อนสนิทก็ไม่ค่อยจะมี  ไอ้ที่มีก็ไม่ค่อยยอมไปไหนด้วยเล้ยยย  สุดท้ายเลยตัดการมีเพื่อนทิ้ง  คิดว่าอยากไปไหนก็ไป  แล้วค่อยไปหาเพื่อนเอาดาบหน้าอีกที
     ....ซึ่ง  ก็นะ  เงียบแบบนี้ก็ไม่ได้หาได้ง่ายหรือเยอะนักหรอก
     คิดว่าคอขาดบาดตายเหรอ  บางทีก็ไม่

     พอโตขึ้นมาเริ่มคิดในมุมกลับ  เออ  ทางนี้ต่างหากที่ทิ้งเพื่อนในหลายๆครั้ง  ไม่ว่าจะเป็นการตัดช่องน้อยแต่พอตัวทิ้งเพื่อนให้อยู่คนเดียวครั้งกระโน้น(ยังรู้สึกผิดมาจนทุกวันนี้)  หรืออีกหลายๆครั้งที่พอหวนกลับมานึกถึงแล้วแบบ  เออ นี่เป็นเพื่อนที่แย่มากเลยว่ะ
     สมควรแล้วที่ทุกคนจะทิ้ง..

     แล้วด้วยความที่เป็นคนเงียบ  ไม่เปิดใจง่ายๆ  เลยทำให้คนรอบข้างรู้สึกเกร็งๆตอนอยู่ด้วย  ไม่หยอกล้อ  ไม่แกล้งใคร  เพียงยิ้มอย่างเดียว  จึงเหมือนเข้าถึงยากยิ่งขึ้นไปอีก 
     มีเหมือนกันที่เพื่อนเริ่มชินละกับการที่ไม่พูด  แต่มันต้องอยู่ด้วยกันสักพัก  ไม่งั้นเขาชอบไปนินทาลับหลังว่า  "เงียบจัง" 

     ด้วยเหตุนี้กระมังจึงรู้สึกเหมือนไม่สนิทกับใคร  และแทบไม่มีใครสนิทด้วย

     ส่วนที่เหมือนจะสนิทมักมีเหตุให้ห่างกันไกล  คุยกันได้เพียงในโปรแกรมสนทนา  ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้กันเท่าใดนัก

   
     ก็เลยต้องอยู่คนเดียว...



     การอยูู่คนเดียวอาจดูเป็นเรื่องแปลกประหลาดในสายตาของใครหลายคน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  คนที่ต้องมีเพื่อนไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา
     แต่ถามว่าการมีเพื่อนสำคัญขนาดเป็นปัจจัยที่ห้าที่หกของชีวิตไหม  มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น

     สำคัญคือต้องแยกให้ออกระหว่าง  ชอบอยู่คนเดียวมากกว่า  กับ  ไม่เอาใครเลยในชีวิต

     การชอบไปไหนคนเดียวยังถือเป็นคนปรกติได้  ตราบใดที่เวลาเข้าสังคมยังแสดงให้เห็นถึงการเอาเพื่อนเอาฝูง  สนหัวหน้า  แคร์ลูกน้อง  ใส่ใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง  หรือยังพูดจาปราศรัยกับมิตรสหายได้เป็นปกติ  เพียงแต่ว่าไม่ยึดใครไว้เป็นสรณะตลอดเวลา 

     ในขณะที่การไม่เอาใครเลยนั้น  ค่อนข้างโน้มเอียงไปทางผิดปกติ  ไม่ผิดได้รึ  นั่งนิ่งไม่สนใจใครเลยในชีวิต  ไม่นอบน้อมผู้ใหญ่  ไม่เห็นใจผู้น้อย  หรือทำทีรังเกียจเดียดฉันท์เพื่อนร่วมโลก  อะไรแบบนั้น  อันนี้นอกจากจะไม่ค่อยปกติ  ดีไม่ดียังอันตรายอีก  ยิ่งถ้าชอบการทำร้ายหรือฆ่าแกงกันด้วยแล้วละก็นะ
     ....เห็นความแตกต่างรึยัง 


     ไม่ใช่แค่คนรักหรอกที่ไม่ได้มากพอสำหรับทุกคน  คนข้างๆก็เช่นกัน  คนที่มีทุกอย่างยกเว้นคนข้างๆก็มีถมไป 
     เป็นความเงียบเหงาที่งดงาม.....รึเปล่า

     จริงๆแล้ว  การอยู่คนเดียวอาจไม่เหงาและเจ็บปวดเท่าการอยู่กับคนที่ไม่เข้าใจหรือเอาแต่ทำร้ายคนข้างๆก็ได้นะ  ใครจะรู้ 


     เป็นอย่างไรบ้างล่ะตอนนี้  มีคนข้างๆอยู่แล้ว  หรือเป็นประเภท  "ก็เลยต้องอยู่คนเดียว"  เหมือนๆกัน 

     เชิญชวนนะ  ถ้าไม่รังเกียจ  ลองอยู่คนเดียวดูบ้างก็ได้  มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เลวร้ายนักหรอก 


     ....มาอยู่คนเดียวด้วยกันมั้ยล่ะ?....


   

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ