งานต้องเดินไป แม้ใจไม่พร้อม



     ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า "เรายิ้มเราร้องไห้ง่ายดายนัก ในวัยแห่งความรักและความฝัน"  เพื่อเป็นคำอธิบายว่าในยามที่เรายังอยู่วัยแรกรุ่นนั้นน่ะ  เราช่างมีอารมณ์อ่อนไหวไปกับสิ่งรอบตัวได้ง่ายเสียจริง 

     แล้ววัยทำงานเล่า  เป็นวัยที่เย็นชาไร้หัวใจไปแล้วล่ะหรือ? 

     อยู่ซี  หัวใจยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ 



     บางที  มันอาจจะมาจากปัจจัยภายนอกที่ต่างกันก็ได้

     วัยรุ่นเป็นวัยที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่านและมีการตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวได้เต็มที่  ผลคือไม่ว่าอารมณ์อะไรจะเข้ามา  วัยรุ่นหลายคนมีแนวโน้มจะ "อิน" ไปกับมันอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน
     อีกปัจจัยเสริมนั่นก็คือวัยรุ่นโดยทั่วไปเป็นวัยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก  หน้าที่หลักคือเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนหนังสือ  และถ้าคุณผ่านรั้วมหาวิทยาลัยมาแล้ว  คุณก็คงเข้าใจว่า  ระหว่างเรียนหนังสือนั้นมีช่วงให้ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวมากเพียงใด

     บางเทอมเรียนแค่สองวัน  บางเทอมเรียนแค่สามวัน  บางเทอมเรียนทุกวันแต่แค่ช่วงเช้าบ่ายว่าง ฯลฯ  ไอ้ช่วงที่  "ว่าง"  เนี่ยแหละ  เป็นอะไรที่เอื้อต่อการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆเสียเหลือเกิน

     ......ชอบศิลปินคนไหนก็เฮละโลกันไปดูคอนเสิร์ต  ยิ่งถ้าจัดวันไม่มีเรียนหรือสอบเสร็จพอดีนะ  โหย  อย่างกับสวรรค์  หรือต่อให้จัดตรงกับเวลาเรียนจริงๆ  ถ้าคาบนั้นไม่ต้องเช็คชื่อก็ฝากเพื่อนเข้าก็ได้วะ  ค่อยตามเลคเชอร์อีกที
     ......เที่ยวมั้ย ป่ะ เที่ยว  ยิ่งช่วงปิดเทอมหรือหยุดกีฬามหาวิทยาลัยนี่  ว่างเกินอาทิตย์เลยนะเว่ย  ป่ะ  แบกเป้ไปต่างจังหวัดกันดีกว่า 
     ......ปวดท้องวันนั้นของเดือนจังงง  (โทรศัพท์)'แก  ขอหยุดสักสองวัน  ยังไงฝากเก็บชีทด้วยนะ'
     ......รักใครชอบใครไม่ต้องกินไม่ต้องนอนมันละ  เทียวเฝ้าเช้าเย็น  ผลจะเป็นไงค่อยว่ากันอีกที
     ......"แก  มันทิ้งชั้นไปแล้ว!!"(ร้องไห้)  "ชั้นยังไม่อยากกลับบ้าน  เย็นนี้ไปคาราโอเกะเป็นเพื่อนหน่อยดิ"
     ฯลฯ 

     เห็นมั้ย  เยอะ  อารมณ์อ่ะเยอะ  เวลาที่หล่อเลี้ยงอารมณ์เหล่านี้ก็เยอะ  นั่นทำให้ดูเหมือนเราจะยิ้ม  จะร้องไห้  จะเชื่อมั่นหรือทำตามความเชื่อได้ง่ายๆในวัยแรกรุ่น  จริงๆก็คืออารมณ์ของเรามันมีเวลาให้ตอบสนองได้เหลือเฟือเท่านั้นเอง



     มาดูวัยทำงานกันบ้าง 

     ทำงานห้าวันต่อสัปดาห์  เข้างานแปดโมงครึ่ง  พักกลางวันแค่เที่ยงถึงบ่ายโมง  เลิกงานสี่โมงครึ่ง  (บางที่ก็เลิกค่ำเลย)  ถ้างานเยอะก็เลิกช้ากว่านั้น  ปิดเทอมไม่มี(เว้นแต่เป็นครูอาจารย์)  หยุดยาวแต่ละทีแค่ช่วงวันหยุดเทศกาล 
     ต่อให้อยากมีอารมณ์ร่วมรุนแรงก็ไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปร่วม

     คอนเสิร์ตเหรอ  เก็บตังค์ก่อน  แล้วดูได้แค่ตอนกลางคืนและ/หรือเสาร์-อาทิตย์นะ  วันธรรมดาต้องทำงาน 
     หรือบางที  ไม่ไปนะ  ไม่มีตังค์/พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า 

     เที่ยวมั้ย  เอ้อ  เดี๋ยวดูตารางงานก่อน  นี่ถ้าไม่ตัดใจลางานล่วงหน้าไปเลย  ก็ต้องรอเที่ยวช่วงเทศกาลเพื่อพบว่ามีคนอีกล้านแปดไปที่เดียวกับเราในตอนนั้นเหมือนกัน  คุณค่าที่คนทำงานอย่างเราคู่ควรจริงๆ
     ...เขียนถึงตรงนี้แล้วชักอยากมีเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านดูบ้าง  เผื่อจะมีเวลาไปเที่ยวมากขึ้น(ตื่น!!)

     เมนส์มาหรือคะ  หิ้วถุงน้ำร้อนมาที่ทำงานดิ  อย่าไปเหวี่ยงใส่หัวหน้าล่ะเดี๋ยวศพไม่สวย 

     อกหัก  รักคุด  ตุ๊ดด่า  หมาตาย  ยายเข้าโรงพยาบาล  เอ้อ  ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้สึกอะไรนะ  แต่เราก็ยังต้องทำงานอยู่ดี 


     อย่างที่บอก  หัวใจเรายังอยู่ที่เดิม  แต่ที่เพิ่มเติมคือภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ  ถึงแม้ว่าเราจะประสบกับเหตุการณ์ใดๆก็ตาม  เมื่อวันใหม่เริ่มต้นขึ้น  สิ่งที่ต้องทำคือลุกจากที่นอน อาบน้ำ  และมาทำงาน  และเมื่อมาถึงที่ทำงาน  แม้ว่าอาการปวดท้องเมนส์มันจะกำเริบขึ้นมากะทันหันสักเพียงไหน  ตราบใดที่สติสัมปชัญญะยังไม่ขาดหาย  เราก็ยังต้องเตรียมการสอน  เข้าประชุม  ขึ้นว่าความ  นั่งพรู้บต้นฉบับ  เขียนคำพิพากษา  ตรวจบัญชี  จับผู้ร้าย  ฯลฯ  อยู่ดี
     แม้ว่าขณะที่นั่งพิมพ์งานอยู่นั้น  เราจะต้องพิมพ์งานไปทั้งน้ำตา  หรือกลั้นน้ำตาเอาไว้สักเพียงใด 

     นี่จำได้แม่น  ตอนรัชกาลที่ ๙ สวรรคตช่วงแรกๆ กลับบ้านไปก็ร้องไห้  ตื่นมาทำงานทั้งตาแบบนั้น  นั่งทำงานไปถ้ามีใครกล่าวถึงพระองค์หรือเกิดนึกถึงขึ้นมาก็มีน้ำตารื้นขึ้นมานิดๆ  มีวันหนึ่งทนไม่ไหว  ซบหน้าร้องไห้ลงกับโต๊ะทำงานช่วงพักเที่ยงมันไปเลย 
     เสียใจน่ะเรื่องนึง  แต่งานที่ต้องทำก็อีกเรื่องนึงเหมือนกัน

     หลังจากทำงานมาสักพักเราอาจรู้สึกว่าตัวเองมีทักษะ  multitask  (ทำงานได้หลายหลายในเวลาเดียวกัน)  ในแง่ที่ว่า  เราสามารถจัดการกับงานที่อยู่ตรงหน้าไปพร้อมกับทำใจเรื่องส่วนตัวไปด้วยในเวลาเดียวกัน
     งานก็ต้องทำ  ใจก็ต้องซ่อม  อะไรแบบนั้น 

     เห็นไหม  หัวใจยังอยู่ที่เดิม  ยังคงรู้สึกรู้สากับสิ่งต่างๆที่เข้ามาเช่นเดิม 



     แต่แม้หัวใจยังคงเป็นดวงเดิม  และความรู้สึกก็ไม่เคยหายไป  แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งของชีวิต  คนทั่วไปจะตระหนักได้เองว่า  "อะไร"  ที่สำคัญที่สุด 

     "งาน"  และ  "เงิน" 

     เราต้องหาเงินมาใช้จ่าย  มาจุนเจือครอบครัว  มาซื้อหาของที่อยากได้  มาเป็นทุนในการทำสิ่งต่างๆ  และเพื่อจะได้เงินมา  เราก็ต้อง  "ทำงาน" 

     เราต่างรู้ว่าเมื่อมีหน้าที่การงานแล้ว  ความรับผิดชอบต่องาน  เป็นสิ่งสำคัญ  ดังนี้  หากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายอะไรจริงๆ  ไม่ว่าอย่างไร  งานก็ต้องเดิน
     ...ถ้าป่วยไม่มากก็ต้องมาทำงาน
     ...อยากลาเที่ยว  ลาได้  แต่ก่อนลาต้องเคลียร์งาน  อย่าทำตัวเป็นภาระคนอื่นด้วยการกองงานให้เพื่อนทำ
     ...คนในครอบครัวเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง  ลาได้เท่าที่จำเป็น  แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาทำงาน
     ...มาถึงออฟฟิศก็ต้องทำงาน  จะมานั่งเวิ่นเว้อทั้งวัน  จะแวบออกจากโต๊ะไปส่องสาว/หนุ่ม  หรือทำอะไรให้เสียถึงการทำงาน  ไม่ได้ 
     และอื่นๆอีกมากมาย 

     เพราะเราต่างรู้ว่า  โทษของการเกเรงานคือการ  "โดนออก"  นั่นหมายความว่า  "แหล่งเงิน"  ที่เรามี  มันจะสลายวับไปเลยกับตา  แถมเราก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะหางานใหม่ได้เมื่อไหร่
     เราจึงต้องรักษาตำแหน่งงานตัวเองไว้ยิ่งชีพ

     ดังนี้  ไม่ว่าหัวใจเราจะเป็นอย่างไรก็ตามในแต่ละวัน  การปฏิบัติงานยังคงต้องดำเนินต่อไป 



     เราไม่ได้สลัดหัวใจและความรู้สึกทิ้งไปตอนวัยทำงาน  เราเพียงมีวุฒิภาวะมากพอที่จะให้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์  เราเพียงยึดหลักที่ว่าเราจะไม่ยอมให้ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในหัวใจมาทำให้  "งาน"  และ  "ชีวิต"  เรา  "พัง" 
     บางครั้งเราก็ทำตัวไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์  ที่ทำทุกอย่างไปตามหน้าที่  แต่ถามว่าหัวใจอยู่ไหนในตอนนั้น  คำตอบคือ  ไม่รู้เหมือนกัน
     และอีกหลายที  เราก็ใช้  "งาน"  เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทำให้เรายังสามารถเป็นผู้เป็นคนอยู่ได้  ในวันที่หัวใจเหมือนจะ  "พัง"  ไปแล้ว
     และถึงแม้งานจะทำให้เราเหนื่อยล้าหรือเกิดความรู้สึกด้านลบ  เราก็ยังต้องอดทนทำงานกันต่อไป  ส่วนพลังใจที่ร่อยหรอนั้นเก็บไว้ซ่อมหลังเวลางานอีกที...ถ้าซ่อมได้ 

     ตอนนี้คือเวลาสร้างอนาคต  และเราต้องอดทน  ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม 

     ส่วนเรื่องของหัวใจก็.....ไว้ว่ากันทีหลัง 


     เป็นกำลังใจให้คนทำงานทุกคน 

   

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ