คนขาดแคลนเพื่อนสนิท


     นั่งคุยกับพ่อ  พ่อถามถึงเพื่อนคนหนึ่งซึ่งไปออกพื้นที่ที่เดียวกันว่า  ตอนอบรม เธอมีกลุ่มเพื่อนของตัวเองหรือเปล่า

     "มี  เขามีเพื่อนสนิทเหลือเฟือจะตาย"  นั่นคือเรื่องจริง  เพื่อนคนนี้เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี  ไปไหนก็เข้ากับใครง่ายไปหมด
    ...ดวงที่มีดาวบริวารกุมลัคน์ก็แบบนี้....อุ๊บส์

     "ไม่เหมือนลูกหรอกที่เป็นพวก  เพื่อนสนิทขาดแคลน..."

     และนี่ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน


     เราเป็นคนเพื่อนสนิทขาดแคลนมานานแล้ว   ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด  ไม่ว่าคนทั่วไปจะมีคู่ซี้กี่ร้อยกี่พันคนแล้วก็ตาม

     เพื่อนที่เรากล้าเรียกว่าสนิทจริงๆ  ทุกวันนี้ยังคงมีไม่เกินสิบคนอยู่
    ....เผลอๆน้อยกว่าห้าคนด้วยซ้ำ....



     "ก็ลูกเป็นคนปิดตัวเองนี่นา"  พ่อว่า  ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

     มันทำไม่ได้อ่ะ  ที่จะเจ๊าะแจ๊ะไปทั่ว  ทำไม่ได้ที่จะพูดเป็นต่อยหอยกับคนที่เพิ่งรู้จักชั่วครู่ชั่วยาม
    ...และทำไม่ได้  ที่จะไว้วางใจใคร  ทั้งที่ไม่รู้จักกันดีพอ

     "ก็ถูกแหละ"  เราว่า  "แต่มีอีกอย่างหนึ่งด้วยนะ  นั่นคือ..."

     "ลูกเป็นคนไม่ตามใครไง"


     เราเป็นคนไม่ตามใครจริงๆ

     ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะไหน  รู้จักกันแล้วหรือไม่รู้จักกัน  เราก็ไม่ตาม

    ...ต่อให้เราอยากรู้จักใครสักคนเพียงใด  หากเขาทำท่าทีแม้แต่นิดเดียวว่า  ไม่อยากรู้จักเรา
     เราก็จะปล่อยเขาไป

     และแม้รู้จักกันแล้ว  ถ้ายังไง้..ยังไง  ก็จูนกันไม่ได้  ไม่น่าจะสนิทกันได้สักที
     เราก็จะปล่อยเขาไป

     และแม้จะสนิทกับใครแล้ว  หากวันหนึ่ง  เรารู้สึกได้ว่าเขาไม่อยากสนิทกับเราอีกต่อไปแล้ว
     เราก็จะปล่อยให้เขา...เดินจากไป  แม้ว่ามันจะเจ็บๆอยู่บ้างก็ตาม

     คนเข้าก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว  ตอนใครจะออกก็ไม่ค่อยรั้ง  ก็ควรแล้วที่เพื่อนจะน้อย


     "เหมือนพ่อเลย  พ่อถือคติว่าใครอยากทำอะไรเชิญ  เหมือนกัน"

     "ไม่เหมือน!"  คราวนี้เถียงเสียงเข้ม  "พ่อยังตามเพื่อน  พ่อยังมีโทรไปนัดว่าเดี๋ยวไปหานะโน่นนี่นั่น...
     แต่ลูกไม่เคย!!!!"

     ใช่  เราจะไม่เป็นตัวตั้งตัวตีในการนัดกับใคร  ถ้าอยากเจอเราจะใช้วิธีชวนว่า  ไปนั่นไปนี่กันมั้ย
    ....แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการว่า  ขอไปหาหน่อยสิ
     ไม่มีทาง!!!



     ดูๆแล้วเหมือนเราเป็นคนไม่มีหัวใจ  ไม่ค่อยจะแยแสอะไรกับใครนัก
     อาจจะจริง  หรืออาจจะไม่จริงก็ได้

     เราแค่รู้สึกว่า  การจะอยู่ร่วมในชีวิตของกันและกันมันต้องอาศัยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย

     ถ้าใครสักคนไม่อยากจะอยู่ในชีวิตเราแล้ว  รั้งไปมันจะได้อะไร  นอกจากคนหมดใจคนนึง
     สู้ปล่อยให้เขาเดินจากไปยังดีเสียกว่า

     และยอมรับ   เราเป็นคนทิฐิสูงมาก  เราจะไม่ยอมแสดงเป็นคำพูดออกมาว่าเราต้องการใครอะไรขนาดนั้นเป็นอันขาด
    ...แต่ถ้าอยู่ด้วยกันก็อาจจะเห็นได้เองแหละว่าเราให้ความสำคัญกับคนๆนั้นแค่ไหน


     ดังนั้นแล้ว  ในโลกที่ให้ความสำคัญกับคำพูดและการวิ่งตาม  การที่คนอย่างเรามันจะไม่ค่อยมีใคร
     มันย่อมถูกต้องที่สุดแล้ว



     "แต่ไม่เป็นไรหรอก  คนอย่างลูกใช้เพื่อนสนิทไม่เปลืองอยู่แล้ว  จะขาดแคลนก็ไม่เป็นไร.."

     และนี่คือบทสรุปของชีวิตเรา  ในเมื่อเราสามารถเป็นเพื่อนสนิทให้ตัวเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
     แถมยังโอหัง  ไม่งอนง้อใครง่ายๆ

     การที่ต้องอยู่ตามลำพัง  ไม่ว่าในวันนี้  หรือในบั้นปลายชีวิต  จึงถูกต้องที่สุดแล้ว

   
     จะว่าไป  นี่ยังไม่ใช่บทสรุปของชีวิตเราหรอก  เพราะบทสรุปจริงๆคือคำพูดปิดท้ายด้านล่างนี้ต่างหาก...


     "แต่ลูกค่อนข้างมั่นใจนะ...ว่าลูกอยู่คนเดียวได้.."  :)


      "ลูกทำได้อยู่แล้ว...พ่อรู้"   :)

ความคิดเห็น

  1. เกิดมาเพื่อทำอาชีพนี้แล้วละค่ะ นิสัยเหมาะสมกับอาชีพมากๆ ^^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อยากชูสองนิ้ว แต่อาจารย์บอกว่า ท่านั้นมันเด็กไปสำหรับท่าน เหอๆๆๆ

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ