เล่าไปเรื่อย : ไปกินข้าวคนเดียว




      เรามีเพื่อนที่มีนิสัยคล้ายๆกันอยู่คนนึง  นิสัยที่คล้ายกันคือ  หล่อนเป็นคนเงียบๆ  ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร


     ตอนเข้ามหาฯลัย  เราเคยบอกเธอว่า  ทำกิจกรรมดิ  ชวนคนข้างๆคุยดิ  จะได้มีเพื่อน  และคำตอบที่ได้คือ

     "เดี๋ยวปีสองเข้าภาคก็ไม่ได้เจอกันแล้ว  จะรู้จักกันไปทำไม  ไม่มีประโยชน์"

     ....ถึงจะไม่เข้าใจว่า  "ประโยชน์"  ที่หล่อนพูดถึงนี้คืออะไร  แต่รู้ว่าลองได้เชื่ออะไรแล้วแม่คุณคงไม่เปลี่ยนใจ  จึงปล่อย


     แต่ที่ตลกก็คือ  เพื่อนคนเดียวกันที่ไม่ยอมคุยกับใครเพราะ "ไม่มีประโยชน์"  นี้  ดันเป็นคนๆเดียวกับที่มาเล่าให้เราฟังว่า

     "ไม่ค่อยชอบไปกินข้าวที่โรงอาหารเลย"

     "อ้าว...ทำไมล่ะ"  คนฟังงง

     "ก็ไม่อยากให้คนเขามองว่า  ทำไมผู้หญิงคนนี้มาคนเดียว  ไม่มีเพื่อนรึไง?"  หา...คราวนี้คนฟังงงหนักกว่าเก่าอีก



     เออ  แต่จะว่าไป  เราก็รู้สึกจริงๆว่า  การที่ผู้หญิงไปไหนมาไหนคนเดียวนี่  บางครั้งก็โดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาด
     เป็นเฉพาะผู้หญิงด้วยนะ  ผู้ชายไปคนเดียวไม่เห็นโดนอะไร  ไม่เข้าใจเล้ยย

     หรือเพราะโดยทั่วไป  ผู้หญิงเป็นสัตว์สังคม  เอ๊ย  ขอโทษ  หมายถึง  ผู้หญิงมักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆและไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
     ...ผู้หญิงที่ไม่เป็นเช่นนี้เลยกลายเป็นคนแปลกไป


     นิสัยไม่ดีเหรอ  ไม่มีใครคบเหรอ  โน่นนี่นั่น  ...

     ทำไมล่ะ  ทำไมต้องมองว่าการที่ผู้หญิงอยู่คนเดียวนั้นเพราะหล่อนเป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยล่ะ  ทำไมไม่มองในมุมกลับบ้างว่า  จริงๆแล้ว  หล่อนอาจเป็นผู้กระทำก็ได้

     พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น  ทำไมต้องมองว่า  การไปคนเดียวนั้นเพราะถูกเพื่อนทิ้ง  ทำไมไม่คิดบ้างว่า  จริงๆแล้ว  คนที่ไปคนเดียวนั้น..
     ...เขาอาจเป็นฝ่ายทิ้งเพื่อนก็ได้!!!

     เช่นเรา...เป็นต้น



     ว่ากันตามตรง  เรานี่แหละ  ปรมาจารย์แห่งการทิ้งเพื่อนเลยแหละ  คือ  เราไม่รังเกียจนะ  หากจะไปกินข้าวกับเพื่อนๆ  ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเรียน  เพื่อนเล่น  หรือเพื่อนทำงานก็ตาม

     แต่หลายๆครั้ง  เวลาที่หันมาแล้วไม่พบใคร  เวลาที่ใจต้องการพื้นที่ส่วนตัว  สิ่งที่เราทำประจำเสมอ   นั่นคือ  หาโอกาสเหมาะๆ...


     แล้วแวบ...ไปอย่างเนียนๆ

     ซึ่งบางครั้งก็ทำได้ยากอยู่เหมือนกัน  โดยเฉพาะหากคนรอบข้างมีช่องทางติดต่อเรา..



     ย้อนกลับไปตอนที่รู้ว่าเพื่อนร่วมงานจะลาออก  แม้ความรู้สึกหลักจะเป็นความเครียด  แต่มันมีความรู้สึกด้านบวกอย่างหนึ่งซ่อนอยู่

     หลายครั้งที่เราก้มหน้าก้มตาทำงาน  พอเงยหน้าออกมาแล้วพบว่า  เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ลงไปพักกลางวันกันหมดแล้ว

     ถ้ามีเบาะแสว่าไปไหน  ก็อาจตามไป  แต่ถ้าไม่  ก็ไปคนเดียว


    อยู่มาวันหนึ่ง  เราลงมาไม่ทันเพื่อน  เราเลยลองแพลนดูว่า  เที่ยงนี้เราจะไปไหนบ้างดี  แต่ขณะที่ฝันเรายังไม่เป็นรูปเป็นร่างอยู่นั่นเอง
    ...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

     เป็นเพื่อนคนนั้นที่โทรมาบอกว่าเขาไปกินที่ไหนกัน  พร้อมบอกว่า  "ตามมาๆ"

     สิ่งแรกที่นึกคือ  "แล้วแผนชั้นล่ะ???"  แต่ก็ไปกับเพื่อนนะ  และดีใจด้วยที่เพื่อนยังนึกถึง


     ดังนี้  เมื่อเพื่อนคนนี้ลาออก  ทางติดต่อตรงนี้จะหายไปอีกหนึ่งเส้น  เพราะในที่ทำงานเรานั้น

     ..นอกจากพี่สาวเราซึ่งอยู่แผนกเดียวกัน  และเพื่อนคนนี้แล้ว  ไม่มีใครมีเบอร์โทรศัพท์เราเลย


     คราวนี้ปลีกวิเวกได้สมใจแน่แก  หึหึ  (ส่วนจะแลกมาด้วยอะไรนั้น....ก็พอเดาๆกันได้อยู่)



     กลับมาที่เพื่อนคนเดิม  เมื่อได้ฟังเรื่องราวแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้

     เราไม่ได้แปลกใจที่หล่อนไม่คุยกับใคร  หรือแปลกใจที่หล่อนแคร์สังคม

     แต่เราแปลกใจที่ว่า  เหตุใด  ความรู้สึกที่ขัดแย้งสองอย่างนี้  จึงมารวมอยู่ในคนๆเดียวกัน  พร้อมๆกันได้


     ตามความเห็นเรา  หากตัดสินใจไปแล้วว่า  จะไม่คบใคร  ก็ไม่เห็นจะต้องไปสนใจ  ว่าใครจะคิดยังไงกับเรา

     ในทางกลับกัน  หากไม่อยากให้ใครมองแบบนั้น......เอ็งก็หาเพื่อนดิวะ!!!!!!!!!


     คิดจะเลือกทางไหนก็ไปให้สุดสิเฮ้ยยยย



     ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้ติดต่อกันแล้ว  ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนจะยังคิดเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า

     แต่ที่แน่ๆ  เราน่ะ  เหมือนเดิม  อยู่คนเดียวเก่งเหมือนเดิม


     ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเขียนบทความนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา  รู้แต่ว่า  วันนี้  เราไปกินข้าวคนเดียว  แล้วเลยนึกถึงเธอคนนั้น  พร้อมกับเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมา
     และก็อยากแสดงความคิดเห็นในมุมของตัวเองบ้าง


     ...ก็เท่านั้นเอง...

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ