ผิดเป็นผิด(วะ)



     คนที่เคยอ่านเรื่อง "ลูกอีช่างถาม"  อาจเข้าใจว่า  เราเป็นคนช่างถาม  และถามทุกเรื่อง

     ซึ่งไม่จริง

     โหมดถามไม่หยุดของเราจะเปิดต่อเมื่อจำเป็นหรืออยู่กับคนที่สนิทมากๆเท่านั้น

     ถ้าเวลาปกติ  หรือทำงานปกติ  บางครั้งจะเป็นอีกโหมดนึง  โหมดที่ว่านี้คือ

     "โหมดไม่ถาม"



     ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า  เมื่ออยู่โลกภายนอกนั้น  เราค่อนข้างจะเงียบ

     มีงานอะไร  บางทีเราไม่ค่อยถามใคร  ทำไปโดยเดาเอาเองแล้วปล่อยให้มันผิดไปเลย  ผิดแล้วโดนแก้ค่อยมาว่ากันอีกที  นี่คือโหมดไม่ถาม


     เคยถามตัวเองเหมือนกัน  ว่าทำไมไม่ถาม  คำตอบที่ได้คือ

     หนึ่ง  เป็นคนขี้เกรงใจและไม่ค่อยชอบพึ่งใคร  เพราะฉะนั้นพอทำงานอะไรก็จะโซโลไปก่อนเลยคนเดียว  จวนตัวจริงๆ  ค่อยมาว่ากันใหม่

     สอง  คิดว่า  น่าจะเอาหลักจากเกมมาใช้ในชีวิตจริง

     หลักจากเกม...เนี่ยนะ?


     ช่าย  หลักจากเกมเนี่ยแหละ

     คือเราเป็นคนเล่นเกมที่มีสไตล์การเล่นเกมว่า  ตะลุยไปก่อนเลย  คู่มงคู่มืออะไรไม่แตะ  ชิบห.....เอ่อ  หมายถึง  ผิดพลาดหรือตายแล้วค่อยมาว่ากันอีกที
     แล้วจากประสบการณ์  เกมที่เคยผิดพลาดมาก่อนเนี่ย  พอผิดถึงจุดหนึ่ง  เราจะเริ่มรู้ละ  ว่าต้องทำไงถึงจะผ่าน  คราวนี้ก็เล่นใหม่ให้มันผ่าน  ซึ่งก็มีหลายเกมนะ  ที่การลองๆแบบนี้นำไปสู่ความสำเร็จได้อยู่

     เจ๊งไปก็มี  ไม่เป็นไร  ไม่ผ่านสักทีเราก็เลิกเล่น  เว้นแต่หาคู่มือหรือสูตรโกงเจอ  นั่นก็อีกเรื่องนึง



     พอมาทำงานจริง  อะไรที่เห็นแล้วว่า  ปล่อยให้มันพลาดแล้วไม่เป็นไร  ก็จะลองทำเองไปเลยโดยหลักว่า  ผิดก็ผิดวะ

     ก็ผิดค่ะ  ผิดตามนั้นแหละ  ผิดแล้วก็โดนเรียกไปตำหนิ  ถ้าโชคดี  ในการตำหนิก็จะมีการสอนไปด้วย

     สิ่งดีๆจากการปล่อยให้มันผิดก็คือ  เราจะเรียนรู้ได้เองว่า  ไอ้ที่ทำไปน่ะมันผิดอย่างไร  แล้วเราก็จะจำได้ว่าที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไหน  ซึ่งในความคิดของเรา  ถ้าผิดไปสักครั้ง  มันจะจำได้ดีกว่าถามก่อนผิดแล้วมันไม่ผิด
     พอมันไม่ผิด  เราก็ไม่โดนว่า  พอหน้าไม่ชา  สักพักเราก็ลืม  (ขนาดหน้าชายังลืมเลยบางที  นับประสาอะไร)

     ส่วนที่แย่ก็คือการถูกตำหนินั่นแหละค่ะ  แต่ก็นะ  การปล่อยให้ตัวเองถูกเพ่งเล็งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแหละ  ข้อดีคือเขาจะไม่คาดหวังอะไรกับเรามากนัก 
     ส่วนข้อเสียคือเขาจะไม่เชื่อมั่นในตัวเรา...

     แต่  ในเมื่อมันเป็นความผิดเรา  เป็นการกระทำของเรา  เราก็ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้ให้ล่ะนะ



     อย่างไรก็ดี  เรื่องบางเรื่องก็อันตรายเกินไปกว่าที่จะเสี่ยงให้มันผิดก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง

     แรกๆเราก็ไม่รู้หรอก  โชว์โง่ไปเรื่อยๆเลยล่ะ(จริงๆตอนนี้ก็ยังโง่อยู่  สองวันมานี่โดนเรียกหลายรอบ  อย่างที่บอก  คนมันห่วย)  พอทำงานไปสักพักเราจะเริ่มรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร  และนี่แหละ  "เหตุจำเป็น"  ที่โหมดถามจะต้องทำงาน

     ถึงตอนนี้ก็จะต้องดึงความหน้าด้านออกมาใช้  อยากรู้อะไรถามให้หมด  ถามทุกอย่าง  ถามทุกขั้นตอน  ถามจนคนตอบเกลียด  แล้วก็ยังถามต่อไป
     ....งานเสร็จเมื่อไหร่ค่อยเลิกตอแย

    ไม่ปล่อยให้เขาเกลียดเราตอนนี้  เดี๋ยวทำผิดเขาก็เกลียดเราอยู่ดี  อย่ากระนั้นเลย  รีบๆเกลียดเราให้งานมันเสร็จไปก่อนละกัน
      ยังไงสุดท้ายทุกคนก็คงเกลียดเราบ้างไม่มากก็น้อยอยู่ดี  เรารู้



     ก็เนี่ยแหละ  สไตล์การทำงาน

     ที่เขียนมานี่ไม่ใช่อะไร  คนเขียนเพิ่งโดนเรียกไปสอนมาตะกี้  เพราะเหตุลองทำไปก่อนแล้วมันผิดเนี่ยแหละ  คราวนี้เลยถึงบางอ้อ
     ถ้างานแบบนี้  ต้องทำแบบนี้นี่เอง

     ส่วนท่านผู้ใหญ่จะคิดยังไงกับหนู  เชิญตามสบายค่ะ


     แต่ถ้าใครนิยมความสมบูรณ์แบบและคำนิยมมากกว่าการตำหนิก็อย่าริลองผิดลองถูกแบบเรา

     เพราะคนเขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน  ว่าตัวเองจะโดนเคราะห์หามยามร้าย  ที่ความผิดพลาดกลายร่างเป็นมัจจุราชของอายุการทำงานขึ้นมาเมื่อไหร่  เลยอยากเตือนคนอ่านไว้ล่วงหน้า

     เกิดอะไรขึ้นมา  ไม่รู้ด้วยนะ  !

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ