สถานีไร้เสน่หา



     ใช้ชีวิตมาจนอายุขึ้นเลขสาม  ช่วงอายุซึ่งใครหลายคนบอกว่า...
     ...แก่
     ...แสลงหู
     ...ร้องยี้/ไม่อยากได้ยิน
     ...มองว่าเป็นช่วงอายุที่ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง

     พอมาถึงจริงๆกลับไม่รู้สึกอะไร ด้วยส่องกระจกทีไรยังเห็นหน้าเป็นหน้าเดิม  ตาก็ยังมองไกลไม่ชัดเหมือนเดิม(แต่จะสั้นเพิ่มมั้ยไม่แน่ใจ)  ส่วนสูงก็เท่าเดิม(อยากเพิ่มเสียจริงๆ)  ทั้งหุ่นก็ยังพองๆอยู่เช่นเดิม  เพิ่มบ้างลดบ้างแล้วแต่ความเพลิดเพลินในการกินของปากและความลำบากของงาน
     ...ไม่เห็นเปลี่ยนเลย

     อ่อ  อีกอย่าง  เขาบอกว่าวัยนี้ถ้าไม่หาคู่ให้ได้จะต้องอยู่คนเดียว  ขึ้นคาน  เป็นยายแก่แร้งทึ้ง
พอมาถึงจริงๆแล้วเลยอยากถามว่า

     ขึ้นคานแล้วมันหนักกบาลใคร เอ๊ย  ไม่ใช่  จะถามว่า

     ขึ้นคานแล้วมันเสียหายตรงไหนไม่ทราบ???



     เราไม่เคยมีความรัก  อาจมีบ้างที่มีคนมาด้อมๆมองๆ  แต่สุดท้ายก็แยกกันไปคนละทิศละทาง  ที่อดทนขายขนมจีบจนเปิดใจคบเป็นแฟนนั้นไม่เคยมี 
     ถ้าจะมีก็เพียงเข้ามาให้หวั่นไหววูบวาบแล้วก็จากไป 
   
     นอกจากปัจจัยภายนอก  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราไม่เคยยอมปล่อยหัวใจให้ความหวั่นไหวมันก่อร่างสร้างตัวจนกลายมาเป็นความรัก  พอเริ่มรู้สึกหนักๆที่ใจก็จะพยายามปัดออกไป
     อย่าให้เราอธิบายความรักแบบคนมีประสบการณ์  เราไม่ทราบ  บางที  ให้อธิบายความรู้สึกถึงเรื่องผีอาจได้เรื่องได้ราวมากกว่า 
   
     ถึงอย่างนั้น  เราก็ไม่เคยหนักใจกับชีวิตที่ผ่านมาที่ไม่เคยรักใคร  ไม่เคยไปห้ามใจไม่ให้มันรู้สึกวูบวาบ  เพียงแต่คอยระวังไม่ให้ถลำลึกไปเท่านั้น

     จนกระทั่ง...



     จนกระทั่งเรา
     ......รู้สึกว่าเหนื่อยกับการต้องเอาใจไปแคร์ใครในฐานะมากกว่าคนรู้จักธรรมดา  เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นภาระมากกว่าความสุข
     ......เอียนกับข่าวฆาตกรรมซ้ำๆซากๆจนออกปากถาม(ลมถามฟ้า)ไปว่า  "ทำไมผู้ชายไทยที่ผิดหวังในรักแล้วฆ่าหรือทำร้ายผู้หญิงมันเยอะนักวะ???"
     ......นั่งดู Club Friday the Series แล้วเริ่มสังเวชใจว่า  ทำไมการมีคนรักมันถึงได้วุ่นวาย ก่อปัญหาให้ชีวิต  และทำให้เสียใจได้ขนาดนั้น 
   
     นั่นทำให้เรากลับมาตั้งคำถามกับตัวเองสามข้อ

     หนึ่ง  ทำไมคนเราเกิดมาต้องรู้สึกรักใครสักคนในฐานะคู่รักด้วย?
     สอง  เป็นไปได้ไหมว่าคนเราจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากความรักแบบเสน่หา  และ
     สาม  ต้องทำอย่างไร  ใจคนเราจึงจะไม่หวั่นไหวกับเพศตรงข้ามที่ได้พบเจอ 

     เฮ้อ  ตั้งคำถามแต่ละที  มีแต่อะไรยากๆทั้งนั้น



     ตามความรู้สึกของเรา  ความรักฉันท์คู่รักเป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นได้  และเราก็รู้สึกว่า  ลึกๆแล้ว  คนทั่วไปต่างโหยหาการรักและได้รับความรัก 

     แล้วเราก็เคยอ่านจากไหนมาสักที่  (น่าจะจากงานเขียนคุณดังตฤณอีกเช่นเคย  แต่จำไม่ได้ว่าชิ้นไหน)  เขาบอกว่า  ถ้าเอาร่างกายชายกับหญิงมาวางข้างกันโดยไม่ต้องมีศีลธรรมหรือความผิดชอบชั่วดีอะไรเลย  เชื่อเถอะว่าร่างกายชายหญิงคู่นั้นจะพุ่งเข้าหากันเอง....(เนื้อหาไม่เป๊ะหรอกนะ  แต่ความหมายที่จำได้ประมาณนี้แหละ)

     จากที่กล่าวมาสองย่อหน้าก่อน  เราจึงสรุปเอาเอง(คิดเองเออเองตลอดด)ได้ว่า  ความรักและความปรารถนาเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของมนุษย์  เพราะคนเราย่อมถูกดึงดูดกันได้ด้วยใจ  กายเนื้อ  และเพศได้เองอยู่แล้วเป็นปฐม 

     เมื่อความรักและความเสน่หาเป็นเรื่องธรรมดา  ดังนั้น  การตั้งใจว่าจะตัดความเสน่หาออกจากชีวิต  จึงถือเป็นเรื่องที่ 
     ฝืนธรรมชาติ

     แต่กระนั้น  คนที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีกามารมณ์อยู่ก็ยังมีให้เห็น  เช่น  สมณเพศผู้ดำรงพรมจรรย์ทั้งหลาย  หรือแม้แต่คนบางคนที่ใช้ชีวิตตามลำพัง

     แสดงว่า  การอยู่โดยไม่รัก  เป็นเรื่องที่  เป็นไปได้



     จะเป็นไปไม่ได้  ได้อย่างไรเล่า  เมื่อเราเกิดมาในยุคที่คนเรา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ผู้หญิง  ได้รับสิทธิเสรีภาพมากขึ้น  เราได้รับโอกาสให้มีและแสดงศักยภาพ  ได้รับอนุญาตให้เรียนหนังสือ  ทั้งยังมีเสรีภาพที่จะฝันและไล่ตามความฝันให้สำเร็จ

     เมื่อสังคมเปิดกว้าง  จุดหมายปลายทางของเพศหญิงจึงไม่ใช่แค่เกิดมาเพื่อเป็นเบี้ยล่างให้ผู้ชาย  เกิดมาเพื่ออยู่บ้านให้ผู้ชายหาเลี้ยง  เกิดมาเพื่อเป็นเครื่องผลิตประชากรแก่สังคม
     แล้วดูสังคมสมัยนี้สิ  ไม่ผลิตประชากรก็ไม่น่าเดือดร้อนมากนะ

     ด้วยเหตุนี้  เราจึงสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีใครอีกต่อไป  มันไม่ใช่แค่ว่าเราได้แสดงความสามารถของตัวเองเท่านั้น  แต่มันยังทำให้เรามีอำนาจและมีอิสรภาพที่จะทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน  เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของใครนอกจากตัวเอง
     โอกาสดีดีแบบนี้ต้องคว้าไว้


     อย่างไรก็ดี  เราเชื่อนะว่า  ความรักเป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์  และมนุษย์อยู่ได้เพราะความรัก  เพียงแต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นความรักฉันท์คู่รักเสมอไป
     ...เรารักงาน  เราจึงทำงาน 
     ...ถึงเราไม่รักงาน  แต่เรารักเงิน  เราจึงทำงาน
     ...สาเหตุที่เรารักเงิน  เพราะเราต้องนำเงินมาจุนเจือตนเองและครอบครัว  แสดงว่า  เรารักครอบครัวและรักตัวเอง 
     ...สุดท้าย  เพราะเรารักชีวิต  เราจึงเลือกที่จะใช้ชีวิต 

     เห็นมั้ย  มีความรักมากมายที่ไม่มีความปราถนาแบบเสน่หามาเกี่ยวข้อง  ชีวิตก็ยังอยู่ได้เลย



     จากหลักการ(ของเรา)ข้างต้น  เราจึงสรุปเอาเองว่า 

     คนเรารักเพราะความรักเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต  แต่ถึงกระนั้น  ด้วยเหตุผลดังกล่าว  คำตอบของข้อสองและสามจึงมีว่า

     คนเราสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีความรักแบบคู่รัก  และสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องหวั่นไหว  เพียงแต่ว่า.....
     มันต้องใช้กำลังใจที่มากกว่าปกติ  เพราะมันเป็นการฝึนธรรมชาติ 

     แต่มันก็ท้าทายดี  มิใช่รึ? 


     การไม่มีคู่นั้นก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน  เป็นต้นว่า  มันทำให้เราต้องเสียภาษีมากกว่า(คนโสดหักลดหย่อนได้น้อยกว่าคนแต่งงาน)  เราไม่มีเพื่อนคู่คิดไว้ไปเที่ยวและคอยถ่ายรูปให้  เราอาจเจอความว้าเหว่บ้างในบางคราว  และเวลารถยนต์มีปัญหาเราไม่มีคนปรึกษา 

     แต่ข้อดีของการอยู่คนเดียวก็คือ  เราไม่ต้องกลัวจะถูกนอกใจ  ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแย่งคนของเรา  ไม่ต้องกลัวว่าความรักความเชื่อใจที่ให้ไปจะถูกทรยศหักหลังอย่างเจ็บแสบ  แล้วก็ลดความเสี่ยงจะโดนคนทำร้ายจิตใจและร่างกายไปได้หนึ่งคน 
     จริงๆน่าจะมีข้อดีเยอะกว่านี้นะ

     และความจริงก็คือ  เรารู้อยู่แล้วว่าการเป็นโสดนั้นต้องเผชิญกับปัญหาอะไรบ้างเพราะเราโสดมาทั้งชีวิต  ซึ่งเราก็ทนของเรามาได้ตลอด  แต่การมีคู่นั้นเราไม่อาจทราบได้เลยว่ามันจะมีปัญหาตามมาขนาดไหน
     และเราก็ไม่ขอเสี่ยงที่จะเจอด้วย 

     เพราะฉะนั้น  เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่แหละ  ดีที่สุดแล้ว


     ประกาศ  ประกาศ  ผู้ใดต้องการแฟนหรือคนรู้ใจ  กรุณาใช้บริการสถานีถัดไป  เพราะสถานีนี้นั้นไซร้
เป็น

     "สถานีไร้เสน่หา" 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ