สีดำ น้ำตา ประชาชน
1-
นอกจากสังคมก้มหน้า ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีอีกสังคมหนึ่งซ้อนทับขึ้นมา นั่นคือ
...สังคมสีดำ...
อันที่จริง มันก็ไม่ใช่ดำล้วนหรอก จะกล่าวให้ถูกต้องเรียกว่า ประเทศไทยเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่โหมด grey scale(เกรย์ สเกล) อันประกอบไปด้วย สีขาว เทา ดำ และบรรดาสีเข้มต่างๆ เสียมากกว่า
ไม่ใช่เพียงในชีวิตจริงเท่านั้น แต่การใช้เกรย์สเกลนี้ยังครอบคลุมไปถึงชีวิตในโลกออนไลน์ด้วย
เราพร้อมใจกันเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นสีดำ หรือไม่ก็เปลี่ยนรูปตัวเองเป็นโทนขาวดำ
...หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เอารูปริบบิ้นดำมาติด...
อ่อ ถ้าไม่นับปากกะเลือด ก็มีแดงอยู่สองที่แหละ ตากับจมูก
....หลังผ่านการร้องไห้มาสักระยะหนึ่ง
เป็นปรากฏการณ์ที่ทำเอาต่างชาติงง คือ เข้าใจล่ะว่าพระราชาสิ้นพระชนม์ แต่คนเมืองนี้มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ???
พวกเอ็งก็ลองมีกษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งแบบพวกข้าดูสิ..
ถ้าเอ็งมีวาสนาพอน่ะนะ...
2-
นอกจากสีดำ อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่คนไทยในวันนี้ คือ น้ำตา
ไม่ได้มายืนยันว่าทุกคนในประเทศร้องไห้ เพียงอยากรายงานเฉยๆว่า
...เอาแค่น้ำตาของคนที่ร้องไห้มารวมกัน ก็สร้างบ่อน้ำได้โขอยู่
...เผลอๆจะท่วมแผ่นดินเอาเสียด้วย!
ร้องกันทั่วหัวระแหง ร้องกันหลายผู้หลายนาม
ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงบอบบางที่ร้องไห้ แม้แต่ผู้ชายตัวโตๆยังร้องไห้
ไม่ใช่แค่เด็กตัวเล็กๆที่ร้องไห้ แม้กระทั่งคนแก่อายุเกือบร้อยก็ยังหลั่งน้ำตา
ร้องกันตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงนายกฯ จนกระทั่งถึงเชื้อพระวงศ์
ไม่มีใครห้ามใคร ไม่มีใครว่าใคร ต่างคนต่างร่วมใจเสียน้ำตา
.........เป็นโรคติดต่อใหม่ขณะนี้ ที่ยังคงไม่หมดไปง่ายๆ
ร้องจนเบื่อที่จะร้อง แล้วก็ยังหยุดร้องไม่ได้ คิดว่าเจ็บป่ะล่ะ??
เพราะการสูญเสียครั้งนี้เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต นับตั้งแต่คนหลายคนกำเนิดเกิดมาบนโลกใบนี้ พวกเราจึงพร้อมใจกันร่วมไว้อาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นที่รักและเคารพยิ่งแห่งปวงชนชาวไทย
แล้วก็ร้องไห้กันต่อไป...
3-
ไม่มีใครบังคับให้ประชาชนไทยรักพระเจ้าอยู่หัว
ไม่มีใครเอามีดมาจ่อคอ เอาปืนมาจ่อศีรษะ ว่าหากแกไม่รัก แกไม่มีสิทธิ์อยู่บนผืนแผ่นดินนี้
เราเพียงเกิดมาและพบว่าพระองค์เป็นบุคคลซึ่งอยู่ในรูป...ที่มีทุกบ้าน ไม่ว่าจะมาจากหนังสือพิมพ์ ปฏิทิน โปสเตอร์ ธนบัตร และอื่นๆอีกมากมาย
ถึงเราไม่เห็นในบ้าน เวลาไปที่ต่างๆ เราก็พบพระรูปของพระองค์ติดบ้าง แขวนบ้าง ตั้งบ้าง อยู่ตามสถานที่ต่างๆ
กลับถึงบ้านเปิดทีวี เราก็พบข่าวในพระราชสำนัก ได้ชมพระราชกรณียกิจ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
รู้ตัวอีกที.........เราก็รักไปแล้ว
พ่อไม่เคยป่าวประกาศว่า ท่านทำอะไรให้แก่ประเทศบ้าง
แต่หากตาไม่บอด หูไม่หนวก ใจไม่แคบจนเกินไป เราคงได้รับรู้กันมาบ้างไม่มากก็น้อยว่า
....ผู้อยู่เบื้องหลังความสุข การพัฒนา และความร่มเย็นเป็นสุขในประเทศตลอดมานั้น คือใคร
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" พระราชดำรัสนี้ยังคงก้องอยู่ในใจพสกนิกรของพระองค์ท่านเสมอมา
เมื่อพระราชาทำเพื่อประชาชน ประชาชนก็จะอยู่เคียงข้างพระราชาเช่นกัน
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ประชาชนชาวไทยถึงรักในหลวง
ทำไม เราจึงปลาบปลื้มทุกครั้ง ที่เห็นพระพักตร์และรอยยิ้มของท่าน
ทำไม เราจึงรู้สึกเป็นทุกเป็นร้อน เมื่อทราบว่าพระองค์ประชวร และ
ทำไม ยามเมื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย ประชาชนชาวไทยจึงรู้สึกเหมือน...จะขาดใจ...ตาย...ตามไปด้วย
และนี่ คือความในใจของประชาชนชาวไทยคนหนึ่ง ซึ่งมีความสุขใต้ร่มพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวเสมอมา
ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้ามีความปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก ที่ได้เกิดและเติบโต ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
มีโอกาสได้เฝ้าดูการทรงงานและทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ
มีโอกาสได้เห็นพระอิริยาบทในหลายๆแง่มุม
มีโอกาสได้เป็นกระบอกเสียง ในการแต่งกลอนเฉลิมพระเกียรติ และในการชื่นชมพระองค์ให้เพื่อนต่างชาติฟัง
และมีโอกาส ได้จงรัก และภักดี ต่อพระองค์ อย่างสุดหัวใจ
บัดนี้ คงถึงเวลาอันสมควร ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะได้สำราญพระราชอิริยาบท และทอดพระเนตรผืนแผ่นดินของพระองค์ จากบนสรวงสวรรค์แล้ว
ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมลาเพคะ
สุดท้ายนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมตั้งจิตอธิษฐานว่า..
แม้นมีวาสนาเพียงพอ ข้าพระพุทธเจ้า จักขอเป็นข้าราชบริพาร ใต้เบื้องพระบาท ใต้ร่มพระบารมี
..ทุกชาติไป
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ณ ที่ทำงานคนเขียน..
ตอนนี้ได้ทำงานรับใช้ชาติเต็มตัวแล้ว สุ้ๆนะคะท่าน
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ลบ