คือความเปลี่ยนแปลง
เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางกระหม่อม
เมื่อจู่ๆเพื่อนร่วมงานเดินมาบอกว่า "เดือนหน้าเราจะลาออกแล้วนะ"
'อ้าว' คำหนึ่งผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
ถามไปถามมาได้ความว่าคิดถึงครอบครัว เลยกลับบ้านดีกว่า
....
บ่ายแรกของวันที่รู้ ทำงานด้วยความรู้สึกสองสามอย่างผสมปนเปกันไปหมด แยกได้ดังนี้
1. ใจหาย - คงเพราะทั้งทีมมีกันอยู่แค่สองคน ไม่รวมเจ้านาย และเขาก็เป็นคนสอนงานแทบทุกอย่างให้เรา จึงค่อนข้างสนิทกัน พอทราบข่าวว่าจะจากไปอย่างกะทันหันเลยเกิดอาการใจหายว่า ต่อไป...
คงไม่มีเพื่อนระดับเดียวกันชวนกันคุยเรื่องงานแล้วสินะ
2. กังวล - ที่ผ่านมา เวลาต้องไปทำงานนอกสถานที่ ก็จะนั่งแท็กซี่ไปกันสองคน แต่อีกเดือนหนึ่งหลังจากนี้ เวลาทำงานนอกสถานที่ คงต้องนั่งแท็กซี่ไปคนเดียว
ปัญหาคือ ตั้งแต่เกิดมา ยายคนเขียนยังไม่เคยนั่งแท็กซี่คนเดียวเลยสักครั้ง!!!
เอาล่ะ เอาเป็นว่า วันนั้นมาถึงเมื่อใด ข้าพเจ้าจะท่องชินบัญชรเก้าจบ พร้อมอัญเชิญและปลุกเสกพระของตัวเองทุกองค์เลยก็แล้วกัน...
3. หนักใจ - ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้เห็นว่าเพื่อนเรามีงานให้รับผิดชอบเยอะมาก เพราะในหน่วยมีกันไม่เยอะ แม้จะมีเราเข้ามาช่วยอะไรได้บ้าง แต่งานส่วนใหญ่ก็ยังเป็นของเพื่อนอยู่
จากนี้ งานพวกนี้จะเป็นของใครล่ะ.......ถ้าไม่ใช่เรา O_o!
แค่คิดก็หนักใจ ยิ่งฟังเขาสรุปงานไว้ให้ยิ่งถอนใจ เฮ้อออออออออ
แต่ไม่ว่าอย่างไร เราคงต้องยอมรับความจริงว่า ความเปลี่ยนแปลงนั้นคือธรรมดาของชีวิต และไม่ช้าก็เร็ว เราก็ต้องจากกับคนในชีวิตไปทีละคน ทีละคน อยู่แล้ว
...เพียงแค่มันจะมาถึงเมื่อไหร่เท่านั้น
และเราก็ต้องอยู่ให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
เฉกเช่นมือซ้ายของเรา ที่มักมีนาฬิกาข้อมืออยู่เสมอเมื่อออกนอกบ้าน จนกระทั่งวันนี้ วันที่นาฬิกาคู่ใจนอนหมดสภาพอยู่ที่บ้าน แถมเรือนอื่นยังไม่พร้อมใช้งานเลยสักเรือน
สุดท้ายจึงมาทำงานในสภาพที่ท่อนแขนว่างเปล่า มองแขนคราใดก็รู้สึกขาดอะไรไปเสียทุกครั้ง
แต่ถามว่าลำบากยากเข็ญหรือไม่ ก็ไม่ขนาดนั้น เมื่อปัจจุบันนี้ นาฬิกาไม่ใช่เครื่องมือชนิดเดียวที่บอกเวลาได้ เรายังสามารถดูเวลาได้จากโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ที่ทำงานได้อยู่ดี
....แค่ไม่เร็วทันใจเท่านาฬิกาเท่านั้นเอง
นั่นสินะ การขาดอะไรไปน่ะ มันจะเป็นจะตายเพียงช่วงแรกเท่านั้น สุดท้ายเราก็ต้องอยู่ให้ได้อยู่ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...
หากขอพรได้สักข้อสองข้อ เราอาจอยากขอให้เพื่อนยังทำงานอยู่...
...แต่เราคงไม่ขอแบบนั้น เพราะเราเข้าใจ ว่าคนทุกคนย่อมอยากอยู่กับครอบครัว กับคนที่ตัวเองรัก
เขาจากบ้านมานานแล้ว คงถึงเวลาที่เขาต้องกลับบ้านเสียที
เราคงจะขอว่า หากวันนั้นมาถึง ขอให้เราเก่งและแกร่งพอที่จะรับช่วงงานจากเพื่อนเราได้ และสามารถทำงานต่อไปได้อย่างลุล่วง
และเราคงขอให้เราได้เพื่อนร่วมงานใหม่ที่ดี เข้ากันได้ มาช่วยแบ่งเบางานลงไป
สุดท้ายเราคงขอให้เพื่อนโชคดีกับทางที่ตัวเองเลือกเดิน...
ขอบคุณ สำหรับทุกสิ่ง
ขอโทษ สำหรับปัญหาทุกอย่างที่สร้างให้
.......โชคดีนะ :)
.......ว่าแต่ ถ้าเราจะขอให้ตัวเองได้เพื่อนร่วมงานผู้ชายเหมือนเดิมนี่ เราต้องไปขอกะศาลเจ้าไหนล่ะเนี่ย เพราะเราเริ่มจะชินกับสภาพการทำงานที่ "คืบก็ผู้ชาย ศอกก็ผู้ชาย" เสียแล้วซี
เราว่า....มันไม่มากเรื่อง....ดี.....อ่ะนะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น