แค่อยากเล่า : เหตุผลของการแต่งตัวชิวชิว



     การแต่งตัวของคนเรานั้นมีหลากหลายแบบ...


     และที่สุดของการไม่มีที่ตินั้นคือ  การแต่งตัวเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้วไม่ว่าสถานที่ซึ่งเยื้องกรายไปนั้นจะเป็นงานราชพิธี  งานราตรี  หรือแม้แต่ปากซอยหน้าบ้าน

     เนี้ยบเสียจนบางครั้งอยากลองเอามือไปขยำเสื้อเจ้าตัวดู  อยากรู้ว่าถ้าผ้ายับแล้วจะมีปฏิกริยาอย่างไร
     ......แต่อย่าเลยเนอะ  บาปกรรมเปล่าๆ.....


     มีขั้วบวกแล้วก็ต้องมีขั้วลบ  เมื่อการเป็นคนแต่งตัวเนี้ยบนั้นคือขั้วบวก  ดังนั้นสิ่งตรงข้ามคงจะเป็น...
     ......การแต่งตัวกระเซอะกระเซิงได้ทุกสถานการณ์  ไม่ว่าจะไปงานไหน
     ซึ่งดูเหมือนหลายคนจะเรียกตัวเองว่า  "แต่งตัวชิวๆ"

     และดูเหมือนจะชิวเสียจนกระทั่งวิธีการเดียวที่จะให้แต่งให้เรียบร้อยได้คือทุกคนในบ้านร่วมใจกันขอร้องแกมบังคับหาชุดเป็นงานเป็นการให้ใส่นั่นแล...


     แต่เท่าที่สังเกตความเป็นไป  พวกสุดโต่งสองขั้วนั่นไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่แต่อย่างใด  โดยมากจะแต่งกันโดยดูกาลเทศะเป็นหลักกันเสียมาก
     นับว่าโชคดี



     เปล่าหรอก  วันนี้ไม่ได้จะมาจิกกัดคนกลุ่มใดเป็นพิเศษ

     แค่อยากมาอธิบายเหตุผลที่คนเรียบร้อยไม่เข้าใจ  ว่าทำไม...

     ใครหลายคนถึงชอบแต่งตัวชิวๆ  หรือแต่งแนวกระเซอะกระเซิง



     ทำความเข้าใจกันสักเล็กน้อยก่อนนะ  ว่าคำว่า "ชิวๆ"  ที่ว่าเนี่ย  ไม่ใช่ผมไม่สระ น้ำไม่อาบ  ปล่อยเสื้อผ้าให้เขรอะเหมือนไม่ได้ซักมาชาติเศษ

     อันนั้นซกมกไป  คนเขียนเองเข้าไม่ถึงเช่นกัน..

     ชิวในที่นี้คือการผสมผสานกันระหว่าง  เสื้อยืด  เชิ้ตแนวๆ  กางเกงยีนส์  และรองเท้าส้นเตี้ย  และอีกหลายๆอย่างที่แนวเดียวกัน
 .....รวมไปถึงการไม่แต่งหน้า  ไม่สวมเครื่องประดับ  หรือทำผมทรงดังโงะสำหรับผู้หญิงด้วย..

     ผสมไปผสมมาพอจะออกจากบ้านก็ได้คำชมอย่างน่าฟังว่า...

     ทำไมแต่งตัวเซอร์แบบนั้นล่ะ???



     ข้ออ้าง เอ๊ย เหตุผลแรกของความนิยมในการแต่งตัวแบบนี้คือ...

     ....มันสะดวกดี

    มันสะดวกดีจริงๆนะ  เวลาจะออกไปไหนก็แค่หยิบเสื้อตัวกางเกงตัวออกมาแล้วสวมเข้าไป  บางทีไม่รีดด้วยล่ะ

     ลองนึกถึงตอนต้องใส่สูทสิ  ต้องอยู่ดึกนั่งรีดผ้าอยู่สักพัก  ร้อนก็ร้อน  เปลืองไฟอีกตะหาก

     อาจจะลำบากกว่าพวกชุดกระโปรงหน่อยนึง  ตรงที่ต้องใส่สองท่อน  ไม่ได้สวมปุ๊บคลุมทั้งตัวแบบชุดกระโปรง...

     เอาน่า  แลกกะการเดินเหินสะดวก  ยกขาเตะคนได้...เอ๊ย...ไม่ใช่  จะก้าวจะอะไรก็ไม่ต้องระวังมาก  เทียบแล้วการใส่สองท่อนไม่ได้ลำบากนัก...

     หยิบใส่แล้วก็ออกจากบ้านได้เลย

     ง่ายๆดี



     เหตุผลที่สองคือ  สบาย

     ลองนึกถึงสถานการณ์ที่ต้องใส่สูท  ผูกเนทไท  ใส่กระโปรงทรงเข้ารูปหรือกางเกงเรียบกริบบ  ไปไหนมาไหนดูสิ

     โอ้โห  ดูดี  มีชาติตระกูล  แต่..........ร้อนตับแลบ  หรืออึดอัดเหลือเกินล่ะ

     ยิ่งกระโปรงสอบๆนะ  เวลาก้าวแต่ล่ะทีก็ต้องก้าวแบบสาวชาววัง  ค่อยๆกระดื๊บๆ  ก้าวยาวไม่ได้  ถูกความสอบของกระโปรงจำกัดไว้  เวลาขึ้นรถนี่  คือ  ต้องใช้ทักษะการดันตัวขึ้นเบาะแทนก้าวขาขึ้นไป

     โอ๊ย  ลำบากก  (เผอิญคนเขียนเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยจะผู้หญิงเท่าไหร่  เลยปัญหาเยอะ  พวกสาวหวานอาจไม่พบปัญหาพวกนี้)

     ตัดภาพมาที่เสื้อยืดกางเกงยีนส์  คราวนี้  จะลุกจะนั่งก็กะเปิ๊บกะป๊าบได้เต็มที่  ขึ้นรถก็ก้าวขาได้ไม่ติดขัด  แถมถ้าเมื่อยเมื่อไหร่ขึ้นมาก็นั่งขัดสมาธิมันได้เสียตรงนั้น  ไม่ต้องคอยมาหาอะไรปิดและไม่ต้องกลัวอะไรโผล่....

     สบายกว่านี้ไม่มีละ  หุหุ

     อ่อ  และสำหรับคนที่เถียงว่า  เสื้อยืดมันร้อนนะเฟ้ย  โธ่  ไม่คุ้นกะเสื้อยืดก็หาผ้าชีฟอง  ผ้าฝ้าย  อะไรแบบนี้ใส่สิคะคุณ  หรือจะใส่เสื้อแขนกุดเลยก็ได้นะ

     ไม่ว่ากัน  อิอิ



     อะไรอีกล่ะ........เหตุผลที่ชอบแต่งตัวชิวเนี่ย...  อ๋อ  ปลอดภัย  อย่างน้อยก็ในความรู้สึก

     ยังไงอ่ะเหรอ....

     เอาเฉพาะคนเขียนนะ  คนเขียนรู้สึกว่าการแต่งตัวแบบนี้มันไม่โป๊  (หรือเพราะคนเขียนไม่เคยใส่สั้นกว่าแขนสั้น  และสั้นกว่าแค่เหนือเข่าหว่า??)  และดูกระฉับกระเฉง(แม้ดิฉันจะเป็นพวกชอบเดินแบบไม่มั่นใจในตัวเองก็เถิด)  ทะมัดทะแมง  เออ  คำนี้เลย  ใส่เสื้อตัวกางเกงตัวมันดูมั่นใจดี  แถมเสื้อใส่สบายๆพวกนี้หนาพอควร  ไม่ต้องมาคอยลังเลว่า  จะยอมร้อนใส่เสื้อทับ  หรือจะเสี่ยงปล่อยใครเห็นข้างในเสื้อ...

     เว้นก็แต่เสื้อบอลนี่ล่ะ  ทีมโปรดดันใส่เสื้อขาว  เฮ้ออออ

     พูดอีกนัยหนึ่งก็คือการใส่กางเกงทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองคงไม่ตกเป็นเหยื่อสายตาใครง่ายๆ  และการที่กางเกงทำให้ลุกนั่งถนัดทำให้รู้สึกว่า  หากเกิดอะไรขึ้นเราน่าจะขยับตัว  ไม่ว่าจะหนีหรือจะสู้  ได้สะดวกกว่าการใส่กระโปรง    

     ไม่น่าเกิดเป็นผู้หญิงเลยแฮะ  ;p



     การแต่งตัวแบบนี้ยังเหมาะกับหลายๆสถานการณ์  เป็นต้นว่า  ไปท่องเที่ยว  เพราะคล่องตัวมากกว่าเวลาไปไหนมาไหน  นั่งดูรัตนาวดีเห็นนางเอกทรงกระโปรงแทบทุกสถานการณ์(กระโปรงแบบชุดออกงานอีกต่างหากนะ)ยังแอบนึกในใจไม่ได้ว่า  คุณเธอเดินสะดวกได้อย่างไร

     ยิ่งไปกว่านั้น  เวลาอยู่ที่หนาวๆ  เราว่ากางเกงให้ความอบอุ่นได้มากกว่ากระโปรง  เพราะมันคลุมทั้งขาแบบไม่ปล่อยให้อะไรเข้า  ตอนเรียนโทนี่เราแทบไม่ใส่กระโปรงเลยแม้ชุดนอน  ด้วยเคยใส่อยู่หนหนึ่งแล้วรู้สึกว่า  "หนาวขาว่ะ"  หลังจากนั้นเลยทรงกางเกงตลอดเจ็ดวันยี่สิบสี่ชั่วโมง
     กลับมานี่ยังติดการใส่กางเกงอยู่เลย....



     แต่ก็ไม่ใช่ว่าการแต่งตัวแบบชิวจะเหมาะกับทุกสถานการณ์  เป็นต้นว่าพิธีเป็นทางการ  หรืองานที่เน้นความเรียบร้อยเป็นหลัก  เมื่อถึงเวลานั้น  ต่อให้ชอบชิวอย่างไรคงต้องแต่งตัวให้ดี  ให้เข้ากับกาลเทศะ  เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อสถานที่  ต่อบุคคลที่เราต้องพบเจอ ณ ขณะนั้น

     แล้วมาดเนี้ยบๆ  ก็จะออกมาจากทุกคน...

     ....จนกว่ารองเท้าจะกัด  ชุดจะทำพิษ  หรือเดินสะดุดอะไรสักอย่างล่ะนะ....



     เพราะการแต่งตัวคือการสื่อสารอย่างหนึ่งของผู้แต่งที่มีต่อโลกรอบตัว  หลายครั้งที่โลกยอมรับในสิ่งที่เราเป็น  หลายครั้งโลกก็ต้องการให้เราเดินตามกฎ  เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า  เรามีศักยภาพพอที่จะควบคุมตัวเองให้เป็นไปในทิศทางที่โลกต้องการได้


     ดังนั้นแล้ว  เมื่อใดก็ตามที่โลกต้องการความเคารพจากเรา  จงให้ความเคารพแก่โลกด้วยการแต่งตัวตามที่โลกประสงค์จะมองเถิด

   
     แต่ถ้าเพลาใดโลกไม่เคร่งครัดและให้อิสระในการเป็นตัวของตัวเองแล้วล่ะก็....


     เราจะ(แต่งตัว)ชิวชิวละนะ  ;)


   

ความคิดเห็น

  1. ชอบเสื้อผ้าที่ไม่ต้องรีดเหมือนกันเลยค่ะ 555 แต่ของตั้วเป็นชุดแบบผู้ใหญ่ละน้าาาา 555 ชอบใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้น เพราะรู้สึกว่าขายาวทำให้เห็นชัดกันเข้าไปอีกค่ะว่าอ้วนเตี้ย 555

    ตอบลบ
  2. อยากให้แต่งเป็นผู้ใหญ่ก็หางานให้พี่สิ 555
    พี่ชอบใส่ยาว พี่อายขาตัวเอง หุหุ

    ตอบลบ
  3. หงอวววววว ตอนนี้ต้องแต่งเป็นผู้ใหญ่ละน้าาา
    55555

    ตอบลบ
  4. ถอนใจหนักมาก..

    อยากดูแก่ แต่หน้าไม่อนุญาต วะฮ่ะฮ่ะ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ