กลับมาดูสี่แผ่นดิน
สัปดาห์ก่อน หลังจากทบทวนตำราไปได้สักพัก เราก็หาอะไรดูใน youtube เรื่อยเปื่อย แล้วจึงไป ป๊ะ เข้ากับละครเรื่องหนึ่งเข้า
........เรื่องที่นานมาแล้วไม่ได้อ่าน
........นวนิยายที่ยาวที่สุดที่เคยอ่านจบ และยังคงชอบอยู่
.................สี่แผ่นดิน.............
เรื่องย่ออย่างสั้นที่สุด สี่แผ่นดินเป็นเรื่องราวชีวิตของ "แม่พลอย" ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่างการครองราชย์ของกษัตริย์ไทยสี่พระองค์ นั่นคือ รัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ รัชกาลที่ ๗ และ รัชกาลที่ ๘
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อแม่พลอยอายุได้สิบขวบ และจบลงกับการจากไปของแม่พลอยนั่นแล
เวอร์ชั่นที่เราย้อนดูอีกครั้งนี้ เป็นเวอร์ชั่นที่คุณอุ้ม สิริยากร เล่นเป็นแม่พลอย คู่กับคุณตุ้ย ธีรภัทร ซึ่งรับบทเป็นคุณเปรม
ตอนนี้ยังดูไม่จบหรอกนะคะ แค่ถึงตอนที่ "แม่พลอย" กับ "คุณเปรม" พบกันเป็นครั้งแรก
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังอยากแบ่งปันความคิดของตัวเองเกี่ยวกับละครเรื่องนี้ หลังจากได้ดูมาสักระยะหนึ่ง
จริงๆตอนเขาฉายครั้งแรกเราก็ดู แต่ไม่ได้รู้สึกอะไร พอกลับมาดูอีกรอบจึงได้เห็นว่า ละครทำออกมาได้ดีทีเดียว ถ่ายทอดรายละเอียด ประเพณี และวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้นได้อย่างไม่มีที่ติ(อันที่จริง เท่าที่อ่านดูตามเม้นก็มีคนตินะ แต่จุดที่เขาตินั้นเราไม่ทราบรายละเอียด ถ้าถามเรา เราจึงยกประโยชน์แห่งความไม่รู้ให้จำเลย อิอิ) ทั้งยังแทรกความรู้และประวัติศาสตร์ให้ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส เรียกได้ว่า ได้ทั้งสาระและความบันเทิงเลยทีเดียว
งดงาม อ่อนช้อย ละมุนละไม..
แต่ถามว่าแล้วเราชื่นชมแนวคิดทุกสิ่งอย่างของวัฒนธรรมสมัยนั้นทั้งหมดหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่
อย่างตอนที่สาวๆคุยกันว่า "เกิดเป็นผู้หญิงเมื่อเด็กก็อยู่ในเงื้อมมือพ่อ พอแต่งงานก็อยู่ในเงื้อมมือผัว.."
หึยยย โอเค ยุคนั้นน่ะใช่ ถ้ายุคนี้ใครมาพูดแบบนี้ใส่หน้าล่ะก็...
........แม่จะเตะก้านคอจริงๆด้วย !!!
หรือตอนที่พวกแม่พลอยคุยกันว่าตนคงรับไม่ได้หากต้องเต้นรำจับมือกับผู้ชายแบบฝรั่ง คือ เราไม่ได้ต่อต้านนะ เพราะยุคนั้นเป็นผู้หญิงต้องระวังตัวมากต่อหน้าเพศตรงข้าม แค่รู้สึกว่า เออนะ ถ้ามองจากยุคนี้ก็เป็นความเรียบร้อยที่ตลกดี
ยิ่งอ่านคอมเม้นว่า มาเจอคนเล่นสงกรานต์สมัยนี้แล้วจะช็อค แล้วมันอดขำไม่ได้จริงๆ....
แต่สิ่งหนึ่งที่เราประทับใจหลังจากได้ดูมาถึงตอนที่กล่าวไปแล้วนั้นก็คือ ความละเมียดละไมในการเกี้ยวพาราสี และค่านิยมการไว้ตัวหรือคงไว้ซึ่งเกียรติของหญิงสาวในสมัยนั้น
เอาเรื่องเกี้ยวพาราสีก่อน สมัยนี้จีบกันยังไง...
.......เอ่อ ไม่รู้แฮะ ไม่เคยถูกจีบ....
คือ สมัยก่อน จากละครที่ดูเนี่ยนะ เขาจะมองกันไป มองกันมา แล้วฝ่ายชายจะส่งเพลงยาวมาให้ฝ่ายหญิง
ชอบตรงเพลงยาวนี่แหละค่ะคุณ!!!
เพลงยาวที่ว่านี้ จริงๆแล้วคือกลอนแปด ไม่ว่าจะมาแบบธรรมดาคือมีสี่บาททุกบทไปสัก 5 - 10 บท หรือจะมาแบบ บทแรกหายไปบาทนึง หลังจากนั้นก็หนึ่งบทมีสี่บาทก็ตาม
คือ............น่ารักอ่ะ ในสายตาของคนที่ชอบแต่งกลอน และบางครั้งก็ชอบถ่ายทอดความรู้สึกและเรื่องราวออกมาเป็นบทกวี
แล้วคือ เวลาแต่งกลอนเนี่ยนะ มันต้องสรรคำ หรือต้องเลือกคำเพื่อให้ตรงใจที่สุด และสละสลวยที่สุด แต่ละท่อนควรสื่ออะไร ให้สัมผัสตรงไหน จะเล่นคำอย่างไร จึงจะออกมาไพเราะและได้ใจความมากที่สุด ไม่ว่าคุณจะแต่งกลอนเก่งแค่ไหน คุณไม่มีทางปล่อยคำพรวดเดียวหมดโดยปราศจากการ
กลั่นกรองได้
พูดอีกนัยหนึ่งคือมันไม่มีทางเขียนขึ้นโดยไร้ความ "ใส่ใจ" และ "ใส่อารมณ์" ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนอ่าน "อิน" ไม่ได้ (เอ....สมัยก่อนมีคนแต่งกลอนเก่งมากจนมันสามารถป้อได้โดยไม่รู้สึกอะไรไหมนะ?)
จุดนี้เองที่ทำให้รู้สึกว่าการจีบกันสมัยก่อนต้องใช้ความพยายามมากพอดู คือนอกจากต้องพยายามพาตัวเองมามองสาวซึ่งไม่แน่ว่าจะเจอหรือเปล่า(มาตรฐานแม่พลอยนะ)แล้ว ยังต้องคิดประดิษฐ์อักษรสื่อความนัยให้สาวเจ้าซาบซึ้งไปด้วยอีกต่างหาก
สมัยนี้อ่ะเหรอ แค่หาคนเล่นต่อกลอนด้วย....ยังยากเลยอ่ะ แต่ที่ดูจะง่ายเสียเหลือเกินคือการพบปะพูดจาของหนุ่มสาว แปบเดียวก็เป็นแฟนกันแล้ว
อะไรก็ไม่รู้....
อีกประการหนึ่งคือการระแวดระวังไม่ให้ชื่อเสียงของตนเสื่อมเสียในทางชู้สาว ดังที่ทราบกันว่าสมัยก่อนหญิงชายจะไม่ถูกเนื้อต้องตัวกัน
........แต่นี่ไม่ใช่จุดที่ประทับใจหรอก
จุดที่รู้สึกว่า เออ ดีนะ คือตอนที่แม่พลอยไม่ยอมออกไปพบพี่เนื่องตั้งแต่เริ่มรู้สึกว่าความรู้สึกที่มีต่อพี่เนื่องนั้นเปลี่ยนไป แต่เมื่อพี่เนื่องต้องไปราชการและยอมไปพบ ก็ไม่ยอมสบตาเลย
จริงอยู่ที่ว่ากิริยาเหล่านี้นั้นใช้ในยุคนี้ไม่ใคร่ได้นัก ไม่ว่าด้วยเหตุอันใด แต่เราก็ยังรู้สึกว่า ผู้หญิงที่มีความหวงตัวเองอยู่บ้างในระดับหนึ่งเป็นผู้หญิงที่น่าชื่นชม อาจจะใช่ที่การโดนกันตอนนี้นั้นไม่ใช่เรื่องถือสาใหญ่โต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างเพื่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่ารักใครชอบใครแล้วก็ยอมปล่อยตัวไปไกลจนดึงกลับยาก
ค่ะ.............ในเรื่องนี้ออกจะหัวโบราณอยู่ไม่น้อย จะโสดเพราะเหตุนี้หรือเปล่ายังไม่ทราบได้
อีกจุดที่เกี่ยวข้องกันที่ประทับใจ คือตอนที่ช้อยออกรับแทนพลอยว่าตนเป็นคนริเริ่มที่จะทำอาหารฝากให้พี่เนื่องไปตอนที่พี่เนื่องต้องไปราชการ แล้วจึงมากระซิบกับพลอยถึงสาเหตุว่า หากบอกว่าพลอยเป็นต้นคิดคนจะมองไม่ดีได้ เพราะพี่เนื่องกับพลอยนั้นไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ การที่ผู้หญิงอยากจะทำอะไรแบบนี้ให้ผู้ชายอื่นนั้นเสี่ยงต่อการถูกนินทาให้มัวหมองได้
ยิ่งไปกว่านั้น ช้อยยังไม่ยอมให้พลอยตอบจดหมายพี่เนื่องและอาสาเป็นคนเขียนและแปลงสาส์นให้เอง เพราะ "การตอบจดหมายผู้ชายไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาววัง ควรทำ"
เราว่าผู้หญิงควรเคารพและให้เกียรติตัวเองในระดับหนึ่งนะ เพราะมันสามารถส่งสัญญาณให้ผู้ชายได้ว่า ฉันไม่ใช่คนที่เธอจะมาทำรุ่มร่ามเลอะเทอะด้วยได้ และเมื่อเธอเคารพตัวเอง อีกฝ่ายก็จะเคารพเธอด้วย ซึ่งแม้จะไม่การันตีชีวิตที่ดีได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่อย่างน้อยที่สุดเราจะรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง การมีคุณค่าจากภายในนี้เองที่นำไปสู่การยอมรับจากคนรอบข้างได้ในที่สุด
เราว่า นอกจากความรู้ด้านประวัติศาสตร์แล้ว ละครเรื่องสี่แผ่นดินยังทำให้ได้แง่คิดอะไรหลายๆอย่าง แม้บางอย่างจะดูคร่ำครึเกินไปสักหน่อย แต่บางสิ่งก็ยังน่าชื่นชมและควรค่าแก่การนำไปประยุกต์ใช้อยู่ไม่น้อยเลย
สมแล้ว..........ที่เป็นนวนิยายเรื่องโปรดตลอดกาลของเรา :D
ปล. ทนรำคาญกับสำนวนเก่าๆเอาหน่อยนะคะ เราเป็นพวกโรคจิตน่ะ เรารู้สึกว่าคำสร้อย คำพูดคำจาสมัยก่อนหลายๆอย่างมันเพราะดี และเราก็ชอบใช้เป็นอย่างมากด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น