เล่าไปเรื่อย : เมื่อข้าพเจ้าอ่านตำราเตรียมสอบ


    มีใครรู้สึกเหมือนกันไหมว่า  การอ่านหนังสือเรียนหรืออ่านหนังสือเตรียมสอบเนี่ย  ไม่ต่างอะไรกับยาขมหม้อใหญ่ที่ทำให้ท้อได้หลายครั้งที่จับตำรา  ไม่ว่าจะชอบอ่านหนังสือเพียงใดก็ตาม  พอจับตำราเข้าหน่อยต่อให้บางกว่านิยายเล่มโปรดก็เถอะ...

   จอด...


   ด้วยเหตุนี้เราจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติมากที่แต่ละคนจะมีสไตล์การอ่านหนังสือของตัวเองเพื่อให้อ่านเอาเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด  จะต่อสู้กับเรื่องยากมันต้องมีเทคนิคกันหน่อย...

  จริงไหม?



  แล้วถามว่าเรามีวิธีการของตัวเองในการอ่านหรือเปล่า......

   ก็....

   เราชอบอ่านตอนเช้าหรือดึกไปเลย  เนื่องจากเป็นเวลาที่สมองเราค่อนข้างจะมีพลังในการเรียนรู้และจดจำรายละเอียดในตำรา

  และเวลาอ่านเราจะพยายามมีส่วนร่วมกับหนังสือ  คือ  คิดตาม  ถ้าเจอประเด็นหรือนึกอะไรออกก็จะจดไว้  ถ้าลองเปิดหนังสือเราบางหน้าท่านอาจเจอรอยปากกาเขียนว่า...

  "มันเป็นอย่างนั้นได้ยังไงวะ??  - -"
 ค่ะ....ผลของการพยายามมีส่วนร่วมก็เป็นแบบนี้  โดยมากจะเกิดกะฎีกาที่ตัดสินตรงข้ามกับที่คิดไว้


   บางครั้งเลือกใช้วิธีคิดออกเสียง  ท่องออกเสียง  หรือแม้แต่...ถามออกเสียง  เป็นต้นว่า

   "แล้วถ้าโจทก์ฟ้องและบรรยายฟ้องหนัก(หมายถึงมีอัตราโทษสูง)  แต่ขอเบา ศาลจะให้มั้ย???"

  จากนั้นจะเริ่มคิดหาคำตอบด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ  และหากหาได้ก็จะพูดออกมา..

    "น่าจะให้  เพราะ 192 ว.3  อิงโทษที่ฟ้องและบรรยายฟ้อง  ไม่ได้อิงโทษที่ขอ..."
    อะไรแบบนี้

   เหมือนคนบ้าเนอะ


   ปัญหาคือช่วงเวลาแห่งความอดทนมันมีจำกัดน่ะสิ  พออ่านนานๆไปเข้าเราก็จะเริ่มมีสกิล....อ่านไปสิบหน้าจำอะไรไม่ได้เลย  ออกมา

   เป็นสกิลที่ไม่เคยฝึก  ไม่มีใครสอน  และไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง...

   ยิ่งถ้าฝืนทนอ่านตอนกลางวันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หลังมื้อกลางวัน  โอ๊ยเหมือนสมองมันขึ้นป้าย  "ลาหยุด"  แล้วทิ้งให้สัญชาติญาณทำงานแทน
   หรือไม่ก็เหมือนอยากจะหลับเสียให้ได้  แต่เชื่อเถอะ..นอนไปก็ไม่หลับหรอก
 ...ปัญหาเยอะจริงเชียว....


    วิธีแก้ปัญหาระยะสั้นคือ...พัก  แล้วอีกแปบค่อยกลับมาอ่านใหม่  แต่วิธีนี้ช่วยอะไรไม่ค่อยได้นักหรอก


    วิธีสุดโต่งที่สุดคือเลิกอ่านแล้วทำอย่างอื่นแทน  ซึ่งโดยมากหากใช้วิธีนี้จะไม่สามารถกลับมาหาหนังสือได้ง่ายๆ
   ...ข้อดีคือทำให้กิจกรรมยามว่างกระเตื้องขึ้นไปได้อย่างมาก  เหมือนจะเป็นวิธีที่มีความสุขที่สุด...
......ถ้าไม่ติดว่าต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ขี้เกียจน่ะนะ.....


    มีหลายคนใช้วิธีโด๊ปเครื่องดื่มชูกำลังหรือกาแฟ  คือแบบว่าเราไม่ดื่มพวกนั้น  เราใช้วิธีลำเลียงคาเฟอีนเข้ากระแสเลือดโดยผ่านชา  โกโก้  และน้ำอัดลมเป็นหลัก

   ช่วยได้มั้ย  บางครั้งก็ดี  บางทีก็ไม่

   แย่กว่านั้นคือบางทีคาเฟอีนดันไปออกฤทธิ์ตอนกลางคืน
   ....นอนแต่งนิยายในหัวอยู่บนเตียงอย่างสนุกสนาน...

  แต่วิธีนี้ผลข้างเคียงคืออ้วนค่ะ!!  เพราะในเครื่องดื่มเหล่านั้นมักทีน้ำตาลอยู่..
   เฮ้อออ


   อีกวิธีที่มักจะใช้เวลาบังคับให้ตัวเองอ่านหนังสือยาวๆก็คือ  อ่านไปฟังเพลงไป

   หลายคนไม่ชอบวิธีนี้  เขาให้เหตุผลว่ามันทำให้วอกแวกมากกว่าเดิม

   แต่สำหรับเรา  เรารู้สึกว่ามันสามารถดึงความรู้ตัวให้อยู่ในที่จำกัดสองแห่งได้  แห่งแรกคือในบทเพลง  แห่งที่สองคือกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า...คือตำรานั่นเอง

   จริงๆเรายอมรับนะว่าการฟังเพลงดึงสมาธิออกจากหนังสือได้มากโขอยู่  แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้จิตเราไม่ไปไหนนอกจากสิ่งที่หูได้ยินและสิ่งที่ตาดู  แล้วพอถึงจุดๆหนึ่งที่เราตั้งชื่อให้มันว่า  "ช่องว่างระหว่างฟังเพลง"  ซึ่ง ณ ขณะนั้น  แม้จะเหมือนว่าเรากำลังอินกับเพลงอยู่  แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ "จิต"  เราจะตื่นขึ้นมาแล้วจดจ่อกับตำราและจำอย่างได้น้ำได้เนื้อได้อย่างไม่น่าเชื่อ...
    แล้วก็อ่านได้ยาวขึ้นอีกนิดหนึ่ง...

    ประโยชน์อีกอย่างของการฟังเพลงระหว่างอ่านหนังสือคือ  มันทำให้เราไม่หลับ  หรือพูดอีกนัยคือช่วยคลายความง่วงไปได้ไม่น้อย  เพราะพอรู้สึกเหมือนจะง่วง  จิตจะออกจากตัวหนังสือไปจับเพลง  แล้วเพลงพวกนี้ซึ่งร้อยละร้อยเป็นเพลงที่เลือกมาเองและรู้จักดีก็จะทำให้เผลอฮัมหรือร้องตามไปด้วย  ยิ่งถ้าสุ่มได้เพลงโปรดพอดีนี่  ทั้งร้องทั้งโยกไปมา
     ตื่นเลย  555

    การฟังเพลงจะช่วยยืดอายุการอ่านหนังสือไปได้เรื่อยๆจนกระทั่งหูเริ่มส่งสัญญาณว่า  "ฉันพอแล้วกับการใส่หูฟัง"  นั่นแหละ  จึงได้หยุด...   (เปิดแบบไม่ใช้หูฟังไม่ได้ค่ะสำหรับเรา  มันดังไปทำให้เสียสมาธิไปเลย )

    พอหยุดฟังเพลงดันง่วงต่อ  ให้ตายเถอะ -_-


 
    อีกวิธีที่ค้นพบโดยบังเอิญเวลาต้องอ่านหนังสือตอนกลางวัน  คือการเบนเข็มไปอ่านกฎหมายอาญา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ฎีกาเกี่ยวกับฐานความผิดบางประการ....

    เหตุผลน่ะรึ....  ลองนึกภาพว่าถ้าเรากำลังง่วงๆแล้วไปนั่งอ่านว่า  "การตั้งบริษัทต้องมีคนตั้งแต่สามคน  หนังสือบริคณห์สนธิเป็นงี้ๆๆ"  หรือ  "จำเลยติดหนี้โจทก์อยู่สองแสน..."

     หลับมั้ยคะ??  สำหรับเรา  เราหลับค่ะ  -__-zzz


     ทีนี้  ถ้าอ่านกฎหมายอาญา  กำลังตาปรือๆเลย  อ่านเรื่องความผิดเกี่ยวกับชีวิต...

    "จำเลยใช้มีดยาวหนึ่งศอกแทงไปที่ท้องน้อยของผู้เสียหาย  แผลกว้างยี่สิบเซนติเมตร  ผิวหนังเปิด..."  หรือ  "จำเลยราดน้ำมันใส่ผู้ตายแล้วจุดไฟเผา..."

      ตาเหลือกเลยค่ะดิฉัน  O_o  เผลอนึกภาพตามอีกตะหาก  อันที่จริง  ฎีกาที่บรรยายเรื่องความผิดเกี่ยวกะเพศนี่อ่านไปก็ตาเหลือกนะ  แต่...ขออนุญาตไม่กล่าวรายละเอียด  รู้สึกกระอักกระอ่วนชอบกล....

      ส่วนถ้าเน้นฮาต้องเป็นกฎหมายว่าด้วยการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท  เอ้อ  ด้วยความที่มัน...หยาบ...มาก  เอาเป็นว่า  ทุกสิ่งที่ท่านเคยได้ยินนั่นแหละค่ะ  ฎีกา  แต่อันที่อ่านแล้วแอบขำและพอเปิดเผยได้ก็ประมาณว่า

     "การกล่าวกับผู้เสียหายและมีบุคคลอื่นได้ยินว่า  ไอ้เ_ี้ย  หรือ  ปอบ  ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาท  เพราะหมิ่นประมาทต้องเป็นการทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าผู้เสียหายเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง  กรณีนี้จะพูดอย่างไรก็คงไม่มีใครเชื่อว่าผู้เสียหายเป็นดังที่ด่าไปได้"
     จ๊ะ....   ยังไงก็เป็นไม่ได้เนาะ....

    ที่ตลกที่สุดคือฎีกาที่มีเนื้อหาประมาณว่า

   "จำเลยไปตามภริยาที่บ้านผู้เสียหาย  ไม่เจอทั้งภริยาและผู้เสียหาย  จึงเอาวิทยุผู้เสียหายมาและฝากคนที่บ้านให้บอกผู้เสียหายว่า  หากอยากได้คืนให้พาภริยาจำเลยมาคืน  กลับมาถึงบ้านจำเลยเปิดวิทยุได้ยินเสียงเพลง  "เมียหายต้องตามหา"  จำเลยโมโหจึงกระทืบวิทยุพัง..."
     .............เป็นคราวถึงฆาตของวิทยุเครื่องนั้น  เปิดเพลงแทงใจดำพอดีเลย...



   จริงๆแล้วนอกจากที่กล่าวมา  ยังมีอีกหลายวิธีนะที่ทำให้ได้เนื้อหาในการใช้สอบโดยไม่ต้องรอให้ตัวเองหลับคาตำราเสียก่อน  เป็นต้นว่า  ถ้าหัวตื้ออ่านหนังสือไม่ไหวแล้ว  ก็เปิดยูทูปหาวีดีโอสอนกฎหมายวิชานั้นวิชานี้แทน  อาจเสียเวลามากกว่าแต่หลายครั้งก็ทำให้จำได้  หรือจะเลือกกฎหมายบางมาตรามาท่องตอนง่วงๆก็โอเคอยู่  ท่องตอนง่วงๆนี่บางทีจำได้แม่นนะ

   หรืออยากhard core  ฝึกทำข้อสอบไปเลย  แต่ระวังนะ  ถ้าทำแล้วไม่ตรงเฉลยจะน้ำตาร่วงจิตตกเอาง่ายๆ



   หวังว่าปีนี้เราจะสอบเข้าทำงานได้เสียที  จะได้เลิกสอบ  และไม่ต้องมาคร่ำเคร่งจนใกล้บ้ากับกฎหมาย


   ส่วนตอนนี้....

   ก็ต้องจำสิ่งที่อ่านให้ได้มากที่สุดล่ะนะ.....


  ขอบคุณที่อ่านนะคะ

ความคิดเห็น

  1. ชอบเดินอ่านออกเสียงประกอบท่าทางและจิตนาการภาพไปด้วยค่ะ อีกเทคนิคที่รู้สึกว่าดีมากๆคือ ยกตัวอย่างให้เว่อร์วังเข้าไว้ ยิ่งตลกหรือทะลึ่งยิ่งทำให้จำแม่นค่ะ 5555 เป็นกำลังใจให้พี่ฝ้ายนะคะ สู้ๆ

    ตอบลบ
  2. น่าสนใจ แต่กลัวว่าขืนจินตนาการให้เวอร์วังแล้วเกิดนึกพลอตนิยายใหม่ได้ คราวนี้จะยิ่งคิดนอกตำราไปเรื่อย 555
    ขอบคุณค่าา

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ