เมืองไทยเรานี้ ก็ดีอยู่หนา

                    ไม่เข้าใจคนยุคนี้บางคน ที่ร่ำร้องอยากไปใช้ชีวิตต่างแดน บอกบ้านเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ บอกเมืองนอกดีกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ น่าแปลกว่านั้นคือ บรรดาคนที่บ่นเนี่ย หลายคน..แม้แต่ภาษาอังกฤษยังพูดไม่ได้ เรื่องเคยอยู่เมืองนอกจริงๆ ลืมไปได้เลย แต่แหม ยืนยันจั๊งงง ว่าเมืองนอกดีกว่าเมืองไทย

                    มา วันนี้อีป้าคนนี้ขอเล่าประสบการณ์ซึ่งประสบเองบ้าง ฟังเขาเล่ามาบ้าง อ่านมาบ้าง ให้รู้แจ้งแถลงไขสักหน่อยว่า ประเทศไทยของเรา มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนพยายามแช่งๆกัน

                    อะไรนะ อีป้าคนนี้มีดียังไงถึงมีหน้ามาเล่าน่ะเหรอ

                    ก็ไม่ดีอะไรนะ แค่คนธรรมดาๆคนนึงที่จบปริญญาตรีจากจุฬาฯ จบเนติฯ จบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษสองใบ เคยอยู่อังกฤษมาสองปีกว่า ใช้ภาษาไทยและอังกฤษได้พอตัว เคยเรียนภาษาอื่นๆนอกจากไทยและอังกฤษแบบพอทักทายได้อีกสี่ภาษา เคยไปต่างแดนมาแล้วรวมได้ประมาณ 20 ประเทศ และมีเพื่อนนานาชาติจากการอยู่เมืองนอกเมืองนาจำนวนหนึ่ง แค่นั้นแหละ (ขอไม่เล่าเรื่องความสามารถพิเศษอื่นๆ เดี๋ยวตาเหลือก อุ๊บส์)

                    อ่ะ ไม่ถามละนะ จะได้เล่าต่อ


                    ตามความเห็นของอีป้า ประเทศไทยมีส่วนที่ดีที่น่าอยู่ ดังต่อไปนี้ 


        1. อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ 

                    เคยได้ยินประโยคนี้ไหม "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" อะไรนะ ไม่เคยได้ยินได้เห็น ตายๆๆ พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนบ้างรึ

                    ประเทศไทยของเราเป็นประเทศอุดมสมบูรณ์ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก มีอาหารต่างๆผลัดมาให้รับประทานตลอดปี ส่งออกมะม่วงเป็นอันดับสองของโลก(เวียดนามได้ที่ 1) แล้วก็ส่งออก...อะไรไม่รู้ เป็นอันดับ 7 ของโลก และ เอ้อ น่าจะส่งออกทุเรียนและมังคุดเป็นอันดับ 1 ของโลก (ถ้าจำไม่ผิด)

                    อะไรนะ ไกลตัวไปไม่รู้เรื่อง อ่ะ งั้นมาเรื่องใกล้ๆตัว สังเกตไหม เราๆท่านๆทั่วไปไม่เคยห่างเหินจากอาหารการกินเลย บ้านอยู่กลางซอย เดินออกมาหน้าปากซอยเจอร้านขายข้าวแกง ข้างๆเป็นร้านกาแฟ อยู่คอนโดฯ ข้างคอนโดมีเซเว่นฯ(มีตู้กดน้ำด้วย!) อยู่บ้านจัดสรร ฝั่งตรงข้ามเป็นโลตัส วันดีคืนดีมีรถเข็นขายบะหมี่กับรถไอติมเข้าไปขายถึงหน้าบ้าน หาของกินโคตรจะง่าย หรืออีกที ต่อให้อยู่ไกลออกไป ยุคนี้มีสารพัดสารพันคนส่งของ line man เอย food panda เอย ยินดีส่งแบบบริการทุกระดับประทับใจ นี่ๆๆ รู้รึเปล่า Chester grill อ่ะ สั่งอาหารราคารวมตั้งแต่ 200 บาท เขาก็ส่งฟรีแล้วนะจ๊ะ แล้วบริการให้แบบทุกวันยี่สิบสี่ชั่วโมง อังกฤษยังทำไม่ได้เลย

                    อังกฤษไม่มีรถขายข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าปากซอย อังกฤษไม่มีแผงชาโบราณ ไม่มีเซเว่นที่เปิด 24 ชั่วโมง ถ้าอยู่ในมหาลัยที่พึ่งเดียวที่จำได้คือร้านสวัสดิการ(จำไม่ได้แล้วแฮะว่าเปิดตลอดเวลามั้ย) แถมตอนอยู่อังกฤษนะ ต้องกาปฏิทินไว้เลยว่า ช่วง 25-26 ธันวา เนี่ย ถ้าจะอยู่บ้าน ต้องซื้ออาหารเตรียมไว้ เพราะเขาให้คนเขาหยุด Tesco (ที่เมืองไทยซื้อแฟรนชายด์มาแล้วกลายเป็นโลตัสน่ะ) หยุด เหนือสิ่งอื่นใด ขนส่งสาธารณะทุกประเภทงดให้บริการทั่วประเทศ อยากไปไหนหากไม่มีรถส่วนตัว ถ้าไม่เรียกแท็กซี่ กรุณาเดิน! วันที่เขาลดราคาสินค้าในเมือง อีป้าก็เดินจากหอมหาลัยเข้าตัวเมืองไปช้อปปิ้งเหมือนกัน

                    แม่เล่าว่า สมัยไปเที่ยวฮ่องกง หากอยากกินข้าวต้องออกมาเวลาที่เขาขาย ดึกไปไม่ขาย เช้าไป ก็ไม่ขาย เดินหิวอยู่ครึ่งวัน ซึ่งไม่ใช่แค่ฮ่องกง ลองไปแถวยุโรปวันอาทิตย์ แถวสเปนช่วงเช้าๆ หรือเที่ยงดูสิ ไม่มีอะไรกินเหมือนกัน วันอาทิตย์เขาไปโบสถ์ ส่วนตอนเที่ยง ถ้าจำไม่ผิดสเปนเขานอนกลางวันกันน่ะ 

                    ตอนไปดูงานที่เกาหลีใต้ ไกด์ชาวเกาหลีใต้ยังพูดประมาณว่า "ประเทศไทยอ่ะโชคดี มีอาหารการกินทั้งปี คนไทยเลยดูชิวๆ เกาหลีนะแร้นแค้น ที่ต้องดองผักทำกิมจิเพราะถ้าไม่ทำตอนหน้าหนาวจะไม่มีอะไรกิน คนบ้านเรา(เกาหลี)จึงต้องปากกัดตีนถีบกันมาก ประเทศไทยโชคดีจริงๆ"

                    สถานการณ์เอื้ออำนวยให้อ้วนแบบเมืองไทย ไม่ได้มีทุกประเทศนะจ๊ะ


        2. หาหมอได้ทุกเวลา

                    สิ่งซึ่งหลายคนอาจลืมไปเพราะมีจนเคยตัว คือ ประเทศไทยไม่ว่าเราจะเดินเข้าสถานบริการทางการแพทย์กี่โมง เราสามารถได้รับบริการทุกเมื่อ ด้วยราคา...แตกต่างกันไป แต่โรงพยาบาลที่ราคาไม่แพงแถมบริการดียังมีหลายแห่ง ยิ่งไปกว่านั้น กรณีที่เป็นนักศึกษา เราสามารถไปห้องพยาบาลของมหาลัยแล้วรับการรักษาและรับยากลับบ้านได้ฟรี

                    สมัยอยู่อังกฤษ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเดินเข้าไปที่ห้องพยาบาล สิ่งที่เจอคือ "นัดไว้รึเปล่า ถ้าไม่นัดกลับไปเลย/ต้องนัดก่อนนะ" ก็มีน้องคนไทยที่เรียนหลักสูตรเดียวกันอยู่คนนึง วันดีคืนดีเธอไปรับประทานอะไรมาไม่ทราบได้ รู้สึกจะอาเจียนและถ่ายท้อง พี่ๆต้องประคองกันไปห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย ไปถึงแล้วก็โดนเจ้าหน้าที่ไล่กลับออกมา เพราะ "ต้องนัดก่อน ไม่งั้นเข้ารับการรักษาไม่ได้ค่ะ" สุดท้ายหาวิธีดูแลตัวเองจนหาย

                    พี่ที่พาไป : ถ้าน้องกูป่วยหนักก็ตายไปแล้ว 

                    ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยกฎอะไรก็ไม่รู้ ห้องพยาบาลไม่มีอำนาจจ่ายยา ถ้าต้องใช้ยาจริงๆ เขาจะเขียนใบสั่งยายื่นให้เราแล้วบอกว่า เธอเอาใบสั่งยานี่ไปซื้อยาตามร้านขายยาเองนะ แน่นอนว่าต้องเสียเงิน ตอนยืนเข้าคิวซื้อยาฉันนี่คิดถึงตอนไปห้องพยาบาลที่จุฬาฯแล้วได้ยากลับมาถุงนึงโดยไม่เสียสักกะบาทจริงๆ 

                    ที่สหรัฐอเมริกายิ่งแล้วใหญ่ ได้ยินว่าค่ารักษาพยาบาลนั้นสูงมากๆจนคนไข้แทบจะต้องล้มละลายหากป่วยหนัก เว้นแต่ซื้อประกันสุขภาพเอาไว้(ซึ่งเดาว่าประกันก็ไม่ได้ราคาถูก) ตัดภาพมาที่เมืองไทย ป้าอิฉันใช้สิทธิบัตรทองที่โรงบาลราชวิถี จะหาหมอวัยทอง ผ่าตัดสมอง หรือส่องกล้องลำไส้ ก็ไม่เสียสักบาท เอ๊อ 

                    ได้ยินว่าอีกหลายๆประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สเปน ก็คล้ายอังกฤษนะ คือการจะหาหมอได้คุณต้องนัดก่อนล่วงหน้า เดินดุ่ยๆเข้าไปเอ็งก็ทำได้แค่เดินดุ่ยๆกลับมาพร้อมบัตรนัดอ่ะจ้ะ 

                    เพิ่งนึกออก เว้นแต่เว้นแต่ ถ้าเป็นอุบัติเหตุ อันนี้ได้ แต่ไม่ใช่ห้องพยาบาล เพื่อนอีป้าขาหัก อิป้าเป็นคนพาไปเอง เรียกแท็กซี่จากหอมหาลัย ไปโรงพยาบาลกลางในเมือง ครึ่งชั่วโมงมั้งกว่าจะถึง เขาก็เฝือกให้แหละ แต่น่าจะไม่ฟรี คือ หาได้เฉพาะอุบัติเหตุอ่ะ นอกนั้นกรุณานัดหมาย

                    เพราะฉะนั้น อย่าแปลกใจ ถ้าไปโรงพยาบาลไทย แล้วเจอต่างชาติเต็มไปหมด พวกเขาก็หนีร้อนมาพึ่งเย็นกันทั้งนั้นแหละ


        3. ได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมในวงกว้าง

                    สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์ตอนไปเรียนอังกฤษ นอกจากที่ว่าคนจีนไปเรียนเมืองนอกเยอะเนี่ย คือ คนจีนชอบคนไทย เจอคนไทยอย่างดิฉันคือดี๊ด๊า(เจอญี่ปุ่นนี่อีกอารมณ์เลย) แล้วก็มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนจีนหลายๆคน ประเด็นนึงที่เขาชวนคุยคือ "ประเทศเธอมีผู้ชายที่สวยๆเยอะมากเลยนะ" พอคุยแล้วเขาก็แชร์ว่า เออ คนไทยนี่เปิดรับดีเนอะ ทุกคนเป็นตัวเองได้เต็มที่ ของจีนยังไม่ได้ขนาดนี้เลย 

                    นอกจากนี้ ถ้าคุณลองเข้าไปอ่านเว็บของทางเมกา เช่น reddit หรือ boredpanda มันจะมีประเด็นนึงที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านบทความขำๆ นั่นก็คือ ในประเทศเขาน่ะ ค่าแรงผู้หญิงกับผู้ชายไม่เท่ากัน ผู้หญิงได้ค่าแรงต่อชั่วโมงน้อยกว่าผู้ชาย แถมในที่ทำงาน ผู้หญิงยังโดนเลือกปฏิบัติต่างๆนานา จากผู้ชายอีกด้วย ซึ่งเท่าที่รู้ ประเทศไทยไม่มีปัญหานี้ แรงงานอาชีพเดียวกันได้ค่าแรงเท่ากัน อ่านแล้วได้แต่กลอกตาพลางคิดในใจว่า "เมกามึงดูแลความเท่าเทียมคนของมึงก่อนไปเสือกเรื่องชาวบ้านดีกว่าไหม"

                    อะไรอีกล่ะ เขียนเรื่องหนักๆนี่เปลืองพลังงานชะมัด อ่อ ญี่ปุ่นจ้ะ ความก้าวหน้าชายเยอะกว่าหญิงเพราะถือว่า เดี๋ยวผู้หญิงก็ต้องแต่งงานแล้ว ถามว่าทำไมรู้ รู้จากการ์ตูนไง แต่คิดว่าน่าจะไม่ผิดจากความจริงนะ 

                    เพราะงั้นคนที่เรียกร้องความเท่าเทียม รบกวนช่วยเอาไม้จิ้มฟันนะ แยงตาให้กว้างที่สุด แล้วดูความเป็นสังคมไทยในภาพกว้างหน่อย ทำใจให้เป็นธรรมแล้วก็จะเห็นว่า ประเทศเรามีความเท่าเทียมไม่น้อยกว่าใครเลย จริงๆ 


        4. ภาษี

                    มาถึงประเด็นที่เด็กชอบอ้าง "เสีย vat 7% คือเสียภาษี" เงียบก่อนลูก มีรายได้ต่อปีเกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ได้เงินเดือนไม่เต็มจำนวนเพราะโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย และต้องยื่นแบบรายได้เพื่อเสียภาษีทุกปีแบบอีป้า ค่อยมาอ้างเนอะ

                    แล้วอันที่จริง 7% นี่ไม่ถือว่าเยอะนะจ๊ะ บางประเทศเช่นญี่ปุ่น ภาษีเครื่องอุปโภค(ของใช้) บริโภค(ของกิน)เขาไม่เท่ากัน อันนึงน่ะร้อยละ 7 อีกอันน่าจะร้อยละ 10 ไม่พอ ขึ้นแท็กซี่นอกจากค่าแท็กซี่ยังมีภาษีการบริการด้วย เพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีกตรงที่ไม่รวมในราคาของมาเลยทีเดียว ตอนติดราคาน่ะจำนวนนึง พอจะจ่ายถึงเอา vat มาเพิ่ม เป็นอะไรที่ปวดเศียรเวียนเกล้าสุดเวลาช้อปปิ้ง ซึ่งถ้าใครเคยไปอเมริกา นี่ก็เหมือนกัน ราคาของไม่รวม vat ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่รวม น่าโมโหจริงๆ 

                    หลักการเสียภาษีเงินได้ของไทย ถ้ามีรายได้เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทขึ้นไปจะต้องเสียภาษีเงินได้แก่รัฐ ซึ่งอัตราจะคิดแบบก้าวหน้า รายได้น้อยเสียน้อย(ต่ำสุดร้อยละ 5) รายได้มากเสียมาก (สูงสุดร้อยละ 35) ซึ่งระดับที่กล่าวนี้ก็ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศ ได้ยินว่าบางประเทศเสียภาษีเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดต่อปี แล้วประเทศไทยยังมีความการุญตรงที่ มีจุดให้หักลดหย่อนภาษีเยอะแยะมากมาย เช่น มีลูกหักค่าใช้จ่ายลูกได้ ทำประกันหักเงินค่าประกันได้ ฯลฯ ไม่แน่ใจว่าต่างประเทศมีไหม คิดว่าไม่มีนะ ไม่งั้นคงไม่เห็นคนบ่นกันเยอะดอกมั้ง 

                    คนเสียภาษีจริงๆจังๆจะบ่นกี่คนไม่ทราบได้ แต่หลายคนที่บ่นเรื่องภาษีเนี่ย สูเจ้ามีรายได้แล้วหรือยัง หืม? 


        5. สิทธิเสรีภาพที่มากจนเกินเหตุ เดี๋ยวจะรวมสิ่งละอันพันละน้อยให้

- ญี่ปุ่น คุณทิ้งขยะเรี่ยราดและทิ้งไม่เลือกไม่ได้ เขาจะกำหนดไว้เลยว่าประเภทนี้ต้องทิ้งวันนี้ๆ ต้องแยกขยะก่อนทิ้ง ตัดภาพมาที่ประเทศไทย ไม่ต้องอธิบายก็คงนึกภาพออกว่าถังขยะบ้านเราเป็นไง

- ทุกชาติมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของรัฐค่ะ และโหดกว่าไทยด้วย เมกาอ่ะ ลองเดินจังก้าไปหาประธานาธิบดีสิ โดนยิงตายนะโว้ย หรือ เห็นตำรวจฝรั่งเศสทุบม็อบป่ะ ทุบจริงจังไม่ใช่เล่นๆด้วย 

- สิงคโปร์ คุณจะมีรถยนต์ได้ต้องทำเรื่องขอต่อรัฐ แสดงรายได้ แสดงบ้าน แสดงให้เห็นว่ามีเงิน มีพื้นที่จอด โน่นนี่นั่น เมืองไทยเหรอ คนออกรถใหม่กันเกร่อ รถเต็มถนน ผ่อนไม่ไหวก็โดนยึดคืนแล้วก็ไปซื้อใหม่ เป็นวังวนไม่จบ

- สิงคโปร์อีก ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง ห้ามพูดเรื่องการเมืองในที่สาธารณะ และถ้าแสดงความเห็นอะไรที่เป็นภัยความมั่นคงของรัฐ โดนปิดนะจ๊ะ เป็นไง fake news ในโลกออนไลน์ไทยอ่ะ จัดการไปกี่มากน้อย? 

                    จริงๆสำหรับคนดีคนไม่คิดจะทำผิดกฎหมาย เรื่องนี้อาจจะถือเป็นข้อเสีย เพราะทำว่าที่สัตว์นรกได้ใจ ก่อกรรมทำเข็ญไม่หยุด แต่คนที่ชอบป่าวประกาศว่าเมืองไทยไม่มีเสรีภาพ ถ้าทำแบบนี้ประเทศอื่น เอ็งอาจไปนอนเป็นปุ๋ยใต้ดินนานแล้วนะ 


        6. ชาติไหนก็ชาตินั้น

                    ไม่รู้จะตั้งชื่อยังไงดี คือ ที่บ่นๆกันน่ะ เคยไปต่างประเทศกันรึยัง เคยถูกเหยียดเพราะไม่ใช่คนบ้านเขาไหม 

                    ไม่เคยล่ะสิ 

                    คนไทยที่ไปเรียนอังกฤษหลายคนเคยเจอ แบบเบาๆคือเดินผ่านแล้วโดนแซว(ก็ทำไม่สนใจแล้วเดินต่อไป) หนักสุดคือน้องคนหนึ่ง เธอเดินอยู่ริมถนนแล้วจู่ๆ มีฝรั่งที่ไหนไม่รู้ ปาซอสมะเขือเทศใส่(รู้สึกจะหลบทัน แต่เสียขวัญอยู่นะ) 

                    พวกตะวันตกน่ะ หลายคนมันเหยียดเอเชียโดยสันดาน เจอหน้าตี๋ๆตาตี่ๆ ไม่ได้ ต้องหาเรื่องหาราว ยิ่งยุคนี้น่าจะเคยเห็นข่าวที่อเมริกาบ้าง เนเธอแลนด์บ้าง ทำร้ายคนเอเชีย การไปประเทศตะวันตกในช่วงนี้จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงภัยอยู่ไม่น้อยในความคิดของอีป้า และต่อให้ไม่รังแกชัดเจน มันก็อาจจะมีสักวูบนึงที่มันจะแสดงความชิงชัง ตอนเข้าเรียนที่อังกฤษ มีเพื่อนร่วมห้องคนนึงเป็นชาวเยอรมัน สิ่งที่จำได้คือ แกจะคุยกับเพื่อนที่ตาน้ำข้าวเท่านั้น กับพวกเราชาวไทยนี่แกจะแบบมองแวบนึงด้วยหางตา (อยากรู้จักมึง ship lost เถอะ) 

                    หลังจากอยู่อังกฤษ พอกลับมาเมืองไทย ได้เจอคนที่พูดภาษาเดียวกัน หน้าตาไม่แตกต่างกัน ไม่โดนมองด้วยสายตาดูถูกแบบตอนอยู่ตะวันตก มันก็อุ่นใจดีเหมือนกันนะ

                    ไม่ใช่ทุกประเทศที่เป็นประเทศน่าอยู่ แต่สำหรับคนชาตินั้นๆ การได้อยู่ที่ๆเป็นที่ของเรา มันก็มีความสุขดีนะ 


        7. มีความปลอดภัยระดับพื้นฐาน

                    เริ่มต้นกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อไม่นานมานี้พี่ทำงานเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เขาแก้กฎหมาย ถ้าขโมยของที่มูลค่าต่ำกว่า 20 ดอลลาร์ ไม่ผิด ถามว่าทำไม คนมันขโมยของกันเยอะ ถ้าไม่แก้คือล้นคุก นอกจากนี้ เวลาจอดรถ เดี๋ยวนี้เขาไม่ปิดกระจกกันแล้ว เพราะคนมันจ้องขโมยของในรถแล้วมันทุบกระจก ไปๆมาๆก็เลย เออมึงอยากขโมยอะไรขโมยไป อย่าทุบกระจก เอาไหมล่ะ ชีวิตแบบนั้นน่ะ ไปอยู่เมกาดิ

                    นอกจากนี้ ว่าด้วยเรื่องภัยจากธรรมชาติ ญี่ปุ่นมีสึนามิ แผ่นดินไหว เมกามีพายุเฮอร์ริเคน ทอร์นาโด ออสเตรเลียมีสัตว์นานาชนิดที่ปลิดชีวิตเราได้ เช่น งู แมงมุม จรเข้ แม้แต่จิงโจ้วันดีคืนดีมันยังกระโดดเตะ(ก้านคอ)คนเลย รัสเซียมีความหนาวเหน็บที่เอาชนะกองทัพฝรั่งเศสและเยอรมันได้ ไทย มี...หน้าร้อนที่อุณหภูมิ 40 องศา (กระนั้นยังแพ้ซาอุฯเลย เพื่อนชาวซาอุของอิป้าเคยเล่าให้ฟังว่า บ้านไออ่ะ ตอนเที่ยงๆนะยู เอาไข่ตอกใส่จานไปวางกลางแดด สักพัก สุกกินได้พอดี) โอ้โห เห็นความแตกต่างป่ะ

                    ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ไปเที่ยวนี่ต้องจับกระเป๋าไว้ให้มั่น เพื่อนอีป้าไปเที่ยวอิตาลี โดนล้วงกระเป๋าจนหนังสือเดินทางและวีซ่าถูกขโมย กลับประเทศไม่ได้ แล้วตอนไปฝรั่งเศสนะ เห็นกะตา กลุ่มเราชาวเอเชียเดินถ่ายรูปกันอยู่ มีฝรั่งสาวสองคนถือแผนที่มาทำทีถามทาง แต่ฉันน่ะยืนอีกมุมหนึ่ง เห็นชัดๆเลยว่านางคนหนึ่งกำลังรูดซิปเปิดกระเป๋าสมาชิกคนนึงพอดี พอเราทักปุ๊บนางสองคนเดินหนีไปเลย หรืออินเดีย ผู้หญิงถูกข่มขืนในรถโดยสารประจำทาง(ถ้าจำไม่ผิด) หรือเมกา ผู้หญิงถูกข่มขืนในรถไฟใต้ดิน ฉันว่าประเทศไทยยังไม่อันตรายถึงขนาดนั้นเลย จริงๆนะ 

                    สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดที่นึกออก ตอนลงเรียนคอร์สภาษาจีน จู่ๆเหล่าซือ(เป็นคำภาษาจีน แปลว่า อาจารย์) ก็เล่าว่า "ถ้าไปเรียนที่เมืองจีนน่ะ ต้องมีอย่างน้อยสักครั้งนึง ที่ถูกล้วงกระเป๋าหรือขโมยของ" คนเรียนฟังแล้วก็แอบหลอนเบาๆ

                    ถ้าคิดว่าเมืองนอกปลอดภัยกว่าไทย ก็ไปเลยจ้ะ ไปนะ เดินชูคอให้ทั่วตลาดว่ามีสร้อยคอทองคำสองบาท ไอโฟนรุ่นใหม่ กระเป๋าพราด้า แล้วดูซิว่า จะอยู่รอดปลอดภัยได้กี่วัน 


                    แน่นอนว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก แต่ยอมรับไหมล่ะว่า ไม่มีประเทศไหนหรอกที่ดีที่สุดในโลก ทุกประเทศต่างมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไปทั้งนั้น 

                    การที่คุณเป็นคนไทยแล้วอยู่ในประเทศไทยไม่ใช่เครื่องการันตีว่าคุณจะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข แต่สิ่งที่อีป้าตระหนักตอนอยู่เมืองไทยและเป็นคนไทยคนนึง คือเราจะไม่รู้สึกแปลกแยก ไม่รู้สึกว่าเดินไปไหนแล้วมีสายตาแปลกๆมองมา(ตอนไปยุโรปอ่ะ เจอชัดเจน) ไม่รู้สึกเหมือนเราเป็นแค่คนแปลกหน้า และไม่ต้องถูกใครหน้าไหนมองมาด้วยรังสีอำมหิตว่า "มึงออกไปจากประเทศกูซะที" เพราะที่นี่คือประเทศของเรา คือบ้านของเรา ไปดูนะ ไปดู the golden song ตอนหนึ่ง ที่ เอ่อ เจ้าของเพลง ป๊า ม้า กลับมาร่วมรายการอ่ะค่ะ เขาอยู่ออสเตรเลีย แต่ยังคงคิดถึงเมืองไทยเสมอ นั่นแหละ นั่นแหละความเป็นคนชาติล่ะ 


                    ทั้งนี้และทั้งนั้น ถ้ายังชังความเป็นไทยจริงๆ แนะนำให้ไปอยู่เมืองนอกค่ะ และขอให้โชคดี หากเลือกจะไปแล้ว เจออะไร อย่าร้องนะ ท่องไว้ เราเลือกเอง ก็ต้องยืดอกรับผลการเลือกอย่างองอาจ เข้าใจ๋? 


                    สวัสดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ