ตลาดที่จีนยังไม่ลงเล่น

 คำเตือน : 1.บทความนี้ค่อนข้างมีสาระอันเกี่ยวด้วยด้วยข้อมูลสินค้าบางประเภท(เขาเรียกการตลาดหรือเปล่านะ?) หากใครไม่ชอบอ่านเรื่องแนวนี้ มันอาจจะน่าเบื่อสำหรับคุณ

                  2.เนื้อหาในบทความเขียนขึ้นจากการสังเกต ประสบการณ์ ตลอดจนการเก็บข้อมูลจากตนเองและคนรอบข้าง ไม่อาจยืนยันได้ว่าถูกต้องครบถ้วน 100% ดังนั้น หากบทความนี้ไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกใจใครประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้


                    สวัสดีค่ะ คุณผู้อ่าน


                    ถ้าเราสังเกตตลาดสินค้าหลายๆอย่างจะพบว่า ช่วงสิบปีนี้มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก มีการเข้ามาของสินค้าบางยี่ห้อ มีการออกไปของสินค้าบางยี่ห้อ มีกระทั่งการกีดกันไม่ให้สินค้าบางยี่ห้อขายดีจนเกินไป...บางทีก็กลั่นแกล้งกันอย่างหน้าด้านๆเลย

                    เริ่มกันที่สินค้าประเภทรถยนต์ จะเห็นว่ายี่ห้อยอดนิยมมักมาจากญี่ปุ่น เช่น โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน ซุซุกิ มาสด้า หลังจากนั้นก็เริ่มมีรถจากเกาหลีใต้ คือ เกีย(Kia) มาจากอังกฤษคือ MG แล้วก็จะมีแบรนด์จากตะวันตก เช่น volvo หรือ audi หรือถ้าเป็นรถหรูๆขึ้นมาอีกนิด ก็จะมาจากเยอรมนี เช่น เบนซ์ หรือบีเอ็มดับบลิว หรือจากอิตาลี เช่น แลมโบกินี 

                    อยู่มาวันหนึ่ง Haval จากจีนก็เข้ามา แล้วก็เริ่มมาอีกหลายยี่ห้อ เช่น ora, neta, byd พวกหลังๆนี่เริ่มเป็นรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมัน และดูเหมือนจะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เราลองสอบถามน้องที่ทำงานที่ใช้ ora น้องบอกว่า ก็โอเค เทคโนโลยีทันสมัย มีกล้องรอบตัว มีเซนเซอร์ซึ่งถ้าจะโดนอะไรจะส่งเสียงเตือน ส่วนไฟฟ้า ชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งได้ 500 กิโลเมตร (ใช้ได้นานอยู่นะ) จะติดขัดอยู่อย่างเดียวคือ ด้วยความที่มันเป็นรถขนาดเล็ก เวลาขึ้นเนินก็จะสั่นๆนิดนึง 


                    ข้ามมาดูสินค้าประเภทโทรศัพท์มือถือบ้าง มือถือรุ่นแรกๆเลย(เท่าที่จำได้นะ) ก็เช่น motorola (ด้วยขนาดคือ ปาหัวหมาแตก) nokia (ปัจจุบันปีนขึ้นมาจากหลุมหลังจากสะบักสะบอมไปพักใหญ่) เข้าสู่ยุคมือถือจากเกาหลีได้แก่ ซัมซุง และ LG(ไปแล้ว..) มีญี่ปุ่นขอเอี่ยวโดยการส่งโซนี่มาขายด้วย และที่ฮิตติดลมบนสุดๆทั้งๆที่ราคาโคตรจะแพงคือ ไอโฟน 

                    ขณะนั้นเองก็มีมือถือที่กระดึ๊บเข้ามาอย่างเงียบๆ(แต่แฟนก็มีพอควรนะจ๊ะ) คือ HTC จากไต้หวัน ก่อนจะหายไปจากประเทศไทย จากนั้นจีนก็แก้มือโดยการส่ง huawei เข้ามา ตามมาด้วยมือถือแบรนด์จีนแบบไม่พัก เช่น vivo honor oppo xiaomi realme เป็นต้น 

                    เราเคยใช้เอชทีซี หัวเว่ย และเรียลมี สำหรับมือถือทั้งสองเอช(htc and huawei//ยัยคนเขียนดูเหมือนจะถูกโฉลกกับเอช) เราว่ายอดเยี่ยม ส่วนเรียลมีนั้นยังด้อยกว่าสองยี่ห้อแรก แต่ถ้าวัดจากราคา เราว่ามันก็ทำงานได้ดีที่สุดเท่าที่มันจะทำได้แล้วล่ะ (อ่านความเห็นเราต่อมือถือหัวเว่ยและเรียลมีได้ที่ "จากใจคนใช้แอนด์ดรอย์" https://alwaysfay.blogspot.com/2023/10/blog-post.html


                    หลังจากที่ตามอ่านบทความทาง mind มาสักระยะ วันหนึ่งเราอ่านบทความจากนักเขียนเจ้าประจำ แล้วมีเนื้อหาประมาณว่า การเข้ามาของรถไฟฟ้าสัญชาติจีนทำให้ญี่ปุ่นกระอักเลือด เนื่องจากเสียรายได้จากสินค้าซึ่งตนแทบจะผูกขาดและ "ขายเกินราคามาเป็นเวลานาน..."

                    ขายเกินราคามาเป็นเวลานาน...

                    ขายเกินราคามาเป็นเวลานาน...

                    ขายเกินราคามาเป็นเวลานาน...

                    หลังจากชะงักงันสตันท์ไปชั่วครู่ เราก็เริ่มมาคิดต่อว่ารถยนต์ไม่น่าใช่สินค้าชนิดเดียวที่ญี่ปุ่นผูกขาดและค้ากำไรเกินควร 

                    ยังมีสินค้าอีกบางประเภทที่จีนยังไม่ได้เข้ามาแข่งขัน ปล่อยให้ญี่ปุ่นแทบจะผูกขาดราคามานับศตวรรษ นั่นก็คือ...

                     


                    1. กล้องถ่ายรูป

                    ในยุคแรกๆ ยี่ห้อที่ดังที่สุดน่าจะเป็นโกดัค ซึ่งปัจจุบันก็ผลิตกล้องฟิล์มป้อนตลาดเป็นหลัก ส่วนกล้องดิจิตอลและกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ที่อยู่ในตลาด ก็เช่น sony, fuji, canon, nikon, panasonic, olympus แม้ดูเหมือนจะมีผู้แข่งขันหลายราย แต่หากดูให้เห็นถึงเนื้อใน คุณจะเห็นธงชาติสีเดียวกัน สีขาว ตรงกลางเป็นวงกลมสีแดง

                    ใช่แล้ว ทุกแบรนด์ที่กล่าวมา(ไม่นับโกดัค)ล้วนมีสัญชาติญี่ปุ่น 

                    จะมีแหยมเข้ามาอีกยี่ห้อก็คือ leica ซึ่งเป็นแบรนด์สัญชาติเยอรมัน ราคาแพงหูฉี่ยิ่งกว่าญี่ปุ่นเสียอีก 

                    กล้องแต่ละตัวนั้นราคาไม่ถูกเลยหนา พวกกล้องดิจิตอลเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้รุ่นใหม่ๆทั่วไปนั้นเริ่มต้นราคาประมาณหมื่นกว่าๆ ส่วนกล้องเปลี่ยนเลนส์ไม่ต้องพูดถึง มีเงินน้อยกว่าหมื่นปลายๆแทบไม่สามารถซื้อกล้องมือหนึ่งได้ ยิ่งพวกที่เรียกว่ารุ่นโปรยิ่งหายห่วง ครึ่งแสนจนถึงแสนเป็นราคาที่หวังได้ (ไม่อ่อนโยนเลย ไม่อ่อนโยนต่อนักถ่ายภาพสมัครเล่นเลย) แล้วไม่ใช่ราคาเหยียบสองหมื่นนี่ไร้ที่ตินะจ๊ะ เอาเฉพาะรุ่นที่เราเล็งไว้ซึ่งราคาไม่เกินสามหมื่น นิคอนและโซนี่ไม่มี view finder ส่วนcanon, sony และ fuji ไม่มีกันสั่นในตัวกล้อง(จริงๆ nikon ก็ไม่มีกันสั่นในตัวกล้องเหมือนกัน) panasonic ที่สเปคโอเคนั้นขนาดบิ๊กเบิ้ม แบกลำบาก ส่วน olympus (ฉันใช้ยี่ห้อนี้ มันก็จะมีฉันทาคตินิดหนึ่ง) เมื่อเทียบราคากับสเป็คที่สูงขึ้นแล้ว พบว่าเพิ่มสเป็คไม่มาก แต่ราคาทะยานขึ้นไม่น้อย 

                    เจ๊จะเป็นลม (เผอิญเจ๊เป็นคนเรื่องมาก) 

                    เมื่อมองมาถึงศักยภาพของจีนที่สามารถผลิตมือถือที่คุณภาพกับราคามีความสมเหตุสมผลและไม่ขูดเลือดขูดเนื้อเกินกว่าเหตุ เราจึงเชื่อว่า หากจีนลงมาเล่นตลาดกล้องถ่ายรูป โลกเราน่าจะมีกล้องถ่ายรูปที่มีคุณภาพดีและมีราคาที่จับต้องได้เพิ่มขึ้น

                    เราเคยบ่นกับแม่เรื่องนี้ แม่บอกว่าทุกวันนี้มือถือจีนก็มีกล้องที่ครบเครื่องแล้วนี่ เราสวนไปทันควันว่า "มือถือทั่วไปไม่สามารถถ่ายไฟให้เป็นแฉกได้เพราะมีค่า f ต่ำ ซึ่งจะถ่ายไฟเป็นแฉกต้องใช้ f สูง ประมาณ 8" แม่เกิดการงงเป็นไก่ตาแตกว่าลูกฉันพูดอะไรวะเนี่ย (หรือนางอาจคิดว่าทำไมลูกฉันไม่เหมือนผู้หญิงทั่วๆไปกับเขาบ้าง) 

                    โอเค เราเคยเห็นกล้องหน้าตาแปลกๆ ยี่ห้อแปลกๆ ขายในแอพช้อปปิ้ง ไม่ต้องบอกก็เดาออกว่ามาจากจีน ราคาถูกด้วย (ราคาอยู่ระหว่างหนึ่งพันถึงสี่พันกว่า แล้วแต่รุ่น) แต่ตราบใดที่มันไม่ใช่แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักและแน่ใจว่ามีประกันโน่นนี่ ฉันก็ไม่กล้าซื้อจ้ะ 

                    ..ได้แต่หวังว่า อุตสาหกรรมจีน จะลงเล่นตลาดกล้องถ่ายรูปบ้างในสักวัน ผู้บริโภคอย่างฉันจะได้มีตัวเลือกมากขึ้นในการเลือกกล้องถ่ายรูปสักที 



                    2. การ์ตูนและเกมส์

                    พูดถึงสองอย่างนี้ก็ต้องนึกถึงประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น เริ่มที่การ์ตูน ฟากตะวันตกเรามีดิสนีย์ มาร์เวล universal studio ส่วนญี่ปุ่นไม่ต้องพูดถึง นับไม่ถ้วน คุณโตมากับเรื่องอะไรล่ะ อุลตราแมน หน้ากากเสือ ดราก้อนบอล โดเรมอน ซามูไรพเนจร คนเก่งฟ้าประทาน เซเลอร์มูน ดิจิมอน โคนัน อินุยาฉะ(ตอนนี้กำลังฉายภาคลูกๆอยู่ ดี๊ด๊าแปบ) วันพีช ดาบพิฆาตอสูร ฯลฯ (มีการ์ตูนอีกเป็นสิบๆเรื่องไม่ได้พูดถึง ยิ่งนึกยิ่งเยอะ) จนทุกวันนี้คนแทบจะเรียกทับศัพท์เป็นภาษาญี่ปุ่นโดยใช้คำว่า อะนิเมะ แทนคำว่าการ์ตูนแล้ว ส่วนเกมส์ ฟากตะวันตกก็มี Xbox ส่วนญี่ปุ่นนี่เขม่นกันเองด้วยซ้ำระหว่าง Sony playstation กับ Nintendo เกมส์ดังๆก็เช่น final fantasy pokemon dragonball (หลายอย่างก็มาจากการ์ตูน) mario ฯลฯ มีออกมาให้เล่นไม่จบสิ้น 

                    ดูเผินๆเหมือนจะไม่มีอะไร(บ้างคิดว่า อ้าว การ์ตูนดูฟรีจากช่องเก้านี่//ดักแก่) แต่การเสพติดการ์ตูนและเกมส์ทำให้เสียเงินไม่น้อยนะคะ เพราะเมื่อการ์ตูนสักเรื่องเริ่มนิยม ก็จะมีผลิตภัณฑ์จากการ์ตูนออกวางขายตามมา แค่เรานี่ อยากดูไหมล่ะว่ามีมอนสเตอร์อยู่ในครอบครองกี่ตัว แต่ละตัวราคาเท่าไหร่(มองหน้าทำไมกาบุมอน//หาเรื่องตุ๊กตาอีกแล้ว) รวมแล้วหมดไปหลาย เกมส์ยิ่งชัดเจน เกมส์ยุคหลังๆนี่ราคาพันขึ้นทั้งนั้นล่ะ ซื้อสักสิบเกมส์ก็หมื่นกว่าละนะ ยิ่ง playstation รุ่นใหม่ๆ เห็นราคาแค่ตัว console ไหมคะ เป็นหมื่นนะคะ 

                    ด้วยหลักการเดียวกับกล้อง เราก็เชื่ออีกเช่นกันว่า หากจีนจะทำจริงๆ จีนคงสามารถผลิตการ์ตูนและเกมส์ออกมาให้ฮิตติดลมบนได้ไม่แพ้ญี่ปุ่นและอเมริกา แล้วก็เชื่ออย่างเข้าข้างตัวเองว่า การ์ตูนและเกมส์สัญชาติจีนคงจะราคาย่อมเยาว์ได้ยิ่งกว่าสองชาติที่ผูกขาดมานานเป็นแน่

                    ...แหม ทำเครื่องเล่นรวมเกมส์ออกมาขายยังทำได้(ราคาดีด้วยนะ ทำเป็นเล่นไป) คิดค้นเกมส์ให้เล่นเองเลยสิคะ 

                    อย่างไรก็ดี จากการฟังรายการสนธิtalk ล่าสุด ซึ่งเล่าถึงความพยายามของประเทศจีนในการจำกัดเวลาการเล่นเกมและจำนวนเงินที่ใช้ในเกมของเด็กและเยาวชน หากจีนไม่สนใจจะผลิตเครื่องเกมเราก็ไม่แปลกใจ(และเข้าใจ) เพราะเครื่องเล่นพวกนั้นสามารถเล่นได้โดยไม่ต่ออินเตอร์เนต ขืนผลิตออกมาคงควบคุมการเล่นเกมของเด็กได้ยากกว่าเก่า แต่ว่า จะขยิบตาข้างหนึ่งแล้วผลิตป้อนต่างประเทศอย่างเดียว เกมเมอร์สาวชาวไทยก็ไม่ขัดข้องนะคะ 555 

                    ส่วนเรื่องเล่าที่เคลื่อนไหวได้ อุตส่าห์ทำสามก๊ก เปาปุ้นจิ้น โปเยโปโลเย มังกรหยก ฯลฯ (หนังดักแก่มากอ่ะ 555) หรือซีรีย์จีนออกมาจนคนติดกันงอมแงมได้ ก็ทำการ์ตูนออกมาหลอก เอ๊ย สนองกลุ่มเป้าหมายเยาวชนและคนหัวใจเด็กด้วย จะเป็นไรไป จากนั้นก็ออกกาชาปองการ์ตูนมาให้สะสม โอ๊ย รวยเละ (ณ ตอนนี้ กาชาจีนราคาถูกกว่าของญี่ปุ่นด้วยอ่ะ ประทับใจ) 


                    เราเขียนบทความนี้ขึ้นเนื่องจากเรามีส่วนได้เสีย เราชอบถ่ายรูป เราชอบดูการ์ตูน และเราเล่นเกมส์ สารภาพเลยว่าเราหมดเงินไปไม่น้อยกับสามอย่างนี้ พอได้เห็นประโยคว่า "ญี่ปุ่นขายเกินราคามานาน" เราเลยเอามาต่อยอดและคาดการณ์เอาเองว่า กล้อง สินค้าจากการ์ตูน และเกมส์ อันเป็นสินค้าขึ้นชื่อทั้งสามของญี่ปุ่น ก็น่าจะแพงเกินไปด้วยเช่นกัน ทีนี้ พอเอาเรื่องสินค้าจากจีนมาผสม เราก็เลยคิดต่อยอดต่อไปว่า ถ้าจีนลงมือผลิตกล้องถ่ายรูป สร้างการ์ตูน และคิดค้นเกมส์ขึ้นมา และเริ่มจำหน่ายสินค้าเหล่านั้นแก่โลกใบนี้ ผู้บริโภคอย่างเราๆคงมีทางเลือกมากขึ้นในการเสพสิ่งต่างๆ และเมื่อทางเลือกมากขึ้น ราคามันก็น่าจะสบายกระเป๋าขึ้นตามไปด้วย 

                    ก็ได้แต่หวังว่า บทความนี้จะไปถึงประเทศจีน หรือก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมทำนองนี้แล้วไปกระตุ้นความสนใจของประเทศจีนได้ในที่สุด (กำเงินรอซื้อด้วยใจจดจ่อ)

                    อย่างไรก็ดี หากจีนจะไม่ลงเล่นในตลาดพวกนี้จริงๆ เราก็เข้าใจได้นะ เพราะมันไม่ใช่สินค้าจำเป็น แต่ก็ยังอยากให้ลงมาเล่น มองแล้วได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คนผลิตก็ขายได้ คนบริโภคก็พอใจจะซื้อ อะไรแบบนี้ 

                    แต่ก็อย่างที่เกริ่น มันแค่ความเห็นของเราคนเดียวล่ะนะ 


                    คุณผู้อ่านล่ะคะ ซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นบ้างหรือเปล่า คิดว่าสินค้าเหล่านั้นแพงเกินไปบ้างไหมคะ 

                    ฝากไว้ให้คิดนะคะ


                    สวัสดีค่ะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ