เรื่องเล่าหนังสืออ่านเล่น : ปาฏิหาริย์จากการต่อจิ๊กซอว์ชีวิต

 ผู้เขียน : ชอน-อก-เพียว    

ผู้แปล : ภัททิรา จิตต์เกษม 

สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ how to 

จำนวนหน้า : 260 หน้า 

ราคา :  195 บาท 



                    
                    สวัสดีวันศุกร์ค่ะคุณผู้อ่าน ใครทำงานวันนี้วันสุดท้ายบ้างคะ ยินดีด้วยนะคะ ได้เกษียณอายุสักที เรานี่ต้องรออีกตั้งสิบกว่าปี กว่าจะเกษียณแล้วได้บำนาญ แค่คิดก็ห่อเหี่ยวแล้ว
                    คนยังทำงานอยู่ก็สู้กันต่อไปค่ะ
                    ส่วนวันนี้...


                    สมัยนี้โลกไร้พรมแดน เราจึงมีโอกาสอ่านหนังสือหลากหลายสัญชาติ นักเขียนอเมริกันก็อ่านแล้ว เยอรมันก็แล้ว จีนก็แล้ว ญี่ปุ่นก็แล้ว
            มาลองอ่านหนังสือจากนักเขียนแดนกิมจิดูบ้าง อยากรู้จริงว่า ก่อนจากโลกนี้ไป ยัยคนเขียนบทความนี้จะมีโอกาสอ่านหนังสือกี่สัญชาติกัน? 

            คุณเคยมีฝันหรือเปล่า แล้วทุกวันนี้ คุณทำตามความฝันแล้วหรือยัง?

           ปาฏิหาริย์จากการต่อจิ๊กซอว์ชีวิต จะมายุยงส่งเสริมคุณว่า มุ่งมั่นทำความฝันให้เป็นจริงและไขว่คว้าความสำเร็จกันเถอะ


            เรื่องราวเริ่มต้นที่เด็กประถมคนหนึ่งซึ่งถูกจับส่งโรงพยาบาลจิตเวท เพราะตอนที่คุณครูให้วาดภาพสัตว์ หนูน้อยดันระบายสีดำบนกระดาษไปทีละแผ่นๆ คนรอบข้างก็ไม่เข้าใจนึกว่าน้องเครียด พอน้องทำไปเรื่อยๆไม่หยุดแม้ถูกจับส่งโรงพยาบาล ทุกคนเริ่มเอะใจ จึงนำรูปของน้องมาต่อกัน ปรากฏว่า
            สีดำและรอยดินสอแต่ละรูปนั้น สามารถประกอบกันเป็นวาฬสีดำตัวใหญ่ได้!!!
            น้องช่างติสไม่ปรึกษาใครเลย...

                 บางที ชีวิตคนเราก็เหมือนรูปวาฬรูปนั้น ไม่สามารถมองแล้วเข้าใจจากจุดเดียวได้ หากแต่ต้องนำภาพแต่ละส่วนเข้าประกอบกัน จึงจะเห็นเค้าโครงได้ ซึ่งหนังสือเล่มนี้เปรียบส่วนประกอบต่างๆของชีวิตว่าเป็นจิ๊กซอว์ และเรียกภาพความฝันที่เราอยากจะพิชิตว่าเป็น
            Big Picture/ บิ๊ก พิกเชอร์


            คุณชอน ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิต เขาได้เล่าเรื่องราวของตนเองลงในหนังสือ และค่อยๆอธิบายว่า กว่าชีวิตเขาจะผ่านสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่งได้นั้นต้องประสบกับอะไรบ้าง พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้อ่านสร้าง "บิ๊ก พิกเชอร์" ของตนเองขึ้นมา แล้วต่อมันให้เป็นรูปเป็นร่างให้ได้ ผ่านเนื้อหาสี่ตอนใหญ่ แบ่งเป็นเก้าบทย่อย ปิดท้ายด้วยบทส่งท้าย 
            อ่อ บางบทจะมีแบบฝึกหัดด้วย เช่นในบทๆหนึ่ง คุณชอนให้คนอ่านลองวาดภาพพานอรามาของชีวิตว่า ณ ช่วงอายุเท่านั้นเท่านี้เนี่ย คุณมองภาพ/คาดหวังให้ตัวเองเป็นอย่างไร/ไปอยู่จุดไหน อะไรแบบนี้
            ....คาดหวังว่าอายุห้าสิบกว่าๆจะเกษียณค่ะ อุ๊บส์...


            สิ่งที่ถูกอกถูกใจเรามากที่สุดสำหรับหนังสือเล่มนี้คือ คำคมเยอะมาก เป็นหนังสืออีกเล่มที่อ่านแล้วต้องหยุดอ่าน แล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป นี่เราเคยเอาสิ่งที่เราถ่ายโพสต์ลงเฟสบุ๊คด้วยนะ (รู้สึกจะมีคนไลค์แค่คนสองคน 555) และถ้อยคำในหนังสือที่เราชื่นชอบก็เช่น

            "เหตุผลที่ไม่ควรเอางานอดิเรกมาทำเป็นงานหลัก ก็เพราะเมื่องานอดิเรกเป็นงานหลักปุ๊บ มันจะมาพร้อมกับ 'การแข่งขัน' และ 'ความตึงเครียด' แล้วคุณจะไม่รู้สึกว่ามันสนุกเหมือนแต่ก่อน"
            เราเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกแย่ตลอดมาเพราะคิดว่า งานที่เราทำแล้วได้เงิน คืองานที่เราสนใจน้อยที่สุดในเวลาว่าง และถนัดน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสิ่งที่เราทำได้สิ่งอื่น พออ่านถึงตรงนี้แล้วก็ฉุกคิดว่า เอ ถ้าทุกวันนี้เรายังชีพด้วยการเป็นหมอดูเต็มตัว, การเขียนบล็อคแล้วหวังให้มันทำเงิน(ไม่ได้แค่ทำเล่นๆ..แต่จริงจัง แบบทุกวันนี้), การถ่ายภาพขาย หรืองานอดิเรกอื่นๆ ที่เราชอบทำ แล้วเจอความเครียดเท่ากับงานหลักที่เราเจอตอนนี้ เราจะยังสนุกกับมันอยู่แบบทุกวันนี้หรือเปล่า?
            หรือเราคิดถูกแล้ว ที่วางความชอบให้เป็นแค่งานอดิเรก เพื่อให้ตัวเองสามารถพัฒนาศักยภาพไปได้เรื่อยๆแบบไม่กดดัน แบบทุกวันนี้??
            เราก็ไม่รู้เหมือนกัน

                    "ถ้าคุณมีคนที่ไม่ชอบ จงพยายามอย่าเป็นอย่างคนคนนั้น"
            สั้น ง่าย ไม่ต้องอธิบายเพิ่ม และทุกวันนี้ก็พยายามแบบนั้นอยู่ 

            "...แต่ความสำเร็จที่คุณควรจะค้นหาก็คือ การทำในสิ่งที่คุณคิดว่าจะต้องทำ การใช้เวลาไปกับการทำสิ่งที่อยากทำ"
            งั้น...ที่เวลางานนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานให้เสร็จ เพื่อที่ว่าตกดึกจะได้ไปเดินจับโปเกมอนอย่างสบายใจ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จเหมือนกันสิ 555

            น่าสนใจดีไหม ยังมีถ้อยคำดีดีอีกหลายประโยคเลยนะในหนังสือเล่มนี้ 


            เราว่า ปาฏิหาริย์จากการต่อจิ๊กซอว์ชีวิต ก็เป็นหนังสือที่สนุกอีกเล่มหนึ่ง ไม่ได้สนุกในแง่ที่ว่ามีเรื่องขำขันให้สรวลเสเฮฮา แต่สนุกตรงที่ได้อ่านแล้วขบคิดย้อนกลับเข้าหาตัวเองว่า ทุกวันนี้เรามีความสุขดีกับสิ่งที่เป็นหรือไม่ มีอะไรที่เราต้องพยายามมากกว่านี้เพื่อสิ่งที่ต้องการหรือเปล่า 

            แล้วคุณผู้อ่านล่ะคะ คิดอย่างไรกับชีวิตของตนเองในตอนนี้ ? 


            ใครคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจก็ไปทดลองอ่านกันได้ และหากสนใจหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา แต่อยากได้ของถูก แนะนำสองที่ หนึ่งคือเอาชื่อไปหาใน shopee สองคือไปเหล่ในร้านนายอินทร์(ทั้งร้านหนังสือจริงและร้านออนไลน์) เพราะวันดีคืนดี หนังสือเล่มนี้จะรวมในโปรโมชั่น ลด 50% ถ้าซื้อเจ็ดเล่มขึ้นไปลดเล่มละ 70% 
            อยากประหยัดก็ต้องหูไวตาไวกันนิดหนึ่ง


            ขอให้สนุกกับการอ่านหนังสือค่ะ 


                    สวัสดีค่ะ



ความคิดเห็น

  1. ทักทายผู้อ่านได้น่ารักและเศร้าไปพร้อมๆกันเลยค่ะ 55555 เขียนสนุก เรียกรอยยิ้มได้เสมอเลย อ่านงานพี่เหมือนได้พักผ่อน เคยคุยกับเด็กๆเหมือนกันว่างานหลักไม่จำเป็นต้องเป็นงานที่เราถนัดที่สุดก็ได้ แค่เราทำมันได้ อย่างน้อยก็ตามมาตรฐานขั้นต่ำของงานนั้น ก็ถือว่าเรามีความรับผิดชอบต่อสังคมและหน้าที่ของตัวเองแล้ว ส่วนความสุขของตัวเราเอง หรือสิ่งที่เราต้องแลกมาจากการทำงานที่เราไม่ได้ถนัดที่สุด มันเป็นเรื่องปัจเจคมาก ใครรับได้ก็ไม่ผิด และใครรับไม่ได้ก็ไม่ผิดเหมือนกัน เพราะจริงๆ ปัจจัยในการเลือกอาชีพในโลกทุนนิยม มันไม่ได้เอื้อต่อการเลือกตามความชอบเพียงอย่างเดียวอยู่แล้ว ไม่ใช่ทุกคนจริงๆที่เกิดมามีความพร้อมหรือเข้มแข็งมากพอที่จะใช้ความชอบล้วนๆในการเลือกอาชีพ แฟนคลับอันดับ 1 คนนี้เป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมนะคะ 5555

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. รู้สึกเศร้าเลยเหรอ อารมณ์อ่อนไหวจัง ค่ะ โลกยุคนี้ต้องเลือกงานเพื่อความอยู่รอดมากกว่าความชอบจริงๆ ตราบใดที่งานไม่ได้ขัดหรือแย้งต่ออุดมการณ์ส่วนตัวและเราสามารถทำงานนั้นได้ ก็คง..ทำต่อไป แล้วค่อยหาความสุขนอกเวลางานทีหลัง ขอบคุณสำหรับการติดตาม และเป็นกำลังใจให้เช่นกันนะคะ

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ