เข้าแล้วออกยาก


                    "...โอ๊ย เดี๋ยวนี้มันตระเวนเช่าเทพต่างๆมาบูชาหนักมากค่ะพี่.." 


                    สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน

                    เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของครอบครัวแฟนคลับอันดับหนึ่ง ไล่ไถ่ถามไปทีละคนตั้งแต่ตัวเธอเอง คุณพ่อคุณแม่ ไปจนถึงน้องชาย ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

                     และประโยคที่จั่วหัวไว้นั้นมาจากคำนินทา เอ๊ย คำบอกเล่าถึงน้องชายของเธอนั้นเอง


                    แล้วก็เลยมาคิดว่า เออนะ คนเรา พอลองชอบอะไรแล้ว มันเลิกยากชะมัด ซึ่งพอมายุคนี้ มันก็ดันมีวลีอยู่วลีหนึ่ง ที่อธิบายอาการนี้ได้พอดี นั่นก็คือ 

                    "เข้าแล้วออกยาก" 

                    แล้วแต่ละอย่างเนี่ย พอเข้าไปคลุกคลีแล้วมันก็ถอนตัวออกมายาก จริงๆเสียด้วยสิ 


                    ก็มีเพื่อนคนหนึ่ง แต่ก่อนเกลียดแมวมาก แต่พอมีแมวหลงมาที่บ้านตัวนึงแล้วบังเอิญรับไว้ (พื้นฐานเธอเป็นคนรักสัตว์อยู่ก่อนแล้ว แค่อคติกับแมวเพราะแมวข้างบ้านเคยมากัดกระต่ายเธอตาย) ไปๆมาๆ กลายเป็นทาสแมวไปเต็มตัว ถามว่า ตอนนี้มีแมวกี่ตัวแล้วแก

                    "4 ว่ะ" น่านน เห็นไหม แมวงอกได้ 

                    แล้วพอถามถึงแมวนางก็จะมีรูปประกอบ ก็รูปแมวนางน่ะแหละ เลี้ยงไปก็ถ่ายรูปไป ซึ่งสมัยนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกตินะ คนชอบหมาชอบแมวก็มักจะมีรูปสัตว์เลี้ยงตัวเองและสัตว์แถวบ้านที่พบเจอและมีโอกาสเก็บรูปไว้ อยู่เต็มโทรศัพท์ 

                    จริงๆตอนแรกเราไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์พวกทาสหมาทาสแมวหรอก แต่ช่วงหลังที่เริ่มเก็บสะสมตุ๊กตาโปเกมอน ยืนมองตุ๊กตาตัวเองแล้วเกิดอาการ "ดีด" คือดิ้นไปดิ้นมาพร้อมกับร้องว่า "น้องน่ารัก" พลางหยิบมือถือมาถ่ายรูปตุ๊กตา เราเลยเริ่มคิดว่า เออ มันก็น่าจะอาการคล้ายๆกับทาสแมวทาสหมาเนี่ยแหละ แต่เชื่อว่า คนเลี้ยงสัตว์น่าจะมีเรื่องให้ตกหลุมรักสัตว์เลี้ยงตัวเองได้มากกว่าตุ๊กตาที่ตั้งเฉยๆแบบของเรา

                    นอกจากวงการเลี้ยงสัตว์จะเข้าแล้วออกยาก วงการสะสมของจากการ์ตูนก็เข้าแล้วออกไม่ง่าย เหมือนกัน 


                    ก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่ง เป็นแฟนคลับนักร้อง ตามเชียร์มาตั้งแต่เข้าประกวด จนชนะ จนปัจจุบันโลดแล่นในวงการ ก็ยังตามเชียร์อยู่ ตามไปจนรู้จักตัวจริงนักร้อง และได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ เห็นถึงความตั้งใจของเธอมากๆตลอดมา จริงๆปัจจุบันไม่ทราบข่าวเพราะเผลอปิดเฟสบุ๊คหลักไปแล้วโดยไม่ตั้งใจ จึงไม่แน่ใจว่าเธอยังคงเป็นแฟนคลับนักร้องคนนั้นอยู่หรือเปล่า แต่เชื่อว่า น่าจะยังเป็น

                    การตามรักตามเชียร์ใครเนี่ย เข้าแล้วก็ออกยากเหมือนกันนะ 


                    การเล่นหุ้นก็เข้าแล้วออกยากค่ะ พอเริ่มลงทุนมันก็จะติดลมบน ซึ่งก็จะมีสองประเภทที่เคยเห็น ประเภทแรกคือเล่นเก็งกำไร หุ้นที่เล่นต้องซื้อที่ราคาต่ำๆ แล้วปล่อยขายราคาสูงๆ วันนึงวันนึงก็นั่งลุ้นมันอยู่นั่นแหละ ไอ้ตัวที่อยากซื้อก็ลุ้นว่าเมื่อไหร่ราคามันจะลง ตรูจะได้ช้อนซื้อ ไอ้ที่อยากขายก็ลุ้นว่าเมื่อไหร่มันจะขึ้น ตรูจะปล่อยแล้วเอากำไรไปกินขนม                                                                                                                             ส่วนอีกประเภทคือซื้อเก็บระยะยาวไว้กินปันผล นี่จะหมกมุ่นอีกแบบ ไหน หุ้นตัวนี้เหรอ ปันผลยังไง (เอาชื่อไปค้นในเว็บตลาดหลักทรัพย์) โอ๊ย ไม่ดี ปันผลรอบเดียวแค่ 0.02 บาท ไม่ซื้อ เอ๊ยๆๆ หุ้นตัวนี้ปันผลสองรอบได้เกินหุ้นละหนึ่งบาท ไหน ราคาเท่าไหร่ เมื่อไหร่ราคามันจะลง! ซื้อมาแล้วก็สืบต่อ ไหน ปันผลกี่บาท ปันผลเมื่อไหร่ เข้าบัญชีรึยัง อ๋อ หักภาษีเท่านั้นเท่านี้บาท เอาเครดิตภาษีมาหักลดหย่อนได้มีนาปีหน้าสินะ 555 หนักเข้าก็เรียงตารางจ่ายปันผลแล้วนั่งกดเครื่องคิดเลขว่า ปีนี้ตูได้กี่ตังค์ละ อืมมมม (ดูๆไปแล้วก็เหมือนคนบ้านะ)

                   เรียกว่าออกไม่ได้ดีกว่า เพราะต้องซื้อหุ้นไว้สำหรับลดหย่อนภาษี ส่วนข้อดีของวงการนี้คือ มันเป็น passive income นะ ถ้าลงทุนหุ้นถูกตัว มั่นใจได้เลยว่ามีรายได้เข้ามาทุกปีแน่ๆ ได้เท่าไหร่เท่านั้นเอง


                    เรื่องสัพเพเหระนั้นเป็นสาระของคนไร้ภาระเสียส่วนใหญ่ ส่วนคนมีลูกก็จะพุ่งความสนใจไปที่งานกับลูกเป็นหลัก เช่นเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นคุณแม่ป้ายแดง พอถามว่า เป็นไงมั่งแก ตอนถามนั้นลูกเธอหลับอยู่

                    "ชั้นเพิ่งรู้ว่ามีลูกมันเหนื่อยขนาดนี้ โอ๊ย เด็กบ้านี่ เดี๋ยวฉี่ เดี่ยวอึ เดี๋ยวหิว ทุกชั่วโมง" หลังจากนั้นลูกเธอก็ตื่นพอดี

                    "เอ๋ ไงลูก หนูได้ยินเสียงแม่แล้วอยากคุยด้วยใช่ไหมคะ อยากคุยกับป้าใช่ไหมคะ" เป็นป้าไปซะแล้ว เฮ้อ 

                    ก็น่ารักดี ดีใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ แล้วก็ดีใจ ที่ตัวเองไม่มีลูก... 

                    วงการมีลูกนี้ เข้าแล้วก็ออกไม่ได้เหมือนกัน ผูกพันกันไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว 


                    แฟนคลับอันดับหนึ่งถามเราว่าควรจะยังไงกับน้องชายดี เราก็เลยถามกลับไปทำนองว่า น้องชายถูกหลอกให้เสียเงินหรือเปล่า คำตอบคือสมัครใจที่จะนับถือบูชาเอง ใช้เงินตัวเองในการซื้อ และไม่ได้ทำให้เดือดร้อนอะไร เราจำได้ว่าตัวเองให้ความเห็นคือ

                    "ถ้ามันเป็นความสุขของเขา แล้วเขาไม่เดือดร้อน ก็ปล่อยเขาเถอะ" 

                    ต่อให้ไม่ได้แนะนำแบบนี้ในตอนนั้น แต่ตอนนี้เราคิดแบบนี้จริงๆ


                    เราเชื่อว่าคนทำงานทุกคนประสบภาวะไม่ต่างกันอย่างหนึ่ง นั่นคือ เจอความเครียดจากการทำงาน คนทั่วไปต้องตื่นแต่เช้า ผจญภัยในท้องถนน ไปนั่ง/ยืน/เดินในห้องแคบๆของที่ทำงาน เจอะเจอเพื่อนร่วมงานสารพัดชนิด จับเอกสารหลายร้อยหลายพันแผ่น วันดีคืนดีก็ไปนั่งเท้าคางพยักหน้าหงึกๆในห้องประชุม(ประชุมทำไม?) ต่างๆนานา 

                    มันเครียด!!

                    เพราะฉะนั้น เมื่อว่างเว้นจากการทำงาน หากเราได้ใช้เวลาและใช้เงิน(บางส่วน) ไปกับอะไรสักอย่างเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเองและทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นได้บ้างในแต่ละวัน เราว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะสิ่งที่เรารักมักเป็นแรงผลักดันที่ดีให้ออกไปทำงานได้ ทำให้รู้สึกว่า อย่างน้อยก็มีรางวัลตอบแทนที่ไปนั่งทำงานงกๆในออฟฟิศอยู่บ้าง เป็นการทำงานเพื่อเอาเงินมาเปย์ตัวเองสำหรับคนไม่มีใคร เป็นการทำงานเพื่อเอาเงินมาเปย์คนที่เรารักสำหรับคนมีครอบครัว เป็นการทำงานเพื่อเอาเงินมาเปย์ให้หมาแมวสำหรับคนเลี้ยงสัตว์ หรือเปย์อะไรก็แล้วแต่ที่เปย์แล้วมีความสุข  

                    เป็นการสร้างเป้าหมายให้ชีวิตว่า อยู่ไปเพื่ออะไรบ้าง ในแต่ละวัน 

                    เพราะฉะนั้น ตามความเห็นของเรา ถ้าทำอะไรในยามว่างแล้วมีความสุข ไม่เดือดร้อนใคร ก็ทำไปเถอะ 

                  

                    จะว่าไป แฟนคลับอันดับหนึ่งเอง ก็มีเรื่องที่เข้าแล้วออกยากเหมือนกันนา นับตั้งแต่น้องได้อ่านงานเขียนของเราในวันนั้น วันนี้น้องก็ยังติดตามงานเขียนของเราอยู่เช่นเคย มีสั่งด้วยนะว่า เขียนบทความเสร็จและเผยแพร่เมื่อใด ต้องส่งบทความมาให้น้องอ่านทุกครั้ง (จ้าาา)

                    ...งานเรา เข้ามาอ่านแล้วออก(เลิกอ่าน)ยาก กับเขาด้วยหรือนี่ ? 


                    คุณผู้อ่านเอง หลวมตัวมาอ่านบทความเรา ระวังติดนะคะ เราไม่รับผิดชอบด้วยน้า 555 แซวเล่นค่ะ ก็เราเขียนให้อ่านเองนี่คะ หากใครอ่านแล้วได้ประโยชน์หรืออ่านแล้วรู้สึกดีคลายเครียด ก็อ่านได้ตามสบายเลยค่า 

                    แค่อย่าละเมิดลิขสิทธิ์ก็พอ หุหุ 



                    ว่าแต่ คุณผู้อ่านมีอะไรที่ "เข้าแล้วออกยาก" บ้างไหมคะ ? :) ขอให้มีความสุขกับเรื่องนั้นๆละกันนะคะ



                    ไปแล้วค่ะ Happy Weekend น้า

                    สวัสดีค่ะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ