เพราะ "อาการสมองเสื่อม" อยู่ใกล้เรากว่าที่คิด

 

                    สวัสดีวันศุกร์สุดท้ายของเดือนเมษายนค่ะคุณผู้อ่าน

                    คุณผู้อ่านอายุเท่าไหร่แล้วคะ มีผู้สูงอายุที่บ้านหรือเปล่า หากมี คุณผู้สูงวัยที่บ้านของคุณผู้อ่านมีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง แข็งแรงดีทุกประการ หรือเดินเข้าออกโรงพยาบาลทุกสัปดาห์ประหนึ่งไปเรียนพิเศษ 

                    ผู้สูงวัยมีความเสี่ยงมากนะคะต่อโรคต่างๆ ทั้งทางร่างกาย เช่น การหกล้ม ความดัน เบาหวาน มะเร็ง และด้านจิตใจ เช่น ซึมเศร้า เหงา นอนไม่หลับ เป็นต้น

                    และอาการหนึ่งที่ลืมไม่ได้ คือ "อาการสมองเสื่อม"

                    ขออนุญาตเล่าเหตุการณ์ที่เราประสบมากับตัว จนประจักษ์ว่า เออ "อาการสมองเสื่อม" เนี่ย เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถประมาทได้เลย หากมีผู้สูงอายุอยู่ที่บ้าน


                    เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนๆหนึ่ง ขอเรียกท่านว่า "คุณลุง"

                    คุณลุงเป็นเพื่อนร่วมงานของแม่ ทำงานร่วมกันมาประมาณสามสิบปี นับถือกันเหมือนพี่เหมือนน้อง มีอะไรก็ช่วยเหลือกันเสมอ 

                    คุณลุงเป็นคนโสด เกิดที่ต่างจังหวัด เมื่อมาในกรุงเทพก็ต้องมาเช่าบ้านอยู่ สุดท้ายก็เช่าบ้านของแม่เรานี่แหละในการพักอาศัย อยู่ใกล้ๆกันมีอะไรก็ติดต่อกันมาตลอด

                    พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หลายครั้งก็ไปเที่ยวด้วยกัน จนกระทั่งประมาณปลายปีที่ผ่านมา 


                    สี่ทุ่มถึงห้าทุ่มของวันๆหนึ่งเมื่อปลายปีที่แล้ว จู่ๆโทรศัพท์เบอร์ของคุณลุงก็โทรถึงแม่ เมื่อรับโทรศัพท์ปรากฏว่าไม่ใช่เสียงคุณลุง แต่เป็นเสียงคนขับแท็กซี่

                    คนขับแท็กซี่เล่าว่า ช่วงประมาณสี่ทุ่มของวันนั้น คุณลุงออกมาเรียกรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง(ซึ่งแน่อน มันปิดแล้ว) เมื่อไปถึง คนขับแท็กซี่จะส่งลงและให้จ่ายค่าโดยสาร ปรากฏว่า คุณลุงพูดไม่รู้เรื่อง คนขับแท็กซี่จึงขอโทรศัพท์มือถือแล้วโทรหาใครสักคนที่น่าจะเป็นคนคุ้นเคยของคุณลุง ก็คือแม่ เล่าทุกอย่างให้ฟังแล้วก็บอกประมาณว่า มาจ่ายค่าแท็กซี่ผมด้วย 

                    แม่จึงต้องขับรถออกจากบ้านตอนสี่ห้าทุ่มไปรับคุณลุงที่โรงพยาบาล ตัดสินใจพากลับมาพักที่บ้านก่อนเพราะ "แกไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขืนปล่อยคนเดียวเดี๋ยวแกเตลิดไปที่อื่น" ซึ่งตอนนั้นน่ะ แกไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ ดูมึนๆ ไม่พูดอะไร กุญแจบ้านอยู่ในกระเป๋าก็บอกว่าไม่มีกุญแจ อะไรแบบนั้น

                    รุ่งเช้า แม่โทรศัพท์แจ้งน้องสาวแท้ๆของคุณลุงคนหนึ่งที่อยู่ในกรุงเทพฯ แล้วต่างฝ่ายต่างขับรถไปเจอกันที่บ้านของคุณลุง(ก็บ้านที่เช่าแม่อยู่นั่นแหละ) น้องแกก็ตกใจว่า พี่ชายเป็นอะไร แล้วก็รับหน้าที่ดูแลต่อ สุดท้าย น้องสาวอีกคนหนึ่งของคุณลุงซึ่งอยู่ต่างจังหวัด ก็รับอาสาดูแลคุณลุง คุณลุงจึงยกเลิกสัญญาเช่าบ้าน และกลับไปอยู่กับน้องสาวที่ต่างจังหวัด


                    เท่าที่อ่านมา เหมือนจะไม่มีอะไรใช่ไหมคะ แต่มันมี เดี๋ยวจะลำดับเหตุการณ์ให้

    - หลังจากที่คุณลุงกลับต่างจังหวัด แม่จึงเข้าไปเคลียร์บ้านเช่า และเจอกับเพื่อนบ้านข้างๆคุณลุง เพื่อนบ้านจึงเข้ามาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของคุณลุง แล้วจู่ๆก็เล่าว่า ก่อนหน้าเนี้ย(เท่าที่ฟังๆน่าจะก่อนเหตุการณ์คุณลุงเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาล) คุณลุงแกมีอาการแปลกๆ เช่น จู่ๆแกก็ไม่สามารถถอยรถเข้าบ้านได้(ทั้งๆที่แต่ก่อนแกไม่เคยมีปัญหา) และที่คุณข้างบ้านงงสุดคือ จู่ๆแกก็ถือหม้อหุงข้าวซึ่งมีข้าวสารอยู๋ข้างใน มาถามคุณข้างบ้านว่า ข้าวนี่หุงยังไง เอาเข้าไมโครเวฟทั้งแบบนี้ได้ไหม คุณข้างบ้านก็เลยเข้าไปช่วยแกทำอาหาร 

    - แม่เล่าว่า จริงๆคุณลุงมีอาการแปลกๆมาสักพักแล้ว อย่างแรกคือ คุณลุงแกเป็นคนมีน้ำใจ ถ้าไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วแม่ทำอะไรเนี่ย แกจะมาช่วยตลอด แต่ช่วงหลังๆ มีอยู่วันหนึ่งไปเอารถที่อู่ด้วยกัน แล้วรถมีปัญหา ต้องจอดที่ปั๊มน้ำมัน ถ้าเป็นเวลาปกติแกจะลงมาช่วยดู สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แกจอดรถแบบไม่ดับเครื่อง(อันนี้ก็แปลก)แล้วนั่งอยู่เฉยๆ จนแม่ต้องมาเรียกไปช่วย อีกอย่างหนึ่งคือ ปกติคุณลุงชอบดูกีฬามาก ดูกีฬาทุกประเภทตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ปรากฏว่า ช่วงหลังๆ(ก็ก่อนเกิดเหตุอีกน่ะแหละ) แม่โทรไปถามว่าวันนี้มีวอลเลย์บอลดูไหม แกบอกว่า "ไม่ดู ดูทำไม"

    แม่ตั้งข้อสังเกตว่า ระบบประสาทแกน่าจะเริ่มรวนตั้งแต่ช่วงนั้นแล้วแหละ

    - พอกลับไปอยู่ต่างจังหวัด ก็ยังติดต่อกันมาเรื่อย อยู่มาวันหนึ่งคุณลุงแกส่งผลการเอกซเรย์สมองมาให้ แม่ก็ให้น้อง(ลูกของพี่สาวแม่ ลูกพี่ลูกน้องเรา) ช่วยดู ส่วนเราก็นั่งเปิดดิคและเดาศัพท์ตามไปด้วย(ไม่ใช่หมอแต่ก็พออ่านภาษาอังกฤษได้ล่ะนะ) เท่าที่จำได้ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นคือ มีเลือดออกในสมอง สมองตีบ และก็ น่าจะมีอาการเสื่อมหรือพวกพาคินสัน เราก็เลยตั้งข้อสังเกตว่า แกมึนๆเพราะเลือดออกในสมองรึเปล่า

    - ตั้งแต่ตอนที่แกกลับต่างจังหวัดถึงตอนนี้ แม่พยายามส่งไลน์คุยด้วยทุกวัน บางวันแกก็ตอบ บางวันก็ไม่ตอบ สิ่งหนึ่งที่สังเกตคือ เดี๋ยวนี้แกไม่สามารถทำสิ่งต่างๆในมือถืออย่างที่เคยทำได้ เช่น ส่งภาพทางไลน์ โอนเงินผ่านแอพฯ เดี๋ยวนี้แกทำไม่เป็นสักอย่าง แล้วก็ วันนี้พูดอะไรมา วันข้างหน้า ลืม ขนาดคนข้างบ้านแก แกยังจำไม่ได้ จำบ้านเช่าที่อยู่ได้เพียงรางๆ จำสิ่งของในบ้านเช่าไม่ได้ แถมเข้าใจเอาเองว่าย้ายกลับต่างจังหวัดไปเป็นปีแล้ว ทั้งที่เพิ่งย้ายไปเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง 

    - ที่น่าสงสารที่สุด แกโดนแก๊งค์คอล์เซนเตอร์ หลอกขโมยเงินทั้งหมดในบัญชีธนาคารไป แต่ดูเหมือนว่าซึมได้วันสองวันก็ไม่ซึมแล้ว แม่บอกว่า แกน่าจะลืมว่าเกิดอะไรขึ้น

                    "เดี๋ยววันนึงคุณลุงแกก็ลืมพวกเราแล้วล่ะ" นี่คือข้อสรุปของแม่ 


                    จริงๆนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพบกับอาการสมองเสื่อมของคนใกล้ตัว เพราะยายเรา ก่อนเสียชีวิตเธอก็มีอาการเลอะเลือนอยู่บ้าง กินข้าวแล้วบอกยังไม่ได้กิน อะไรแบบนี้ หรือพ่อเราตอนนี้ก็เริ่มหลงๆลืมๆ นั่งรถผ่านถนนเส้นที่เคยขับประจำ ถามจำได้มั้ยบอก "จำไม่ได้" อะไรแบบนี้ 

                    แต่เคสของ "คุณลุง" เป็นเคสที่ค่อนข้างสะเทือนใจเรา เพราะเห็นแกมาตั้งแต่แกยังปกติทุกอย่าง แล้วจู่ๆก็พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ชนิดว่าจำอะไรแทบไม่ได้ สิ่งที่เคยทำก็ทำไม่ได้ นิสัยที่เคยมีก็เปลี่ยนหมด มันเป็นความช็อกและความสะเทือนใจมากของคนที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมาตั้งแต่ต้น 

                    และทำให้เราตระหนักว่า ผู้สูงอายุทุกคนคือผู้มีความเสี่ยงที่จะสมองเสื่อม จริงๆ 

                    จึงอยากเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อเตือนใจคุณผู้อ่านค่ะว่า ถ้าคุณผู้อ่านมีผู้สูงวัย คุณพ่อ คุณแม่ คุณย่า คุณยาย ฯลฯ ในความดูแล นอกจากความเสื่อมด้านร่างกายแล้ว อยากให้เฝ้าระวังความเสื่อมของระบบประสาทและสมองด้วย โรคนี้อาจไม่ร้ายแรงถึงชีวิตก็จริง แต่มันกระทบการใช้ชีวิตของคนๆนึงโดยภาพรวม และยังความสะเทือนใจแก่คนรอบข้างที่อยู่ด้วยกัน มากๆเลย 

                    ดูแลให้ดี ก่อนจะไม่มีให้ดูแล นะคะ


                    ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา การเดินทางของบล็อกนี้ก็เช่นกัน

                    ขอแจ้งให้คุณผู้อ่านทราบว่า นี่จะเป็นบทความสุดท้ายที่จะลงเป็นประจำทุกสัปดาห์ ขอยุติการลงบทความเป็นประจำ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

                    เราจะไม่ลบบทความที่ลงไปแล้ว ไม่ว่าจะในบล็อกนี้หรือบล็อกอื่นๆ คุณผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านได้เสมอ สามารถอ่านและนำความรู้หรือสาระไปปรับใช้ในชีวิตได้ สามารถนำไปสอนหรือเป็นวิทยาทานใดๆที่ไม่แสวงหากำไร หรือนำไปโดยรับรู้ว่าใครเป็นคนเขียน ตราบใดที่การกระทำไม่ขัดต่อกฎหมายลิขสิทธิ์ เราอนุญาต แต่หากท่านขโมยงานเขียนเราไปเป็นงานของตัวเอง หรือนำไปแสวงหากำไรโดยมิชอบ ท่านจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย (เตือนแล้วนะ)

                    สำหรับคุณผู้อ่านที่รู้จักเราเป็นการส่วนตัว สามารถติดตามความบ้าบอของเราได้จากเฟสบุ๊ค จะโพสต์ความคิดของตัวเองทุก..ครั้งที่อยากโพสต์ โพสต์รูปแนวๆในไอจีทุก..ทีที่อยากอวด(อินดี้เสมอต้นเสมอปลาย) และแน่นอนว่า เฟสฯ ไลน์ เบอร์ และไอจี ยังบัญชีเดิม ทักมาได้เสมอ :D ทั้งนี้หากสหายท่านใดประสงค์จะอ่านไดอารี่การเดินทางของข้าพเจ้าในครั้งต่อๆไป กรุณาแจ้งความจำนงค์และแนบอีเมล(หรืออยากให้ส่งทางไลน์หรือเฟสก็บอก) ถ้าเขียนแล้วจะส่งให้ 

                    ส่วนคุณผู้อ่านที่ไม่รู้จักเราเป็นการส่วนตัว โลกนี้ยังมีบุคคลที่แสนพิเศษและงานเขียนที่แสนพิเศษอีกมากมาย เราเชื่อว่าคุณยังคงมีชีวิตที่มีความสุขได้แม้เราจะไม่รู้จักกัน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสนใจเราก็ได้ค่ะ

                    เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลับมาเขียนอีกหรือเปล่า หรือจะย้ายไปเขียนที่อื่นอีกหรือเปล่า แต่หากจะทำ เราจะมาแจ้งให้ทราบผ่านบล็อคนี้นะคะ สัญญาค่ะ

                    ขอบพระคุณคุณผู้อ่านทุกท่านสำหรับการติดตามเสมอมา ขอบพระคุณทุกคอมเม้นท์ในแต่ละบทความ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เราเขียนจะเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย

                    จะไปจริงๆแล้วนะคะ รักษาตัวด้วยนะ


                    สวัสดีค่ะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ