เรื่องเล่าหนังสืออ่านเล่น : โลกทีปนี

 

ผู้เขียน : พระพรหมโมลี 

สำนักพิมพ์ : วัดธรรมกาย

จำนวนหน้า : 333 หน้า 

ราคา :  n/a


                    สวัสดีวันศุกร์ที่สองของเดือนมกราคม 2567 ค่ะ คุณผู้อ่าน พรุ่งนี้เป็นวันเด็ก คุณผู้อ่านที่มีบุตรหลานไปเที่ยวไหนหรือเปล่าคะ คนน่าจะเยอะนะคะทำใจได้เลย ส่วนผู้ใหญ่อย่างเราอยู่บ้านดีกว่า ขี้เกียจไปแย่งเด็กเที่ยว

                    ใช่แล้วค่ะ สัปดาห์ที่แล้วไม่ได้ลงบทความ เผอิญศุกร์ที่แล้วเราอยู่ในสภาวะที่ไม่สะดวกจะโพสต์เรื่องราว แล้วเลยอนุญาตให้ตัวเองเว้นไปหนึ่งสัปดาห์ คิดถึงเราไหมคะ 555 (คุณผู้อ่าน : ไม่! // รับทราบค่ะ หึหึ)  


                    วันนี้จะชวนมาอ่านหนังสือเกี่ยวกับภพภูมิ นรก สวรรค์ อีกแล้วค่ะ ยายคนเขียนชอบศึกษาเกี่ยวกับ(ว่าที่)คติของตัวเอง ก็ไม่รู้หรอกว่าชาติหน้าจะได้เกิดที่ไหน ขออ่านไว้ก่อนละก่อน 

                    ก่อนอื่นเลย เราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือให้การสนับสนุนใดๆวัดธรรมกายทั้งสิ้น(ต่อต้านเสียด้วยซ้ำ) เราอ่านเรื่องนี้เพราะเนื้อหาล้วนๆ 

                    จุดเริ่มต้นของการอ่านหนังสือเล่มนี้ มีที่มาจากวันดีคืนดีเราคิดถึงหนังสือ “ภูมิวิลาสินี” ขึ้นมา(เคยยืมมาอ่านสมัยอยู่ป.ตรี) จึงเอาชื่อหนังสือไปค้นหาใน shopee หาไปหามาไปเจอเล่มนี้แทน ค้นข้อมูลแล้วพบว่าเนื้อหาคล้ายๆกัน จึงลองอ่านดู


                    หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาแนวเดียวกับ “ภูมิวิลาสินี” จริงๆค่ะ คือกล่าวถึงภพภูมิต่างๆตามหลักพุทธศาสนา อันได้แก่ นรกภูมิ เปตภูมิ อสุรกายภูมิ เดรัจฉานภูมิ มนุษยภูมิ สวรรค์ พรหม และกล่าวไปถึงนิพพาน ตลอดจนแนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงนิพพานและพ้นจากสังสารวัฎในที่สุด สอดแทรกด้วยเรื่องราวของ..เอ่อ บุคคล (น่าจะเรียกบุคคลได้นะ) ที่ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆว่า เหตุใดเขาเหล่านั้น จึงได้ไปเป็นสหายแห่งสัตว์นรก เปรด หรือเทพทั้งหลาย ประกอบกรรมดีกรรมชั่วอันใดมาบ้าง อะไรแบบนี้

            ถ้าเคยเรียนและศึกษาประวัติบุคคลสำคัญต่างๆในยุคของพระพุทธเจ้าของเรานี้(พระสมณโคดม)ก็จะอินกับหลายๆเรื่องที่ถูกหยิบยกมา เพราะได้กล่าวถึงหลายคน เช่น พระเทวทัต ในหนังสือได้บอกไว้ด้วยล่ะว่า พระเทวทัตซึ่งกระทำอนันตริยกรรมคือ ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด นั้นน่ะ ตอนนี้ท่านอยู่นรกขุมไหน พร้อมทำนายไว้ด้วยว่าหลังจากที่พ้นนรกแล้ว ท่านจะมีคติอย่างไรต่อไป นอกจากนี้ก็มี พระเจ้าอชาติศัตรู พระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น


            จุดที่ชอบมากกว่าหนังสือภูมิวิลาสินี ก็คือ หนังสือเล่มนี้ให้ข้อมูลในสิ่งที่เราอยากรู้ ซึ่งในภูมิวิลาสินีไม่ได้บอกไว้ นั่นคือ เรื่องของภพอสุรกาย และ เรื่องของเทวมารในสวรรค์ชั้น ๖ (สาระ-สวรรค์มีหกชั้นนะทุกคน ไม่ใช่เจ็ด) จริงๆในหนังสือก็เขียนไว้ไม่มากหรอก แต่ก็พอได้ข้อมูลเป็นไอเดียมาบ้างแล้วล่ะว่า เปรตกะอสุรกายนั้นแตกต่างกันอย่างไร 

            อย่างไรก็ดี จากที่อ่าน การกำเนิดของเทวมารเป็นสิ่งที่เราอ่านแล้วยังงงอยู่ คือ แบบ ทำคุณความดียิ่งใหญ่ แต่ ขี้อิจฉา อะไรแบบนี้เหรอ(วะ?) นิสัยส่วนตัวเสียแต่ทำความดีก็ขึ้นสวรรค์ได้ด้วยเหรอ (วะ?) แต่พออ่านว่า ตอนนี้เทวมารท่านก็จะเริ่มไม่ขัดขวางพระพุทธศาสนาและเที่ยงที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปแล้วก็ เอ้อ ดีจัง หวังให้เป็นจริง


            เรื่องราวตั้งแต่นรกถึงสวรรค์นั้น สนุกมากค่ะ ตอนอ่านภพนรกก็ให้ขนลุกขนพองไม่อยากตกนรก แต่พออ่านถึงว่า ทำอะไรถึงตกนรกขุมนี้ๆ ก็แบบ ตรูจะรอดนรกป่าวเนี่ย(จิตตก) แต่พออ่านเรื่องราวชีวิตบนสวรรค์ก็ให้ความรู้สึกดี๊ด๊าว่า อยากขึ้นสวรรค์บ้าง แม้จะรู้สึกอยู่หน่อยๆว่าสวรรค์ควรปรับโครงสร้างความเป็นอยู่ได้แล้ว มายุคนี้มีแค่บ้าน และมีสระน้ำให้เดินเล่นมันไม่ค่อยถูกจริตเท่าไหร่ ถ้ามีห้องสมุดใหญ่ๆและมีเกมให้เล่นเยอะๆก็จะดี (คือ ก็ไม่แน่ว่าจะขึ้นสวรรค์ได้มั้ยแล้วยังจะเรื่องมาก วอนโดนเทวดาเคาะกระหม่อมจริงๆ)


            ก็ เออ นั่นแหละค่ะ นอกจากนี้ก็ยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกหลากหลาย อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ เรื่องอายุขัย ส่วนว่าสวรรค์ชั้นแรกอายุขัยแค่ 9 ล้านปี ในขณะที่ 9 ล้านปี เป็นแค่ 1 วัน ในนรกขุมแรก อะไรนั่น อาจไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะรู้แล้ว แต่ที่ตื่นตาตื่นใจคือ อายุที่นับเป็น กัป ตะหาก เขานับเป็นอันตรกัป ซึ่ง 1 อันตรกัปนี่ เอ้อ ขอเวลาเรียบเรียงถ้อยคำแปบ..

            หนังสือบอกว่า แต่ก่อนมนุษย์มีอายุอสงไขย คือ 1 ตามด้วย 0 ทั้งสิ้น 140 ตัว (แค่นับนิ้วตามเพื่อดูว่ากี่สิบกี่ล้านก็เริ่มเหนื่อยละนะ) แล้วทุกๆ 100 ปี อายุขัยจะลดลง 1 ปี แล้วลดไปเรื่อยๆจนเหลืออายุขัย 10 ปี อายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นอีกโดยที่ทุก 100 ปี จะเพิ่มขึ้น 1 ปี จนเท่ากับอสงไขยเหมือนเดิม 

            ช่วงเวลาตั้งแต่มนุษย์มีอายุอสงไขย จนถึงช่วงเวลาที่มนุษย์กลับมามีอายุอสงไขยอีกครั้ง คือ 1 อันตรกัป(ซึ่งนานมากเลยนะ นานจนไม่อยากจะนับเลยว่ากี่ปี) 

            คิดแล้วรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองเกิดในยุคที่อายุขัยของคนมีแค่ 75 ปี แหม แค่ทุกวันนี้คิดว่าต้องทำงานอีกตั้งสิบกว่าปีกว่าจะลาออกแล้วได้บำนาญ ก็เพลียจะแย่แล้ว ถ้าต้องมีอายุเป็นล้านๆปี ต้องทำงานอีกล้านๆปีกว่าจะเกษียณได้ แค่คิดก็อยากกัดลิ้นตายแล้ว 


            โดยภาพรวมแล้ว หนังสือเล่มนี้สนุกค่ะ สนุกและเหมาะสำหรับคนที่สนใจเรื่องพระพุทธศาสนา และเชื่อว่าภพภูมิมีอยู่จริง ถ้าจะให้ตินิดๆหน่อยก็เช่นว่า ตอนที่แนะนำเรื่องโสดาบันนั้นน่ะ เขาพูดแค่ว่า การได้เป็นโสดาบันจะปิดอบายถาวร โดยไม่ได้อธิบายเพิ่มว่า เหตุที่การบรรลุโสดาบันเป็นการประกันว่าบุคคลนั้นจะไม่ลงไปต่ำกว่ามนุษย์อีกแล้วน่ะ เป็นเพราะโสดาบันบุคคลคือผู้รักษาศีลห้าบริบูรณ์ จึงไม่มีบาปใดจะมาฉุดให้คนๆนั้นล่วงไปเป็นสหายแห่งนรก เปรต หรือเดรัจฉานได้อีก 

            ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องอธิบาย เพราะไม่ใช่ผู้อ่านทุกคนจะรู้ !  

            แต่หนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะกับคนไม่ชอบอ่านหนังสือพระพุทธศาสนา ไม่เชื่อนรกสวรรค์ ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่มีศาสนา ไม่เชื่ออะไรแบบนี้ คิดแค่ว่าคนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว ไม่อยากอ่านให้ปวดจิต ปวดตับ ก็เรื่องของคุณ ใช้ชีวิตไปเลยให้เต็มที่แล้วไปลุ้นกันอีกทีหลังตาย 

            แต่เรายังคงยืนยันคำเดิมว่า เราเชื่อ และเราจะไม่ใช้ชีวิตเหลวแหลกเพื่อยืนยันให้ใครเห็นว่า นรกมีจริง เพราะหากพลาดท่าร่วงไปข้างล่าง ชีวิตคงดูไม่จืด ไม่ต้องถึงนรกแค่พลาดต้องไปเกิดเป็นแมว หรือ นก ก็แย่แล้ว ใครอยากลองตกนรกก็ตามสบายนะ เราจะทำทุกอย่างให้...อย่างน้อยก็ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ สูงสุดต้องได้ขึ้นสวรรค์ (สูงกว่านั้นน่าจะยาก) 

                    เตือนอีกครั้งหนึ่งอันเนื่องจากในหนังสือ สำหรับผู้สนใจจะทำชั่ว หรือ eye-e (อยากให้มันเป็นคำหยาบก็ไปแปลงเป็นคำไทยแล้วเติมวรรณยุกต์กันเองนะ)ที่ ชั่วแล้ว-ชั่วอยู่-ชั่วต่อ น่ะ แค่นรกชั้นที่น่าจะทรมานน้อยสุด อายุน้อยสุดอ่ะ เก้าล้านปีมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันในนรกนะเว้ย อายุขัยเริ่มต้นที่ห้าร้อยปีนรกมั้ง เอ็งคิดดีๆก่อนทำชั่วนะเฮ่ย พลาดแล้วกลับบ่ได้เน่อ ต่อให้มีเงินเท่าภูเขาเลากาก็ติดสินบนขอไปนอนชั้นสิบสี่แทนรับโทษก็บ่ได้เน่อ (แล้วตรูจะเขียนติดสำเนียงเหนือเพื่อ??) 

                    เสวยสุขเพราะอกุศลอย่างมากคุณก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินร้อยปี..มนุษย์ แต่ชีวิตหลังจากตรงนั้น ระยะเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ก็ถึงนะ... ไม่ต้องถึงอันตรกัป แค่ตกนรกเกินล้านปีมนุษย์ก็แย่แล้ว


            และหากคุณผู้อ่านท่านไหนสนใจอยากจะหาอ่าน ลองเข้าไปที่เว็บ https://kalyanamitra.org/book/index_dhammabook_detail.php?id=1064 ดูนะคะ เขามีให้โหลดไฟล์มาอ่านได้ฟรีค่ะ

            ...และเราก็ได้มาอ่านจากเว็บนี้เช่นกัน 


                    ช่วงนี้ฝุ่นเยอะ อากาศขมุกขมัวคล้ายแดนสนธยา ดูไปดูมาชักนึกถึงสภาพของหนังเรื่อง the mist คุณผู้อ่านดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ

            สวัสดีค่ะ 


            ปล เราเพิ่งเห็นแฮะ ว่าเว็บนี้เป็นพันธมิตรของวัดธรรมกาย เอาเป็นว่า....รับเฉพาะสิ่งที่ดีเนอะ อะไรที่สอนนอกคำสอนจริงๆของพระพุทธศาสนา กรุณาใช้วิจารณญาณและฟังหูไว้หูกันด้วยนะทุกคน 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

จำหน่ายคดีหัวใจ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน