หนังอินเดีย สิทธิสตรี และคนขี้โมโห
เป็นคนไม่ชอบดูหนัง เว้นแต่เรื่องที่ตัวเองสนใจจริงๆ ซึ่ง....มีน้อยมาก ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม จนกระทั่งวันนี้
เคราะห์หามยาม...ไม่ค่อยโสภา เราบังเอิญติดอยู่ในห้องซึ่ง...สมาชิกในห้องนั่งดูหนังอินเดียอยู่ จึงจำเป็นต้องรับรู้เรื่องราวในหนังไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเราก็พบว่า
มันเป็นหนังที่เราดูแล้วหัวเสียที่สุดในชีวิต!!!
หัวเสียยังไงอ่ะเหรอ
เราไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้ชื่ออะไร แต่เรื่องคร่าวๆคือเรื่องราวเกิดในอินเดียช่วงที่มหาตมะคานธีถูกอังกฤษกักตัวอยู่ มีหมู่บ้านอยู่หมู่บ้านนึง เป็นหมู่บ้านที่มีแต่ผู้หญิง....ที่เป็นแม่หม้าย และมีนัง...เอ่อ...ยายคนแก่อ้วนๆคนนึงเรียกตัวเองว่าแม่ชี เป็นหัวโจก(เออ นั่นแหละ)คอยคุมถิ่นอยู่
ความโมโหของเราก็มีว่า ตอนกลางๆเกือบปลายๆเรื่อง หญิงหม้ายคนหนึ่งตัดสินใจจะแต่งงานกับหนุ่มอินเดียหัวสมัยใหม่ที่มาชอบพอตัวเอง แล้วนัง....เอ้อ ยายแม่ชีตอบว่าไงรู้มั้ย
"แม่หม้ายแต่งงานใหม่ไม่ได้ ไม่งั้นชาติหน้าจะเป็นเกลื้อน" แล้วจับตัวละครกล้อนผม ขังอยู่ในห้อง
ชีวิตยังอนาถไม่พอค่ะคุณผู้อ่าน พอไปถามใครสักคน เขาบอกว่า "ตามคัมภีร์" (ภีร์ไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนแบบนี้แน่นอน) "แม่หม้ายมีสิทธิแค่สามอย่าง หนึ่งถือพรหมจรรย์หันหน้าเข้าศาสนา สองเผาตัวตายตามสามี สามแต่งงานกับน้องชายของสามีหากครอบครัวยินยอม"
แล้วทั้งเรื่องเอาแต่ย้ำว่า หญิงหม้ายไม่มีสิทธิมีรักใหม่ ไม่มีสิทธิอะไรทั้งสิ้น
มันน่าโมโหมั้ยล่ะ!!! นี่เราเกือบหยิบอะไรปาทีวีละนะ คงไม่ต้องเดาหรอกนะว่าหลุดปากด่าไปกี่รอบ อย่าฟังเลย มันไม่เพราะหรอก
สุดท้ายตัวละครหม้ายคนนั้นก็ฆ่าตัวตายด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง ซึ่งทำให้คนดูด่าหนังหนักเข้าไปอีก...
ท่ามกลางความสังเวช สมเพช และเดือดดาล เรากลับสังเกตอะไรได้บางอย่างในหนังเรื่องนี้
อย่างที่เล่าไปว่าทั้งเรื่องมีแต่คำดูแคลนแก่ผู้หญิงที่สามีตาย แต่รู้อะไรมั้ย กว่า 80% ของเสียงที่ดังพวกนั้นน่ะ
!! เป็นเสียงของผู้หญิงด้วยกันเอง !!
ออกตัวไว้ก่อนว่าแม้เคยได้ยินมาบ้างว่าสิทธิสตรีในอินเดียไม่ค่อยน่าอภิรมย์ เช่นว่า ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายยกสินสอดของหมั้นไปขอผู้ชาย แถมยังต้องไปเป็นเบี้ยล่างให้บ้านผู้ชายอีก(ใจคอเอ็งจะไม่ยอมเสียอะไรสักอย่างเลยรึไง โอ๊ย เขียนแล้วของขึ้น) แต่คือ เราก็ไม่ได้รู้ละเอียดยิบ แต่ขอวิเคราะห์เอาจากไอ้เรื่องที่เพิ่งจบไปนี่ล่ะ
เป็นที่รู้กันว่าสิทธิสตรีในหลายๆประเทศยังไม่เท่าเทียมบุรุษในหลายๆมิติของชีวิต ดังเช่นหนังอินเดียที่เล่าไป และกฎที่คอย "กด" ผู้หญิงทั้งหลายนั้น ถ้าให้เดา ก็น่าจะมาจากผู้ชายที่ต้องการกดผู้หญิงเอาไว้ให้อยู่ใต้อำนาจของตัวเอง นั่นคือความเจ็บปวดที่เพศแม่จากหลายดินแดนได้รับในอดีต และบางดินแดนต้องทนอยู่ในปัจจุบัน
แต่คุณว่ามันน่าเจ็บปวดใจกว่ามั้ย ที่คนที่ "กด" ผู้หญิงให้อยู่ใต้เท้าบางครั้งหาใช่ผู้ชาย แต่คือผู้หญิงด้วยกันเองที่มีสถานะบางอย่างที่เหนือกว่า "เหยื่อ" ที่โดนกระทำ เช่นแม่ผัวกดลูกสะใภ้ ยาย/ย่ากดหลานสาว เจ้านายกดลูกน้อง ฯลฯ
หรืออย่างในหนัง ก็คนที่ตั้งตัวเป็นหัวโจกนั่นปะไรที่คอยใช้คำพูดทิ่มตำแม่หม้ายรายอื่นที่อยู่ใต้อาณัติของตัวเอง
อารมณ์คล้ายๆการล้างแค้น ฉันเคยโดนมาก่อน เมื่อฉันมีโอกาส ฉันก็ต้องทำคนอื่นบ้าง ทั้งๆที่คนอื่นที่ฉันทำร้ายไม่เคยทำอะไรฉันเลย ส่วนคนที่ถูกกระทำก็รอให้ถึงเวลาตัวเองมีโอกาสแล้วกดคนอื่นต่อไป
เป็นวงจรอุบาทว์ที่ไม่สิ้นสุด....
แม้กระทั่งโลกแห่งความจริง ในเขตแคว้นที่สิทธิสองเพศน่าจะอยู่ระดับเดียวกันแล้ว บางครั้ง เรายังได้ยินคำพูดจากผู้หญิงด้วยกันที่ฟังแล้วต้อง เอ๊ะ
"เป็นผู้หญิงยังไงก็ไม่ควรใส่กางเกงไปทำงาน ดูไม่เรียบร้อย"
ฮัลโหล ใส่กางเกงคล่องตัวดีจะตาย พอใจจะใส่กระโปรงสั้นๆให้มันเปิดชะเวิบชะวาบ ให้มันรัดรูปจนผู้ชายมองบั้นท้ายเหรอ กลัวขายไม่ออกงี้???
คำพูดอีกแนวจะมาตอนเกิดเหตุร้าย
"เนี่ย ก็อยากไปไหนมาไหนยามวิกาล/ก็แต่งตัวแบบนั้น สมควรโดน....มั้ยล่ะ"
เออ จริงๆเราก็ไม่เห็นด้วยกับการออกไปปาร์ตี้กลางค่ำกลางคืนหรือแต่งตัวเปิดหน้าเปิดหลังหรอกนะ แต่เราเห็นด้วยกับข้อความที่ว่า ไม่ว่าใครจะมีพฤติกรรมอย่างไร คุณก็ไม่มีสิทธิไปล่วงละเมิดทางเพศเขา มากกว่า
แทนที่เราจะพร่ำบอกให้เพศที่อ่อนแอกว่าทำตัวลีบๆระวังตัวเอง ทำไมเราไม่สอนให้เพศที่แข็งแรงกว่าเป็นสุภาพบุรุษและรู้จักให้เกียรติเพศแม่ของเขาแทนที่จะจ้องแต่ทำลาย?
ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน เราต้องช่วยเหลือกัน ไม่ใช่เหยียบย่ำซ้ำเติมกัน ไม่ใช่เหรอ?
ในที่สุดไอ้หนังเวรตะไลในสายตาเราเรื่องนี้ก็จบลงตรงที่มหาตมะ คานธี ได้รับการปล่อยตัวจากอังกฤษ รวบรวมชาวอินเดียไปสู้กับอังกฤษ และจบตรงที่แม่หม้ายนางหนึ่งอุ้มเด็กสาวในความคุ้มครองของยัยแม่ชีบ้าบอนั่นออกมาและส่งเด็กน้อยไปกับรถไฟขบวนของคานธีเพื่อหวังให้เด็กน้อยพ้นจากขุมนรกนี้
ดูแล้วรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดในประเทศที่ให้โอกาสผู้หญิงได้ยืนหยัดด้วยตัวเองและทำงานเลี้ยงตัวเองได้ อย่ามาเพ้อเจ้อเรื่องเป็นโสดแล้วไร้ค่าบ้าบอ เราด่าไม่เลี้ยง!
และสุดท้ายคนขี้โมโหคนนึงก็ทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาเขียนบทความบทนี้ขึ้นมาเพื่อระบายอารมณ์ และแอบหวังกลายๆว่ามันจะกระตุ้นให้ใครสักคนฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้บ้าง...ไม่มากก็น้อย
ท้ายที่สุด...เรารู้แล้วล่ะว่าทำไมถึงชอบเสพนิยายของตัวเองมากกว่านิยายคนอื่น
เพราะนิยายตัวเองมันได้ดั่งใจกว่านั้นเอง ;)
สวัสดีนะคะ รักษาสุขภาพกันด้วย ไวรัสตอนนี้น่ากลัวไม่เบาเลยนะเนี่ย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น