ครอบทับ



     ถ้าคุณเคยใช้โทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยด์ที่ไม่ใช่แอนดรอยด์เพียวๆ  เวลาคุณดูสเปคของโทรศัพท์  คุณจะพบถ้อยคำประมาณว่า  "แอนดรอยด์เวอร์ชั่น...ครอบทับด้วย...."

     "แอนดรอยด์เวอร์ชั่น.."  นั้นบอกให้รู้ว่าโทรศัพท์นี้ใช้ระบบแอนดรอยด์รุ่นไหนแล้ว  เก่าใหม่เพียงใด  มีแนวโน้มจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน
     "ครอบทับด้วย..."  นั้นบอกว่า  จริงๆแล้วมือถือยี่ห้อนั้นมีระบบของตัวเองด้วยนะ  และเขาก็เอาระบบของตัวเองน่ะ  มาคลุมแอนดรอยด์ไว้อีกที  ใช้ดูความเก่าใหม่และประสิทธิภาพคร่าวๆได้เช่นกัน

     เอาเป็นว่า  อย่าพยายามหาสาระเน้นๆจากคำอธิบายดังกล่าว  เราเป็นแค่คนธรรมดาที่สนใจเทคโนโลยีเพียงเท่านั้น  นี่เรารู้ว่าโทรศัพท์ควรมีสเปคแบบไหนบ้าง  รู้ว่าปัจจุบันมือถือตัวเองมีระบบอะไรบ้างก็บุญแค่ไหนแล้ว

     แต่ที่ต้องการจะชี้ประเด็นก็คือ  คุณว่าในชีวิตคนเรามีอะไรคล้ายกับโทรศัพท์พวกนี้บ้าง? 



     จะมีสักกี่คนในชีวิต  ที่เกิดมาแล้วเป็นตัวเองได้เต็มที่และเป็นตัวเองได้ในทุกสถานการณ์  ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง  ไม่ต้องปรับปรุง  และไม่ต้องสวม  "เปลือก"  หรือใส่  "หน้ากาก"  เมื่ออยู่ในสังคม

     มองให้ดีคุณอาจพบว่า  เราต่างต้องสร้าง  "เปลือก"  ขึ้นมา  เมื่อออกจากบ้าน  เมื่ออยู่ร่วมกับคนหมู่มาก  หรือเมื่ออยู่ในที่ทำงาน  พูดอีกนัยหนึ่ง  เราต่างต้องสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมาเพื่อ "ครอบทับ"  ตัวตนของเรา  เพื่อให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์ต่างๆ
     -  คนอ่อนโยนอาจต้องสวมหน้ากากดุดันหากต้องทำงานที่การใช้อำนาจเป็นเรื่องสำคัญ
     -  คนพูดน้อยอาจต้องร่างสคริปเป็นหน้าๆเพื่อให้มีอะไรพูดหากต้องทำงานที่ใช้วาทศิลป์
     -  คนใจร้อนอาจต้องสวมเสื้อแห่งความเมตตาหากต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กๆ
     -  คนใจดีอาจต้องเล่นเป็นนางร้ายหากทำงานเกี่ยวกับการสวมบทบาท
     และอื่นๆอีกมากมาย

     มือถือแอนดรอยด์หลายเครื่องมีระบบแอนดรอยด์ที่ครอบทับด้วยระบบปฏิบัติการของบริษัทตัวเอง  เราเองก็ต้องสร้างอีกตัวตนเพื่อครอบทับตัวตนที่แท้จริงของเราเมื่ออยู่โลกภายนอกเช่นกัน

     คุณคิดว่าคนเรากับมือถือเหล่านี้คล้ายกันบ้างรึเปล่า?



     จริงอยู่ที่ว่าทุกชีวิตย่อมมีความเป็นปัจเจก  หรือมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง  อย่างไรก็ดี  เราต่างรู้ว่าเมื่อเราออกจากบ้านสู่โลกภายนอก  สิ่งที่ต้องคำนึงคือ  ความกลมกลืนในสังคมที่เราอยู่  พวกเราแต่ละคนจะมีสังคมของตัวเองที่ต้องปรับตัวให้ได้  แม้จะเป็นตัวเองได้บ้างแต่ก็ต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับธรรมเนียมและความเป็นไปของโลกรอบตัว 

     คนทั่วไปจึงมีอย่างน้อยสองตัวตน  ตัวตนที่บ้านและตัวตนที่ทำงาน/สถานศึกษา  และมันไม่ใช่เรื่องผิด

     มันคือการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ 

     การใส่หน้ากากเข้าหากันอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย  ตราบใดที่เราไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ใครต้องเดือดร้อน 

     ขนาดมือถือที่แค่รับใช้เจ้าของก็เหนื่อยจะแย่  ยังต้องมีสองระบบซ้อนทับกัน  คนเราจะมีตัวตนมากกว่าหนึ่งบ้างก็คงไม่เป็นไร



     ปัญหาอยู่ตรงไหนรู้มั้ย?  อยู่ตรงที่ถ้าเกิดสิ่งที่ซ้อนกันมันเกิดระบบรวน  แล้วทำท่าจะรวมกันขึ้นมา  เช่น  เผลอมาใช้อำนาจกับที่บ้าน  ทะเลาะกันบ้านแตก  อันนี้รวนแล้ว  มันไม่รวนแค่ระบบ  มันจะรวนไปถึงชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัวด้วย 
     การรวนจนสลับกันมั่วก็ทำให้ยุ่งได้  แบบเอานิสัยที่บ้านมาใช้ที่ทำงาน  เอานิสัยที่ทำงานมาใช้ที่บ้าน  แบบนี้ชีวิตจะปั่นป่วนไปทั่ว  เสียทั้งงาน  เสียทั้งคน  วุ่นวายแน่นอน 

   
     ปัญหาต่อไปที่มือถือไม่น่ามี  แต่คนอาจจะมี  คือการหลงว่าตัวตนใหม่ที่สร้างขึ้นมานั้น  คือตัวตนที่แท้จริงของเรา  ซึ่งก็มีได้สองแง่  หนึ่งคือมีคนมาหลงเรา  สองคือเราหลงเอง

     เอาข้อแรกก่อน  ถ้าใครสักคนหนึ่งเผลอคิดไปว่าตัวตนที่เราสร้างขึ้นในสังคมนั้นคือตัวตนจริงๆของเรา  แล้วดันหลงรักในตัวตนข้อนั้น  (เกลียดนั้นอีกเรื่อง  วุ่นวายคนละแบบ  ไว้คราวหน้าละกัน)  ผลคือ  ถ้าเขาเอาตัวเองเข้ามาอยู่ใกล้เราเท่ากับเขาบังคับให้เราอยู่ในตัวตนที่สองที่สร้างขึ้นไปตลอด  เราคงไม่แฮปปี้เท่าไหร่  พาลจะคิดไปว่า  เขาอาจไม่ได้รักเราจริงๆแต่รักแค่เปลือกเราเท่านั้น
     แค่นึกก็อึดอัดแล้ว

     สอง  เราหลงเอง  อันนี้เรื่องใหญ่  เพราะเราจะกระโดดเข้าไปจับตัวตนใหม่ที่สร้างขึ้นแล้วละทิ้งตัวตนเดิมที่คุ้นเคย  อันอาจทำให้คนใกล้ชิดสับสน  ซึ่งหากตัวตนใหม่นั้นเข้าท่ากว่าเดิมก็ไม่เท่าไหร่  แต่ถ้าแย่กว่าเดิม  เช่น  เป็นคนธรรมะธรรมโมอยู่ดีๆ  ดันไปทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับแสงสี  สุรายาเมา  แล้วหลงติดเหล้าติดแสงสี  สุขภาพจะแย่เอาได้ง่ายๆ  เงินก็จะหมดด้วย  หนักกว่านั้น  เกิดกลายพันธ์ุเป็นพวกเจ้าชู้ขึ้นมา  คราวนี้จะกระทบไปถึงคนรักถึงชีวิตครอบครัวให้พังเป็นแถบไปเลย
     ความหลงอย่างเดียวเดือดร้อนไปทั่วเลย 


     มือถือจะมีระบบป้องกันความปลอดภัย  และมีระบบสแกนไวรัส  เพื่อป้องกันผู้ไม่หวังดีไม่ให้เจาะเข้ามาในระบบเพื่อหาข้อมูล  ขโมยข้อมูล  และทำให้เจ้าของเครื่องเดือดร้อน
     บางที  ชีวิตอาจต้องติดตั้งระบบความปลอดภัยและระบบสแกนไวรัสในจิตใจและพฤติกรรม  เพื่อไม่ให้เจ้าตัวเกิดอาการเครื่องรวนหรือโดนใครแฮคเข้ามาหาประโยชน์จากตัวเอง  น่าจะดีนะ 

     ความเป็นจริงคือไวรัสทำอะไรจิตใจไม่ได้  แต่สิ่งที่ก่อกวนได้จริงคือกิเลส  แล้วปัญหาคือตัวดับกิเลสนอกจากคุณธรรมในจิตใจแล้วเนี่ย  ก็ไม่ค่อยจะมีอะไรดับได้เสียด้วยสิ
     นี่ไม่นับพวกป่วยทางจิตนะ 

     การรักษาระบบจิตใจของคนเรานี่มันซับซ้อนและยุ่งยากจริงๆเลย



     เราคิดเรื่องนี้ได้ขึ้นมาตอนอยู่ที่ทำงาน  ตอนที่รู้สึกว่า  ตัวตนที่ทำงานกับตัวตนจริงๆนี่มันต่างกันจังเลย 

     เราเป็นคนพูดน้อย  เราแต่งตัวแบบปิดเนื้อหนังให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  และเราจะพูดค่อนข้างมีหางเสียง  เราจึงถูกมองว่าเราเป็นคนเรียบร้อย....
     และข้อเท็จจริงก็คือ  ถ้าคนที่คิดว่าเราเรียบร้อยได้มาเห็นโมเมนต์ที่
     -  เราเท้าสะเอวด่าคอมเป็นภาษาอังกฤษเพราะมันแฮงค์ช่วงที่ไม่ควรจะแฮงค์
     -  เราเล่นเกมแล้วสบถล้งเล้ง
     -  เราเดินก้าวเท้าฉับๆ  แล้ว..ปึ๊ง...สะดุด  หรือแม้แต่
     -  ตอนเราดูบอล
     บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้  เหอๆ

     หลังจากนั้นเราก็คิดว่าจริงๆตัวเองเป็นคนอย่างไร  และสิ่งที่นึกได้ก็คือ 
   
     "ฉันคือช้อยที่ถูกครอบทับด้วยเปลือกแบบแม่พลอยในสี่แผ่นดิน"  เราว่ามันคือนิยามที่ตรงกับความจริงที่สุดนิยามหนึ่ง
     (เพราะฉะนั้นโสดก็ไม่แปลกค่ะ  คนอย่างแม่ช้อยไม่ใช่สเปคหนุ่มๆ 555)


     สิ่งที่คิดต่อไปคือ  ถ้าใครมาปลื้มตัวตนที่เราแสดงออกในที่ทำงาน  คิดว่าเราเรียบร้อยพูดน้อย  เราว่าเราคงไม่ค่อยโอเค  เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นจริงๆตอนถอดหน้าที่การงานออกและกลับเข้าบ้าน   และเราก็คงไม่สามารถตอบรับความรู้สึกดีๆที่เขามีต่อ "เปลือก" ของเราได้ 
     แต่ถ้าคุยหรือรู้จักกันมาสักระยะหนึ่ง  เห็นนิสัยกันมาสักระยะหนึ่ง  แล้วยังรับในตัวตนของกันและกันได้  และมีราศีที่เข้ากันได้(ความเป็นแม่หมออะเนอะ 555)  แบบนี้ค่อยมาว่ากันใหม่

     แต่ดูจากหนังหน้าและชีวิตจริงแล้ว  ประเด็นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นให้ต้องขบคิดแต่อย่างใด  เหอๆๆ



     กล่าวโดยสรุป  มนุษย์กับโทรศัพท์มือถือบางเครื่องมีสิ่งที่คล้ายกันคือ  เราต่างมีตัวตนมากกว่าหนึ่งตัวตนซ้อนกันอยู่ 

     เป็นการสร้างระบบพฤติกรรมขึ้นมามากกว่าหนึ่งพฤติกรรมที่  "ครอบทับ"  ซึ่งกันและกัน  และแน่นอน  ในมนุษย์จะซับซ้อนกว่าในมือถือ  เพราะเราต่างสามารถหยิบ "เปลือก" แบบใดก็ได้ขึ้นมาแสดง  ตามแต่จะต้องการ 

     และมันไม่ใช่เรื่องผิด  มันคือการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด 

     เรามีอิสระที่จะสร้าง "เปลือก" กี่ชั้นก็ได้  เพื่อครอบทับตัวตนของเรา  อย่างเดียวที่ต้องคำนึงก็คือ 


     อย่าให้ระบบเรารวน  ก็พอ 


     ซ่อมคนไม่ง่ายอย่างซ่อมมือถือเด้ออออ     



   

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ