แค่ได้เป็นคนสุดท้ายในสายตา



     ใจของคนที่ไม่มีใครคงไม่ต่างอะไรจากรถที่ใส่เกียร์ว่าง นั่นคือ  มันเคลื่อนของมันเองไปได้เรื่อยๆ


     เราไม่เคยมีแฟน  ไม่เคยรักใคร...ในลักษณะที่ว่า  รู้สีึกโหยหาอยากให้เขามาเป็นคนรัก  ดังนั้น  ถ้าถามว่าความรักเป็นยังไง  เราจึงสามารถบอกว่า  "เราไม่รู้จัก"  ได้โดยอนุโลม

     แต่ถึงกระนั้น  คงจะห้ามไม่ได้หากหัวใจ  มันจะแอบไป  "ปลื้ม"  ใคร  บางคนบ้าง  ในบางที



     ทำความเข้าใจก่อนนะ 

     "ปลื้ม"  ในที่นี้  ไม่ใช่การหันไปเห็นใครหน้าตาดี  แล้วรู้สึกว่าโลกรอบตัวกลายเป็นสีชมพูหรือมีผีเสื้อบินอยู่รอบตัวอีกฝ่าย  จนทำให้ไม่สามารถละสายตาจากเขาไปได้เลยอีกนานแสนนาน
     .....นั่นมันนิยายโรแมนติก....10 สตางค์

     อีแบบนั้นน่ะไม่ยั่งยืนและไม่รุนแรง  เพราะหากได้เห็นว่าตัวจริงไม่ได้งามดั่งรูปกายเมื่อใด  ผีเสื้อรอบตัวอาจกลายร่างเป็นแมลงสาปได้ในบัดดล
     เปลี่ยนจาก ชอบ เป็น เกลียด ไปได้ในพริบตา


     "ปลื้ม"  ในที่นี้  คือการที่รู้จักใครสักระยะ  แล้วคิดว่า  เออ  นิสัยน่ารักดี(หน้าตาก็เช่นกัน...อุ๊บส์)  แล้วเลยเกิดความรู้สึกดีดีด้วย

     เราสามารถปลื้มได้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศอะไรค่ะ  และมันจะทำให้เรารู้สึกอยากจะญาติดีกับเขา  ส่วนอีกฝ่ายอยากจะญาติดีกับเราด้วยหรือเปล่า  มันก็อีกเรื่องหนึ่ง
     ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา



     เราเห็นใครหลายคนที่ปลื้มเพศตรงข้าม  แล้วเปลี่ยนความปลื้มของตัวเองให้กลายไปเป็นความรัก  กระหนุงกระหนิงกันไป
     แต่เรา....ยังไม่คิดจะทำแบบนั้น

     ก็อย่างที่เคยเล่าๆไปนั่นคือ  เรารู้สึกว่าการรักใครเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสของหัวใจอยู่ไม่น้อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หากรักอยู่ข้างเดียวแบบไม่รู้อีกฝ่ายจะรักรึเปล่า  เพราะเมื่อรักแล้วเรามักจะหวังโน่นนี่นั่น  และเมื่อผิดหวังก็จะพาลให้น้อยใจเป็นทุกข์ไปอีก
     แค่ชีวิตทุกวันนี้มันก็เครียดพออยู่แล้วนะ

     ในขณะที่ความรักนั้นดูจะเป็นความหนักอก  ความปลื้มกลับไม่ต่างอะไรกับความคลั่งไคล้ในอะไรสักอย่างที่เรายึดถือไม่ได้  มันก็คล้ายๆกับการที่เราดูโปเกมอนมาแต่เด็กและทุกวันนี้ก็ยังเล่นเกมโปเกมอนอยู่  และมันก็คงอารมณ์เดียวกับที่เราตามเชียร์ทีมฟุตบอลและนักฟุตบอลที่เราชอบ

     เราไม่ได้อยากฮุบบริษัท  เราไม่เคยต้องการซื้อสโมสร  เราไม่เคยคิดจะส่งเมลไปขอนักบอลเป็นคนรัก  แค่เราได้มองดูความเป็นไปของสิ่งที่เราชอบอยู่เนืองๆ  ได้เห็นกิจการ  คน  หรือทีม เจริญเติบโตและมีความสุข  มีชัยชนะ  แค่นั้นเราก็สุขใจ 
     กับคนตัวเป็นๆก็เหมือนกัน

     เราไม่ได้หวังให้เขามาอะไรกับเรา  ไม่ได้หวังว่าเขาจะต้องปลื้มเราเหมือนหรือเท่ากับที่เราปลื้มเขา  เราคิดว่าแค่เราได้รู้จักกัน  ได้รู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง  แค่นี้  เมื่อนึกถึงขึ้นมาก็ทำให้เรายิ้มได้แล้ว 

     ปลื้มอย่างเดียวมันก็สุขไปอีกแบบ



     และดูเหมือนว่า...โชคชะตายังคงเข้าข้างเราอยู่บ้าง

     เราพบว่า  ใครหลายคนที่เรารู้สึกดีด้วย  ท้ายที่สุดแล้วเราก็ได้มารู้จักกัน  และอีกฝ่ายก็คิดว่า  เราคือเพื่อนคนหนึ่งของเขา

     แล้วเขาก็ดีกับเรา  เจอหน้าก็ยิ้มให้เรา  บางคนก็ช่วยเหลือเรา  ชวนเราคุย  เหมือนกับว่าเรารับรู้ว่าเราอยู่ในโลกใบเดียวกัน  เพียงแต่อาจจะต่างวงโคจรไปบ้างเท่านั้น

     แค่มองอย่างเดียวยังรู้สึกดี  ยิ่งได้เป็นเพื่อนนี่  คนปลื้มยิ่งฟินไปกันใหญ่


     และนี่คือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา

    สุดท้าย  ก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรากับคนที่เราปลื้ม  มากไปกว่าการที่เราและอีกฝ่ายหนึ่งหยิบยื่นไมตรีและมิตรภาพให้แก่กัน

     ซึ่งมันก็มากเกินพอแล้วสำหรับเรา



     คิดๆไป  มันคงไม่ต่างอะไรกับใจความสำคัญในเพลง "แค่ได้เป็นคนสุดท้ายที่เธอคิดถึง"

     เรารู้ดีว่าคนอย่างเราเข้าถึงยากและโลกส่วนตัวสูงเพียงใด  จะให้ไปเป็นคนสำคัญในสายตาใครหลายๆคน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  คนที่เป็นนิยมในคนหมู่มากนั้น 
     ดูจะเป็นเรื่องที่เกินฝัน

     แค่อย่างน้อย  อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเรามีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้  และยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเรา  แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว


     ว่ากันตามตรงนะ 

     ไม่ต้องเป็น  "คนสุดท้าย"  ที่ใครคิดถึงหรอก

     แค่เป็น  "คนสุดท้าย"  ในสายตา  ที่ใครหลายคนมองเห็นเราบ้าง 


     มันก็เกินพอแล้วสำหรับมนุษย์บ๊องๆบวมๆคนนี้  =)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

จำหน่ายคดีหัวใจ